‘คอนเวิร์ส’ รองเท้าไอคอนระดับตำนานที่ตอนนี้โด่งดังสุดในบ้านเราจากกรณี 'พี่ศรี'

‘คอนเวิร์ส’ รองเท้าไอคอนระดับตำนานที่ตอนนี้โด่งดังสุดในบ้านเราจากกรณี 'พี่ศรี'

ตอนนี้ในบ้านเราคงไม่มีแบรนด์รองเท้าใดโด่งดังไปกว่า ‘คอนเวิร์ส’ (Converse) จากกรณี ‘พี่ศรี’ ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่า ก่อนคอนเวิร์สจะมีชื่อเสียงเป็น Iconic ของสตรีทแวร์ เคยเริ่มต้นจากรองเท้ายางกันหนาว และผ่านวิกฤตล้มละลายมาแล้ว

คอนเวิร์สถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1908 ภายใต้การผลิตของบริษัท Converse Rubber Shoe ที่ตั้งอยู่ ณ เมืองเมเดน รัฐแมสซาซูเซตส์ สหรัฐอเมริกา โดยมี Marquise Mills Converse เป็นผู้ก่อตั้ง

ยุคแรกคอนเวิร์สเป็นรองเท้ายางสำหรับกันหนาว จนในปี ค.ศ.1915 เขาได้เห็นลู่ทางใหม่จากกระแสความฮิตของรองเท้ากีฬาที่มาแรง จึงหันมาโฟกัสผลิตรองเท้ากีฬา เริ่มต้นด้วยรองเท้าเทนนิส แต่ไม่ได้รับการตอบรับดีเท่าที่ควรปี ค.ศ.1918 จุดเปลี่ยนของรองเท้าดังแบรนด์นี้ก็เกิดขึ้น เมื่อได้ผลิตรองเท้าบอสเก็ตบอล เนื่องจาก Marquise เห็นว่า คนยุคนั้นนิยมกีฬาชนิดนี้เพิ่มขึ้นแต่ไม่มีรองเท้าที่ใช้เฉพาะ จนเป็นที่มาของคอนเวิร์สรุ่น All-Star ซึ่งต่อมามีชื่อเสียงและขายดีเป็นอย่างมาก หลังจาก Charles H. Chuck Taylor นักบาสชาวอเมริกันคนดังคนหนึ่งของยุคที่หลงใหลรองเท้ารุ่นนี้มากได้เข้ามานำเสนอไอเดียพัฒนารองเท้ารุ่นนี้ให้สวมใส่สบายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พร้อมกับมารับหน้าที่เป็นทั้งดีไซเนอร์ ตัวแทนขาย และแบรนด์ แอมบาสเดอร์ (Charles H. Chuck Taylor คือ คนดีไซน์โลโก้รูปดาวให้กับรองเท้ารุ่นนี้ด้วย)

การมาของเขาได้ทำให้ Converse All-Star ประสบความสำเร็จแบบสุด ๆ เช่น ปี 1936 นักบาสชาวอเมริกันทุกคนใส่ Converse All-Star ลงแข่งขันในโอลิมปิก เป็นต้น ต่อมาภายหลังคอนเวิร์สให้เกียรติพิมพ์ลายเซ็นของ Chuck Taylor ลงบนโลโก้รูปดาว และตั้งชื่อรองเท้าเป็นรุ่น Chuck Taylor All-Star

ด้วยความเท่ห์และไม่เหมือนใคร นอกจากโด่งดังในโลกกีฬาแล้ว คอนเวิร์สได้ขยายอิทธิพลสู่วงการบันเทิง โดยเป็นรองเท้าที่ศิลปินเลือกใส่มากที่สุดตั้งแต่ยุค 70’s – 90’s อาทิ Jame Dean และ Steve McQueen โดยในปี ค.ศ.1966 คอนเวิร์สสามารถครองมาร์เก็ตแชร์ของตลาดรองเท้าสนีกเกอร์ในสหรัฐฯถึง 80% สูงกว่าแบรนด์ไหนๆ ที่ทำได้

การมาของเขาเป็นการพลิกโฉมทำให้ Converse All-Star ประสบความสำเร็จแบบสุดๆ เช่น ปี 1936 นักบาสชาวอเมริกันทุกคนใส่ Converse All-Star ลงแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ฯลฯ จนต่อมาภายหลังคอนเวิร์สให้เกียรติพิมพ์ลายเซ็นของ Chuck Taylor ลงบนโลโก้รูปดาว และตั้งชื่อรองเท้าเป็นรุ่น Chuck Taylor All-Star

ด้วย ‘ความเท่ห์’ และ ‘ไม่เหมือนใคร’ นอกจากโด่งดังในโลกกีฬาแล้วคอนเวิร์สได้ขยายอิทธิพลสู่วงการบันเทิง โดยเป็นรองเท้าที่ศิลปินเลือกใส่มากที่สุดตั้งแต่ยุค 70’s – 90’s ไม่ว่าจะเป็น Jame Dean และ Steve McQueen

ในปี ค.ศ.1966 คอนเวิร์สสามารถครองมาร์เก็ตแชร์ของตลาดรองเท้าสนีกเกอร์ในสหรัฐฯถึง 80% สูงกว่าแบรนด์ไหนๆ 

เมื่อเฟื่องฟูสุดขีดคอนเวิร์สเริ่มเข้าสู่ยุค ‘ตกต่ำ’ เนื่องจากคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Nike, Puma และ Adidas พัฒนาเทคโนโลยีและกลยุทธ์การตลาดออกมาแข่งขันแบบต่อเนื่อง ขณะที่คอนเวิร์สเองแทบไม่มีความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ บวกกับการบริหารภายในผิดพลาด ส่งผลให้ปี ค.ศ.2001 บริษัท Converse Rubber Shoe ตกอยู่ในสถานะ ‘ล้มละลาย’

กระทั่งปี ค.ศ.2003 Nike ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของคอนเวิร์ส ด้วยเงินประมาณ 309 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเข้าไปช่วยพัฒนาหลายด้าน ทั้งเทคโนโลยี การดีไซน์ให้มีความเป็นไลฟ์สไตล์ และการไป collaboration ทั้งกับแบรนด์ดังและคนดัง จนแบรนด์นี้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งอย่างที่เห็นในปัจจุบัน   

นอกจากนี้คอนเวิร์สยังมีแบรนด์ลูกที่มีชื่อเสียงดัง นั่นคือ Jack Purcell ซึ่งคอนเวิร์สไปซื้อแบรนด์มาเมื่อปี ค.ศ.1970 โดยยุคเริ่มต้นนั้น Jack Purcell เป็นรองเท้าแบตมินตัน แต่ต่อมามีการใส่ความเป็นไลฟ์สไตล์ และถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับความนิยมมาถึงตอนนี้

.

ภาพ : converse, Nation

.

อ้างอิง

https://www.converse.com/country-language-selector

https://www.complex.com/sneakers/2013/05/50-things-you-didnt-know-about-converse-chuck-taylor-all-stars/ramones

http://historyofconverse.weebly.com/history.html

https://www.converse.co.th/