‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ชีวิตในถิ่นแมนฯ ยูฯ ของ ‘ฮีโร่’ พูดตรง มั่นใจ อ่อนไหว กระหายชัยชนะ

‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ชีวิตในถิ่นแมนฯ ยูฯ ของ ‘ฮีโร่’ พูดตรง มั่นใจ อ่อนไหว กระหายชัยชนะ

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มีอาชีพค้าแข้งอันรุ่งเรืองกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคแรก แต่การหวนคืนถิ่นอีกครั้ง ชีวิตในสนามกลับไม่สวยงามดังที่คาดหวัง ยิ่งเมื่อให้สัมภาษณ์กับ เพียรส์ มอร์แกน

  • คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกสโด่งดังสุดขีดจากการค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
  • เขาย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริด และยูเวนตุส ก่อนกลับมาค้าแข้งกับทีมเก่าอีกครั้ง
  • การหวนคืนทีมเก่ากลับไม่ได้สวยงามดังที่หวัง เรื่องมาถึงจุดพีกเมื่อเขาให้สัมภาษณ์กับเพียร์ส มอร์แกน โจมตีทั้งเจ้าของสโมสร กุนซือ และผู้บริหาร

หาก ‘ซูเปอร์แมน’ เคยตัดพ้อผ่านบทเพลงว่า ‘It’s not easy to be me.’ (การเป็นตัวผมนั้นมันไม่ง่ายเลย) ชีวิตของนักฟุตบอล ‘ซูเปอร์สตาร์’ ซึ่งหลายคนยกย่องว่า ‘เก่งที่สุดตลอดกาล’ (G.O.A.T.) อย่าง ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ (Cristiano Ronaldo) ก็คงไม่ต่างกัน

นักเตะหมายเลข 7 ทีม ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ เจ้าของเครื่องหมายการค้า ‘CR7’ เป็น ‘ไอดอล’ ของนักฟุตบอลทั่วโลก ไม่ว่า ‘เออร์ลิง ฮาลันด์’ ‘คีเลียน เอ็มบัปเป้’ ‘ซน เฮืองมิน’ หรือแม้แต่ ‘ธีราทร บุญมาทัน’ พวกเขาเหล่านี้ล้วนมี ‘โรนัลโด้’ เป็น ‘ฮีโร่’ในดวงใจ แต่จะมีใครรู้ว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ มันไม่ง่าย

‘โรนัลโด้’ ถีบตัวเองจากเด็กครอบครัวยากจน พ่อติดเหล้า และเกือบถูกแม่ทำแท้งไม่ให้ออกมาลืมตาดูโลก ต้องเดินทางจากบ้านเกิดไปค้าแข้งต่างถิ่นเพียงลำพังตั้งแต่เด็ก เขายอมเสียสละความสุขสบาย ทุ่มเททั้งกายใจ พัฒนาตัวเองอย่างมีวินัย จนกลายเป็นนักเตะ ‘เวิลด์คลาส’

แม้บางครั้ง ‘ซูเปอร์ฮีโร่’ ผู้นี้อาจทำพลาด แต่เขาก็กล้ากล่าวคำว่า ‘ขอโทษ’ หรือถ้าคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็ไม่กลัวที่จะลุกขึ้นมาตอบโต้แบบตรงไปตรงมา หากให้นิยามความเป็น ‘โรนัลโด้’ คำที่บรรยายชายผู้นี้ได้ดีคงมีเพียง 4 คำ คือ ‘พูดตรง มั่นใจ อ่อนไหว และกระหายชัยชนะ’

คนตรงไม่อ้อมค้อม

‘โรนัลโด้’ ไม่ใช่ผู้ชายเจ้าเล่ห์ เขามักพูดหรือแสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ การให้สัมภาษณ์ ‘เพียร์ส มอร์แกน’ พิธีกรชื่อดังของอังกฤษ วิจารณ์ ‘เอริค เทน ฮาก’ กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด และสโมสรต้นสังกัด หลังย้ายกลับมาอยู่ ‘ปีศาจแดง’ รอบสอง และทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ ก็เกิดอย่างตรงไปตรงมา

“ด้วยความสัตย์ ตอนผมเซ็นสัญญากลับมาแมนฯ ยูไนเต็ด ผมคิดว่าทุกอย่างคงเปลี่ยนแปลง เพราะมัน 13 ปีแล้วที่จากไป...

