เปาโล มัลดินี “อิล กัปปิตาโน” กัปตันอมตะ ผู้กำลังเอาชนะโควิด -19

เปาโล มัลดินี “อิล กัปปิตาโน” กัปตันอมตะ ผู้กำลังเอาชนะโควิด -19
บนป้ายโฆษณาของไนกี้ ก่อนศึกยูโร 1996 ที่อังกฤษ มีข้อความว่า “ผู้รักษาประตูของทีมชาติอิตาลี คืองานที่ง่ายที่สุดในยุโรป” พร้อมกับรูปของนักเตะกองหลังคนหนึ่งที่กลายเป็นตำนาน “อิล กัปปิตาโน” เปาโล มัลดินี (Paolo Maldini) “ผมพยายามจะเซ็นสัญญากับมัลดินี แต่เมื่อผมมีโอกาสพบกับพ่อของเขา เขาน่าเกรงขามมาก และผมถึงกับต้องสะดุ้งเมื่อเขาบอกว่า ‘ปู่ของผมเป็นมิลาน พ่อของผมก็มิลาน ผมเองก็มิลาน ลูกชายผมก็มิลาน ฉะนั้น ลืมมันไปเถอะ’” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการแห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยกล่าวไว้ เป็นอีกหนึ่งนิยามที่ถูกหยิบยกมากล่าว หากจะมีการพูดถึงผู้เล่นตำแหน่งกองหลังที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เปาโลคือบุตรชายของ เซซาเร มัลดินี อดีตกัปตันทีม “ปีศาจแดงดำ” คนแรกที่พาทีมเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ปี 1962/63 ในวัย 10 ปี เปาโลเข้าสู่อคาเดมีของมิลาน หลังจาก ฟาอุสโต บรากา แมวมองฝีมือดีในยุคนั้นพามาทดสอบฝีเท้า เมื่อเปาโลอายุ 16 ปี ก็ได้ลงสนามแมตช์ทางการครั้งแรก และวันที่ 20 มกราคม ปี 1985 คือวันที่เขาจะไม่มีวันลืมการแข่งขันระหว่าง มิลาน-อูดิเนเซ่ เพราะเป็นวันที่เขาถูกเปลี่ยนตัวลงไปเล่นในสนาม แม้ฤดูกาลแรก เปาโลจะยังไม่ได้ยึดตำแหน่งตัวจริง แต่ฤดูกาลถัดมาเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้กับเอซี มิลาน ในยุคทศวรรษที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ลบเสียงครหาว่าเขาเป็น “เด็กเส้น” ได้แบบไร้ข้อกังขา ช่วงปลายทศวรรษ 1980 ถึงต้นทศวรรษ 1990 เปาโลผนึกกำลังกับ “ฮอลแลนด์ ทรีโอ” อย่าง รุด กุลลิท, แฟรงก์ ไรจ์การ์ด และ มาร์โก แวน บาสเทน ประกาศศักดา คว้าถ้วยรางวัลทั้งในและนอกประเทศ และทำให้กัลโช่ เซเรีย อา ของอิตาลีเป็นลีกที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ซูเปอร์สตาร์นักเตะต่างพาเหรดเข้ามาสู่ลีกแดนมักกะโรนี ไม่ว่าจะเป็น ดิเอโก มาราโดนา ของนาโปลี สามประสานเยอรมันแห่งอินเตอร์ มิลาน” โลธาร์ มัทเธทอุส, เจอร์เกน คลินส์มันน์, และ อันเดรียส เบรห์เม หรือจะเป็น พอล แกสคอยน์ ของลาซิโอ้ ถึงแต่ละทีมจะมีดาวดังขนาดไหน แต่มิลานก็ยังผงาดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ 2 สมัยติดต่อกันในปี 1988/89 และ 1989/90 แชมป์สคูเดตโตของเซเรีย อา 3 สมัยติด ตั้งแต่ปี 1991-1994 อีกทั้งยังทำสถิติอมตะไร้พ่ายถึง 58 นัด แบบที่ยังไม่มีสโมสรไหนมาลบได้ ด้วยความเหนียวแน่นของแนวรับระดับตำนานอันประกอบด้วย มัลดินี ,ฟรังโก บาเรซี และ อเลสซานโดร คอสตาคูร์ตา ทำให้มิลานกลายเป็นทีมแพ้ยาก แทบจะไม่แพ้ใครในกัลโช่ เซเรีย อา ในยุคที่แข็งแกร่งที่สุดเกือบ 2 ปี