27 ต.ค. 2563 | 14:13 น.
ไซมอนใช้เวลาในการแต่งเพลงที่เปรียบเสมือนบทกวีแห่งความเงียบนี้ถึง 6 เดือน แต่การเดินทางของเพลงกลับยาวนานยิ่งกว่า เมื่อเพลงนี้ได้ปล่อยออกไป พร้อมกับความเงียบงันจากกระแสตอบรับที่ไม่ได้ดีเอาเสียเลย ทั้งสองถูกเปรียบเทียบกับเทพเจ้าหัวฟู บ็อบ ดีแลน ที่ช่วงนั้นดังและโดนใจกว่า ความผิดหวังนั้นนำมาซึ่งการที่ทั้ง 2 ทบทวนตัวเองใหม่ แล้วทั้ง 2 ก็แยกย้ายกันอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงอัลบั้มแรกและอัลบั้มเดียวไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจ แต่แล้วบทเพลง The Sound of Silence กลับค่อย ๆ ทวีความดังขึ้น เมื่อเหล่านักศึกษาได้ยินเพลงต่างพากันขอเพลงนี้ให้รายการวิทยุเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากที่เงียบงันกลายเป็นเพลงที่แผดความดังตลอด 1 ปีให้หลัง มันเป็นเพลงขับกล่อมในช่วงเวลายามค่ำคืน เป็นเพื่อนใจที่เหล่านักศึกษาใช้มันเพื่อฟังคลอประกอบการอ่านหนังสือสอบ จนค่ายเพลง Columbia ต้องกลับมาประชุมกันอีกครั้งเพื่อผลักดันเพลงนี้ให้กลับมามีกระแสไม่ใช่เพลงฮิตในช่วงเวลาสนธยาเท่านั้น และคนที่ปลุกชีพบทเพลงแห่งความเงียบงันให้เป็นเพลงที่ดังอีกครั้งก็คือ ทอม วิลสัน โปรดิวเซอร์ที่ดูแลผลงานของศิลปินทั้ง 2 นั่นเอง เมื่อเขามองว่าในเวลานั้นบทเพลงโฟล์คร็อคที่ผสานดนตรีในแบบออร์แกนิครวมกันเข้ากับดนตรีไฟฟ้าที่ บ็อบ ดีแลน ได้แผ้วถางมันมาจากบทเพลง Like a Rolling Stone กำลังโด่งดัง เป็นกระแสและเป็นเพลงที่ทอมโปรดิวส์เองกับมือ เขาจึงเสนอให้ The Sound of Silence กลับมาผสมผสานดนตรีไฟฟ้าเข้าด้วยกันใหม่ และปล่อยเพลงนี้อีกครั้ง และแน่นอน บทเพลงที่เงียบงันกลับกระหึ่มในทุก ๆ พื้นที่ สามารถค่อย ๆ ไต่อันดับแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ จนสามารถติดชาร์ทอันดับ 1 Billboard Chart ต้อนรับวันปีใหม่ 1967 ทั้ง 2 หวนคืนกลับสู่การทำอัลบั้มร่วมกันอีกครั้ง เพื่อตอบรับความสำเร็จที่เป็นตะกอนนอนก้นมานานแสนนาน นอกจากนั้น บทเพลงยังไปเตะหูของ ไมค์ นิโคลส์ ผู้กำกับหนังเข้าอย่างจังจนเขานำเพลงนี้ไปประกอบภาพเรื่อง The Graduate(1967) ที่เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มว้าวุ่นที่ถูกสังคมของผู้ใหญ่กดทับจนต้องระเบิดออกมา มันกลายเป็นหนังแห่งยุคสมัยที่หลายคนโปรดปรานจนได้รับรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเป็นกระบอกเสียงของหนุ่มสาวที่โหยหาอิสรภาพและต้องการปลดแอกจากพันธนาการที่สังคมยุคเก่าเข้าครอบงำ และ The Sound of Silence ก็ประกอบอย่างลงตัวในซีนสุดท้ายของหนังที่เผยให้เห็นความเงียบงันในตอนจบของชะตากรรมพระเอกนางเอกบนทางที่ทอดยาวที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะลงเอยอย่างไรได้อย่างยอดเยี่ยมและเป็นที่จดจำตราบนานเท่านาน บทเพลงนี้ยังเป็นหนึ่งในเพลงชาติที่บ่งบอกถึงความสภาวะเงียบงันที่ถูกปิดหูปิดตาจากผู้ใหญ่ ในจังหวะเดียวกันที่อเมริกาผ่านการนำของริชาร์ด นิกสัน ที่นำเด็กหนุ่มบริสุทธิ์มากมายไปตายในสมรภูมิสงครามเวียดนาม ยิ่งส่งผลให้บทเพลงนี้มีพลังอย่างน่าเหลือเชื่อเข้าไปอีก เมื่อมันถูกบรรจุให้อยู่ในบทเพลงต่อต้านสงครามที่ยิ่งใหญ่เคียงข้างบทเพลง Imagine ของ จอห์น เลนนอน แม้ทั้ง 2 พอล ไซมอน และ อาร์ต การ์ฟังเกล ท้ายที่สุดนั้นแยกทางกันอย่างเด็ดขาดในปี 1970 และรียูเนียนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ The Sound of Silence ก็เป็นตัวแทนเพลงอันยิ่งใหญ่ที่ทดแทนได้ถึงพลังเงียบ การต่อสู้ระหว่างรุ่น และเพลงแห่งเสรีภาพที่ทั้งอ่อนหวานและแผดกล้า เพื่อบ่งบอกว่า “เราจะไม่มีวันเงียบอีกต่อไป”