“ผมคิดว่าทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิม ทั้งเทคโนโลยี สิ่งปลูกสร้าง ทุกอย่าง แต่ผมก็แปลกใจในแง่ร้าย เพราะมาเห็นว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

CR7 บอกถึงเหตุผลที่เขาคิดว่า ทำไมทีมรักจึงไม่พัฒนา และ ‘โอลด์ แทรฟฟอร์ด’ กลายเป็น ‘โรงละครที่ไม่เป็นดังฝัน’ ส่วนเหตุผลที่ต้องออกมาแฉนั้น ก็เพราะทนไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนถูก ‘หักหลัง’ และ ‘หยามศักดิ์ศรี’ จากกรณีที่มองว่า สต๊าฟโค้ชชุดใหม่พยายามบีบให้ย้ายทีม แม้แฟนบอลหลายคนโจมตีว่า ‘ซูเปอร์สตาร์’ ผู้นี้พยายาม ‘ทิ้งระเบิด’ ไว้ก่อนย้ายออกไปหลังจบ ‘บอลโลก 2022’ ที่กาตาร์

‘โรนัลโด้’ ย้ายจาก ‘ยูเวนตุส’ ในอิตาลี กลับมาอยู่ ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’ รอบสองเมื่อปี 2021 การกลับมาครั้งนี้เขาบอกว่า ‘มาด้วยใจ’ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเกือบจรดปากกาย้ายไปอยู่กับ ‘แมนฯ ซิตี้’ ทีมคู่ปรับร่วมเมือง

อย่างไรก็ตาม ‘โรนัลโด้’ ไม่เสียใจกับการตัดสินใจดังกล่าว และแฟน ‘ปีศาจแดง’ ก็ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น แต่ ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ทำให้ต้องแฉ เพราะทนไม่ได้กับการไม่ให้เกียรติของกุนซือคนใหม่ ซึ่งนอกจากจะจับ ‘ซูเปอร์สตาร์’ ชาวโปรตุเกส นั่งตัวสำรองยาว ๆ ยังพยายามปฏิบัติกับเขาเหมือน ‘นักเตะฆ่าเวลา’ ไม่ให้ค่าด้วยการส่งลงสนามในเกมที่ไม่สำคัญ และช่วงเวลาที่ไม่มีความหมาย

เกือบไม่ได้ลืมตาดูโลก

ความขัดแย้งกับ ‘เทน ฮาก’ อาจทำให้หลายคนตำหนิ ‘โรนัลโด้’ ที่มี ‘อีโก้’ หรือ ‘อัตตา’ แต่หากย้อนดูประวัติความเป็นมาจะพบว่า ‘อัตตา’ หรือความมั่นใจในตัวเองนี้ คือ ส่วนสำคัญที่ทำให้เขาก้าวมาเป็นตำนานลูกหนังโลก

“คุณต้องบอกตัวเองว่าคุณเก่งจริง นั่นคือสิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุดเสมอมา 

“ต้องพิสูจน์กับตัวเองว่า ผมยังมีความสามารถ ผมทำให้ดีขึ้นได้ ต้องการชนะมากกว่าใคร และแสดงให้เห็นว่า ผมเก่งกว่าคนอื่น” โรนัลโด้ เล่าทัศนคติของตัวเองในหนังสารคดี ‘Ronaldo’ ที่ออกฉายครั้งแรกในปี 2015

‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดส ซานโตส อเวียโร่’ (Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro) คือ ชื่อเต็มของ CR7 เขาเกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985 บนเกาะมาเดียร่า (Madeira) ของโปรตุเกส เป็นลูกคนเล็กในครอบครัวพี่น้องทั้งหมด 4 คน (ชาย 2 หญิง 2)