สไตล์การเล่นของมัลดินี มีคำจำกัดความว่า “ Art of Defending” หรือ “ศิลปะแห่งการตั้งรับ” เราจะไม่เห็นการวิ่งไล่กวดคู่แข่งแบบบ้าพลัง หรือการเล่นสกปรกสไตล์กองหลังขาโหด แต่เขาใช้การอ่านเกมที่เด็ดขาดในการเข้าสกัด วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงบอลได้ง่าย หรือเมื่อครองบอลแล้วก็ต้องทำให้เขาตัดสินใจลำบากที่สุด ถึงแม้ฟุตบอลสมัยใหม่จะให้ความสำคัญกับกองหลังน้อยกว่ากองหน้าหรือเพลย์เมกเกอร์ แต่ผลงานอันดับที่ 3 ในเวที “บัลลงดอร์” หรือลูกฟุตบอลทองคำของมัลดินี 2 สมัยในปี 1994 และ 2003 ทำให้เห็นว่าเขานั้นแตกต่างจากกองหลังทั่วไป เมื่อ “ตำนานลิเบโร” อย่าง ฟรังโก บาเรซี เริ่มโรยรา เขาได้ส่งมอบปลอกแขนกัปตันทีมเอซี มิลาน และทีมชาติอิตาลีไว้กับมัลดินี ไม่มีใครเคลือบแคลงในภาวะผู้นำของเขา เพราะนอกจากป้องกันในแนวรับได้เหนียวแน่น ไม่ว่าจะถูกจับไปเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก หรือแบ็กซ้ายและขวา เขาก็ทำงานได้อย่างไร้ที่ติ มัลดินีเป็นผู้นำที่ปลุกเร้าสั่งการลูกทีมอยู่ตลอดเวลา และเป็นศูนย์รวมจิตใจของทีมอย่างแท้จริง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “อิล กัปปิตาโน” หรือ ท่านกัปตัน จุดบกพร่องในชีวิตของมัลดินี อาจเป็นการประสบความสำเร็จในทีมชาติน้อยเกินไป เมื่ออิตาลีพ่ายบราซิลในการดวลจุดโทษนัดชิงฟุตบอลโลกที่สหรัฐฯ ในปี 1994 และยังได้รับบทพระรองอีกครั้งในศึกยูโร 2000 ที่เนเธอร์แลนด์และเบลเยียมเป็นเจ้าภาพ ด้วยการแพ้ฝรั่งเศสในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่คงไม่มีสิ่งไหนด่างพร้อยเท่ากับนัดสุดท้ายในนามทีมชาติอิตาลี ปี2002 ในฟุตบอลโลกฉบับเอเชีย เมื่ออิตาลีแพ้ให้กับเจ้าภาพ “เกาหลีใต้” ในเกมที่มีข้อกังขาและสกปรกที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก กลายเป็นนัดอำลาที่ไม่น่าจดจำ ในช่วงวัย 30 กว่า หลังจากจบฟุตบอลโลกที่ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ เริ่มมีคนถามว่ามัลดินีจะยืนระยะได้ยาวนานเท่าไหร่ แต่ในปี 2002/03 มัลดินีก็พาทีมเป็นแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จในฐานะกัปตัน กลบเสียงวิจารณ์ และสร้างสถิติเป็น “พ่อลูกกัปตันคู่แรกที่ได้แชมป์ถ้วยใหญ่สุดของยุโรป” ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2006/07 มัลดินีก็นำทัพคว้าแชมป์ถ้วยยุโรปได้อีกครั้ง และเป็นเจ้าของสถิติได้แชมป์ยุโรป 5 สมัย เทียบเท่า อัลเฟรดโด ดิ สเตฟาโน ของเรอัล มาดริด และต่อมาก็มี คริสเตียโน โรนัลโด ที่สามารถทำได้เท่ากัน แต่ทำได้กับสองสโมสร คือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1 สมัย และกับเรอัล มาดริด อีก 4 สมัย ปี 2008/09 เป็นฤดูกาลสุดท้ายของมัลดินีในเซเรีย อา เขายังคงลงเล่นไปถึง 30 นัด ก่อนที่จะอำลาสนามซานซิโรที่เขารับใช้มาตลอด 24 ปี กับเอซี มิลาน สโมสรเดียวตลอดชีวิต ทางสโมสรให้เกียรติสูงสุดกับมัลดินี