“เขาคือลูกที่ฉันอยากเอาออก แต่พระเจ้าไม่อยากให้เกิดขึ้น ฉันเลยได้รับพรเพราะสิ่งนั้น บางครั้งโรนัลโด้ ก็หยอกล้อกับฉันว่า ‘แม่ไม่อยากให้ผมเกิดมา แต่ตอนนี้เห็นหรือยัง ผมอยู่ตรงนี้และกำลังช่วยเหลือทุกคน” มาเรีย โดโลเรส มารดาของ CR7 เล่าถึงความโชคดีที่เธอไม่ทำแท้ง และคลอดลูกชายคนเล็กออกมา

‘โรนัลโด้’ โตมาในครอบครัวฐานะยากจน พ่อของเขาเป็นทหารผ่านศึกที่ติดเหล้า และทำงานเป็นคนสวน แต่พอลูกชายคนเล็กอายุ 7 ขวบ เริ่มเล่นฟุตบอลให้สโมสรท้องถิ่นชื่อ ‘แอนโดรีเนีย’ (Andorinha) ในปี 1992 พ่อก็ได้งานใหม่เป็นผู้ดูแลชุดแข่งและอุปกรณ์กีฬาให้กับทีมที่ลูกชายเข้าไปสังกัด

หลังโชว์ฟอร์มดีกับทีมเล็กๆ อย่างแอนโดรีเนีย จนอายุ 10 ขวบ เจ้าหนู ‘จอมสับขา’ ก็ย้ายมา ‘นาซิยองนาล’ (Nacional) ทีมที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะมาเดียร่า จากนั้น 2 ปีต่อมา ‘สปอร์ติ้ง ลิสบอน’ สโมสรชั้นนำในลีกสูงสุดของโปรตุเกส จึงจับเซ็นสัญญาดึงตัวเข้าเมืองหลวง

ด้วยฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่ไม่มีเงินตามมาดูแล เจ้าหนู ‘โรนัลโด้’ ต้องจากครอบครัวเข้ากรุงเพียงลำพังในวัย 12 ขวบ แต่เพราะความใจสู้และมุ่งมั่น เขาฟันฝ่าความเหงาและการถูกล้อเลียนสำเนียงชาวเกาะ จนติดทีมชุดใหญ่ของ ‘สปอร์ติ้ง ลิสบอน' ตั้งแต่ 16 ขวบ และพอถึงวัย 18 ปี หนุ่มน้อยผู้นี้ก็เริ่มสร้างตำนานด้วยการย้ายไป ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’ ในอังกฤษ

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และโรนัลโด้

ชีวิตขาขึ้นกับ ‘ปีศาจแดง - ราชันชุดขาว’

สื่อส่วนใหญ่รายงานว่า ‘เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน’ ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ด ณ เวลานั้น ถูกใจฟอร์ม ‘โรนัลโด้’ จนดึงมาร่วมทัพหลัง ‘ปีศาจแดง’ ลงอุ่นเครื่องช่วงพรีซีซั่นเพื่อฉลองเปิดสนามใหม่ของ ‘สปอร์ติ้ง ลิสบอน’ ในปี 2003 และเกมนั้น CR7 โชว์ฟอร์มเด่น พาเจ้าบ้านเอาชนะแชมป์จากอังกฤษ 3 - 1

ความจริงก็คือ ‘โรนัลโด้’ อยู่ในลิสต์ที่แมนฯ ยูไนเต็ด อยากได้มาก่อนแล้ว ทว่า ยังไม่แน่ใจในรายละเอียดสัญญา จน ‘เฟอร์กี้’ ได้เห็นฟอร์มด้วยตาตนเอง จึงสั่งให้สโมสรรีบคว้าปีกจอมเทคนิค วัย 18 ปี มาร่วมทัพทันที

‘โรนัลโด้’ ย้ายจาก ‘ลิสบอน’ มาเมืองแมนเชสเตอร์ ในเดือนสิงหาคม 2003 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ (19 ล้านเหรียญสหรัฐ) สมัยย้ายมาใหม่ ๆ เขายังมีรูปร่างผอมบาง ชอบโชว์ลีลาพร่ำเพรื่อ และถูกต่อว่าเป็นนักบอล ‘ชายเดี่ยว’ ไม่ค่อยเน้น ‘ทีมเวิร์ค’ 

แต่ต่อมาก็ค่อย ๆ พัฒนาและปรับตัว จนกลายเป็น ‘ซูเปอร์สตาร์’ และได้ฉายา ‘CR7’ ผู้สืบทอดตำนานเสื้อเบอร์ 7 ในถิ่น ‘โอลด์ แทรฟฟอร์ด’ ต่อจาก ‘จอร์จ เบสต์’ ‘ไบรอัน ร็อบสัน’ ‘เอริค คันโตน่า’ และ ‘เดวิด เบ็คแฮม’

จุดเด่นของ ‘โรนัลโด้’ นอกจากลีลาลากเลื้อยแพรวพราวและความรวดเร็วว่องไว เขายังสามารถทำประตูได้ทั้งสองเท้า ยิง ‘ฟรีคิก’ แม่นยำ และเป็นตัวอันตรายในลูกกลางอากาศ เนื่องจากสามารถกระโดดสูงกว่ากองหลัง รวมถึงนักบาสเกตบอลส่วนใหญ่ 

BBC ระบุว่า ในท่ายืนอยู่กับที่ CR7 กระโดดได้เท้าสูงจากพื้นถึง 44 ซม. และหากวิ่งแล้วกระโดด เขาทำได้ 78 ซม.

ด้วยความสามารถและพละกำลังดังกล่าวทำให้ตลอด 6 ปีแรกใน ‘โอลด์ แทรฟฟอร์ด’ CR7 พาแมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ทั้งหมด 9 โทรฟี่ ในจำนวนนี้รวมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย (2007, 2008, 2009) และแชมป์ยุโรป ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย (2008) เขาพังประตูไป 118 ลูกในทุกรายการ แถมยังคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก ‘บัลลงดอร์’ ครั้งแรกที่นี่

ปี 2009 ‘โรนัลโด้’ ตัดสินใจย้ายไปหาความท้าทายใหม่ในสเปนกับ ‘เรอัล มาดริด’ ทีมขวัญใจในวัยเด็ก และสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของอาชีพค้าแข้ง ตลอด 9 ปี (2009 - 2018) กับทีม ‘ชุดขาว’ เขาสร้างสถิติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย (2012, 2017) และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 4 สมัย (2014, 2016, 2017, 2018) 

เขาพังประตูเป็นกอบเป็นกำ จนกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ด้วยสถิติ 450 ประตู จากการลงเล่น 438 นัด และเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ทำไป 140 ประตู นั่นคือเหตุผลว่า ทำไม ‘โรนัลโด้’ จึงอยากไปรายการนี้มากที่สุด 

สมัยอยู่สเปน CR7 ยังคว้ารางวัล ‘บัลลังดอร์’ เพิ่มอีก 4 ครั้ง รวมเป็น 5 สมัย (2008, 2013, 2014, 2016, 2017) มากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาก ‘ลิโอเนล เมสซี่’ (7 สมัย) ก่อนที่ปี 2018 เขาตัดสินใจย้ายไปเล่นในลีกสูงสุดของอิตาลีกับ ‘ยูเวนตุส’

ชีวิตที่ ‘อิตาลี’ ทำท่าจะรุ่ง เขาพาทีม ‘ม้าลาย’ คว้าแชมป์กัลโช่เซเรียอา 2 สมัย (2019, 2020) แต่เมื่อเกิดวิกฤต ‘โควิด - 19’ ทำให้สโมสรต่าง ๆ ต้อง ‘รัดเข็มขัด’ และ ‘ยูเวนตุส’ ไม่อาจจ่ายค่าเหนื่อย ‘ซูเปอร์สตาร์’ ดวงนี้ เขาจึงต้องหาที่อยู่ใหม่ และสุดท้ายเลือกกลับไป ‘บ้านหลังที่สอง’ ในถิ่น ‘โอลด์ แทรฟฟอร์ด’

‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ชีวิตในถิ่นแมนฯ ยูฯ ของ ‘ฮีโร่’ พูดตรง มั่นใจ อ่อนไหว กระหายชัยชนะ

ความเชื่อมั่นและการทำตัวเป็นแบบอย่าง

นอกจากผลงานกับสโมสร ‘โรนัลโด้’ ยังสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับทีมชาติโปรตุเกส ด้วยการสวมปลอกแขนกัปตันทีม พาโปรตุเกสคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยแรก เฉือนชนะเจ้าภาพ ‘ฝรั่งเศส’ 1 - 0 ในศึก ‘ยูโร 2016’ รอบชิงชนะเลิศ 

เกมนี้ ‘โรนัลโด้’ ได้รับคำชมมากมาย เพราะนอกจากผลการแข่งขันจะดราม่า CR7 ที่บาดเจ็บจนต้องเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ครึ่งแรก ยังโชว์สปิริตและความเป็นผู้นำ เขาพยายามกัดฟันทนเจ็บโขยกเขยก ช่วยลุ้นและกระตุ้นเพื่อนอยู่ข้างสนามตลอดเกม จนทีมสามารถสยบเจ้าภาพได้สำเร็จ

“ผมไม่ใช่คนประเภทชอบให้คำปรึกษา ผมชอบทำให้ดูเป็นตัวอย่างมากกว่า ผมชอบการใช้ชีวิตเพื่อเป็นแบบอย่าง”

‘โรนัลโด้’ เผยถึงมุมมองส่วนตัวในฐานะบุคคลที่มีผู้ติดตามใน ‘อินสตาแกรม’ มากที่สุดในโลก (497 ล้านคนเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2022) มากกว่าดารา นักร้อง หรือนักการเมืองชื่อดังทุกวงการ

“บางครั้งผมก็ถามตัวเองว่า ทำไมผมถึงเป็นเบอร์หนึ่ง ด้วยความสัตย์ มันไม่ใช่แค่ผมเล่นฟุตบอลเก่ง เรื่องอื่นก็มีส่วน คุณต้องมีเสน่ห์ ผู้คนอยากติดต่อสัมพันธ์กับคุณ ผมคิดว่าการมีหน้าตาดีก็ช่วยเหมือนกัน (หัวเราะ)” CR7 บอกกับ ‘เพียร์ส มอร์แกน’ ด้วยความมั่นใจ

ความสำเร็จของ ‘โรนัลโด้’ ซึ่งมาจากความมั่นใจในตัวเอง การขยันหมั่นฝึกซ้อม และรักษาวินัยในการใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัด ได้รับการเผยแพร่และบอกต่อในวงกว้าง จนถึงขั้นมหาวิทยาลัยในแคนาดา ต้องเปิดหลักสูตรวิชาเรียนรู้การใช้ชีวิตของ ‘ซูเปอร์สตาร์’ ผู้นี้โดยเฉพาะ

‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ชีวิตในถิ่นแมนฯ ยูฯ ของ ‘ฮีโร่’ พูดตรง มั่นใจ อ่อนไหว กระหายชัยชนะ

ครอบครัวและความอ่อนไหว

แม้ชีวิตของ ‘โรนัลโด้’ จะไม่ต่างจาก ‘ซูเปอร์ฮีโร่’ ของใครหลายคน แต่เจ้าตัวยอมรับว่า ‘ผมก็คือมนุษย์’ มีหัวใจและความรู้สึกไม่ต่างจากคนทั่วไป

“เขาเคยร้องไห้ตอนจ่ายบอลให้เพื่อนแล้วเพื่อนยิงไม่เข้า พวกนั้นชอบเรียกเขาว่า ‘เด็กขี้แย’ และ ‘ผึ้งน้อย’ เพราะไม่มีใครสามารถไล่จับเขาได้” มาเรีย โดโลเรส เล่าถึงฉายาในวัยเด็กของลูกชายในหนังสารคดี ‘Ronaldo’