ด้วยการประกาศรีไทร์เสื้อหมายเลข 3 อันเป็นหมายเลขประจำตัวของเขา โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ที่ใส่จะต้องเป็นลูกของตระกูลมัลดินีเท่านั้น ในแบบที่เซซาเรและเปาโลได้รับใช้สโมสรแห่งนี้ ซึ่งลูกชายของมัลดินี ทั้ง คริสเตียน และ ดาเนียล มัลดินี ต่างก็เป็นนักเตะเยาวชนของมิลาน เหมือนคุณพ่อและคุณปู่เซซาเรของพวกเขา เปาโลหวนกลับ “บ้าน” ของเขาอีกครั้งในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสโมสร เมื่อปี 2018 เพื่อเข้ามากอบกู้วิกฤตของเอซี มิลาน ในช่วงถดถอย เป็นจังหวะเดียวกับที่ ดาเนียล ลูกชายของเขาซึ่งเป็น “มัลดินี รุ่นที่ 3” โชว์ฟอร์มโดดเด่นกับทีมเยาวชนของมิลาน และมีโอกาสประเดิมสนามกับเอซี มิลาน ชุดใหญ่ นัดแรกของกัลโช่ เซเรีย อา ในวัย 18 ปี ในนัดที่เสมอกับเวโรน่าเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และเตรียมสานต่อความสำเร็จของ “Maldini Dynasty” แต่เป็นเรื่องโชคร้าย เมื่อสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ในอิตาลีแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความปกติของประชาชน แม้กระทั่งฟุตบอลที่เป็นกีฬาอันดับหนึ่งของชาวอิตาลีก็ถูกเลื่อนออกไปทั้งหมด การแพร่ระบาดครั้งนี้ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสโควิด-19 ในอิตาลีสูงสุดในโลก และเริ่มมีข่าวนักฟุตบอลชื่อดังทยอยติดโควิด-19 โควิด-19 รุกคืบเข้าไปยังบ้านมัลดินี เมื่อมีการประกาศว่าสองพ่อลูก เปาโลและดาเนียล มัลดินี ติดเชื้อไวรัสนี้เข้าให้แล้ว สโมสรเอซี มิลาน ออกแถลงการณ์ว่า “เปาโลและดาเนียลยังสบายดี และได้ทำการกักตัวเองแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน โดยที่ไม่ได้ติดต่อกับใคร ตอนนี้พวกเขาจะได้รับการรักษาตามขั้นตอนทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้หายกลับมาปกติ” ล่าสุดมีรายงานว่าทั้งคู่อาการดีขึ้น โดยมัลดินีผู้พ่อได้อัดคลิป และกล่าวว่า “ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณทีมงานแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่อนามัย ทีมรักษาความปลอดภัย ทหารและตำรวจ ผู้ควบคุมกฎหมาย ที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะฉุกเฉินนี้ด้วยความเป็นมืออาชีพอย่างกล้าหาญที่สุด” ซึ่งแฟนบอลทั่วโลกต่างก็ส่งกำลังใจและส่งความปรารถนาดีไปให้กับครอบครัวมัลดินีและชาวอิตาลี ให้ผ่านฝันร้ายนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง หากเปาโล มัลดินี เคยป้องกันอันตรายจากทั้งการบุกของ “อิล ฟิโนมิโน” (ปรากฏการณ์) อย่างโรนัลโด “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี หรือจะเป็นนักเตะระดับต่างดาวอย่าง ลิโอเนล เมสซี มาแล้ว หวังว่าครั้งนี้การป้องกันที่ดีเยี่ยม จะทำให้เขาและลูกชายเอาตัวรอดจากโควิด-19 ไปได้เช่นกัน   เรื่อง: พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