‘โรนัลโด้’ ไม่เคยปิดบังความเป็นคนอ่อนไหวของตัวเอง เขากล้าร้องไห้หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาในที่สาธารณะเมื่อรู้สึกดีใจหรือเสียใจอย่างสุดซึ้ง สิ่งนี้สามารถสังเกตได้ในเกมสำคัญมากมาย รวมถึงนัด ‘โปรตุเกส’ คว้าแชมป์ยุโรป เขาร้องไห้เสียใจเมื่อถูกเปลี่ยนตัวออกเพราะบาดเจ็บ ก่อนจะร้องไห้ด้วยความดีใจหลังเสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้น

ความอ่อนไหวยังมีส่วนทำให้ ‘โรนัลโด้’ ต้องแตกหักกับ ‘เทน ฮาก’ และผู้บริหาร ‘ปีศาจแดง’ เมื่อเจ้าตัวบอกกับ ‘เพียร์ส มอร์แกน’ ว่า บุคคลเหล่านี้ไม่เคยเชื่อคำพูดของเขา ตอนบอกเหตุผลที่ไม่เดินทางไปร่วมทัวร์ช่วงพรีซีซั่นที่ ‘กรุงเทพฯ’ และ ‘ออสเตรเลีย’ เพราะลูกสาวล้มป่วย

“ผู้คนต้องเข้าใจว่าผมก็เป็นมนุษย์ ผมเลือกที่จะอยู่ข้างครอบครัวเสมอ”

ในชีวิตของ ‘โรนัลโด้’ สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดนอกจากฟุตบอล คือครอบครัว เขาพยายามทำตัวเป็น ‘แฟมิลี่ แมน’ คอยดูแลลูก ๆ และขับรถรับ - ส่งที่โรงเรียนด้วยตนเองเสมอเมื่อมีเวลา

CR7 มีลูกทั้งหมด 5 คน คนโตชื่อ ‘คริสเตียโน่ จูเนียร์’ เกิดปี 2010 กับสตรีที่เป็นความลับ ยังไม่เปิดเผยตัวตน ลูกอีก 2 คนต่อมาเป็นฝาแฝดชาย - หญิงชื่อ ‘มาเตโอ’ และ ‘เอวา’ เกิดจากการ ‘อุ้มบุญ’ ในปี 2017 

ส่วนคนที่ 4 และ 5 ชื่อว่า ‘อลาน่า’ (2017) และ ‘เบลล่า’ (2022) เกิดกับแฟนสาว ‘จอร์จิน่า โรดริเกซ’ นางแบบลูกครึ่งสเปน - อาร์เจนติน่า ซึ่งอายุอ่อนกว่า ‘โรนัลโด้’ 9 ปี

ความจริงแล้ว นอกจาก ‘เบลล่า’ ลูกคนสุดท้อง ยังมีฝาแฝดเพศชายที่คลอดออกมาพร้อมกัน แต่แฝดชายรายนั้นเสียชีวิตระหว่างคลอด โดย ‘โรนัลโด้’ บรรยายถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นว่าเป็น ‘ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุด’ ในชีวิตของเขา นับตั้งแต่พ่อของเขาจากไปในปี 2005

‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ชีวิตในถิ่นแมนฯ ยูฯ ของ ‘ฮีโร่’ พูดตรง มั่นใจ อ่อนไหว กระหายชัยชนะ

ไม่เคยหยุดกระหายชัยชนะ

“ผมมองฟุตบอลตอนนี้ว่าเป็นธุรกิจ ด้วยความสัตย์ บางครั้งก็รู้สึกว่า ผมไม่เข้าใจทำไมพวกเขาปฏิบัติกับนักเตะเหมือนเศษเนื้อก้อนหนึ่ง

“เมื่อพวกเขาต้องการคุณ อยากพึ่งคุณ เขายอมให้คุณได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ต้องการ เขาจะพยายามทำให้ชีวิตคุณยากลำบาก” 

โรนัลโด้ ค้นพบสัจธรรมในอาชีพค้าแข้งและตัดพ้อกับ ‘เพียร์ส มอร์แกน’ ถึงความขัดแย้งกับ ‘เทน ฮาก’ ซึ่งมักบอกออกสื่อว่าเคารพ ‘ซูเปอร์สตาร์’ ชาวโปรตุเกส แต่ CR7 บอกว่า การกระทำมักสวนทางกับคำพูด

‘โรนัลโด้’ ยอมรับว่า ในวัย 37 ปี เขาอาจไม่เหมือนช่วงอื่นที่ผ่านมา แต่ก็มั่นใจว่า ตนเองยังมีศักยภาพในการพาทีมคว้าชัย และยังคงกระหายในชัยชนะ

ความทะเยอทะยานและต้องการเป็นผู้ชนะ คือคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ ‘โรนัลโด้’ กลายเป็นตำนาน เขาเคยเปิดใจในหนังสารคดีชีวิตของตนเองว่า 

“ชัยชนะคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม เหตุผลมันง่าย ๆ แค่นั้น”

‘นูโน่’ ลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกัน ช่วยยืนยันอีกแรงว่า “ข้อเสียเดียวของเขา (โรนัลโด้) คือ ความดื้อรั้น เขาเกลียดความพ่ายแพ้ แม้แต่ตอนเล่นไพ่กับเพื่อนๆ”

ตอนคว้ารางวัล ‘บัลลงดอร์’ สมัยแรก CR7 ประกาศให้โลกรู้ทันทีว่า “รางวัลนี้มันสำคัญมากจนผมต้องการอยากได้อีก ผมจะตื่นขึ้นมาทุกเช้าและบอกกับตัวเองว่า ‘ผมต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ”

แม้โอกาสคว้า ‘บัลลงดอร์’ ลูกที่ 6 ของเขาจะค่อย ๆ ริบหรี่ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น และอนาคตกับสโมสรที่เคยสร้างชื่อเสียงมาจะไม่แน่นอน แต่เชื่อว่า ผู้ชายคนนี้ยังคงไม่ยอมแพ้ หรือหยุดกระหายความสำเร็จ เขายังคงต้องการทำผลงานให้ดีที่สุดกับทีมชาติโปรตุเกส ในฟุตบอลโลก ‘กาตาร์ 2022’

‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ยังคงเป็น ‘ฮีโร่’ ที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม พูดจาตรงไปตรงมา แต่อ่อนไหวไม่ต่างจากคนทั่วไป และยังกระหายในชัยชนะ แม้ชีวิตนับจากนี้ไปจะไม่ง่าย เหมือนกับชีวิตของ ‘ซูเปอร์แมน’ ในบทเพลงที่ว่า

‘It may sound absurd but don't be naïve

Even heroes have the right to bleed

I may be disturbed but won’t you concede

Even heroes have the right to dream

And it's not easy to be me’

 

‘มันอาจฟังดูขบขันแต่จงอย่าโลกสวย

แม้แต่ ‘ฮีโร่’ ก็มีสิทธิเลือดตกยางออก

ผมอาจเป็นตัวป่วน แต่คุณยอมรับหรือไม่

แม้แต่ ‘ฮีโร่’ ก็มีสิทธิที่จะฝัน

และการเป็นตัวผมนั้นมันไม่ง่ายเลย’

 

เรื่อง: ภานุวัตร เอื้ออุดมชัยสกุล

อ้างอิง:

ภาพยนตร์สารคดี ‘Ronaldo’ (2015)

Cristiano Ronaldo Documentary - Greatest Of All Time (BBC 2017)

Full Cristiano Ronaldo Interview With Piers Morgan Part 1

PART 2: The Cristiano Ronaldo Full Interview With Piers Morgan

Goal.com

Forbes

Olympics

Goal.com (2)