แดเนียล เครก Bond and Beyond

แดเนียล เครก Bond and Beyond
เส้นทาง เจมส์ บอนด์ ของ แดเนียล เครก (Daniel Craig) เริ่มต้นขึ้นในงานศพของของ แมรี เซลเวย์ (Mary Selway) เพื่อนที่แสนดีของเขาผู้เสียชีวิตในปี 2004  แมรี เซลเวย์ คือแคสติงไดเร็คเตอร์ชื่อดังที่เป็นเหมือนคุณแม่แสนดี เธอเป็นผู้ที่อุปถัมภ์อุ้มชูหางานดี ๆ มาให้เขาตั้งแต่เรียนจบจาก Guildhall School of Music and Drama แมรี่มีชื่อเสียงในวงการอย่างมากและร่วมงานกับผู้กำกับดังหลายคน ไม่ว่าจะเป็น สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg), คลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood), ซิดนีย์ พอลแล็ค (Sydney Pollack), โรเบิร์ต อัลต์แมน (Robert Altman), ริดลีย์ สก็อต (Ridley Scott) ฯลฯ เธอมีผลงานการแคสต์ตัวนักแสดงผลงานเด่น ๆ เช่น Alien (1979), Raiders of the Lost Ark (1981), Master and Commander: The Far Side of the World (2003) หรือ Love Actually (2003) แมรีขึ้นชื่อในวงการว่าเธอไม่เหมือนแคสติงไดเร็คเตอร์ทั่วไปที่มักจะหานักแสดงแล้วจบกัน แต่เธอผูกพันกับนักแสดงแต่ละคนที่เธอหามาเหมือนคนในครอบครัว แดเนียลเผยว่าแมรีดูแลเขาอย่าง ห่วงใยและดุดัน “แมรี่เป็นประเภทที่จะโทรมาหาผมในเช้าวันอาทิตย์แล้วบอกว่า แดเนียลนายมีนัดสัมภาษณ์วันจันทร์นะ!”   แมรีเป็นผู้มีพระคุณกับแดเนียลแม้กระทั่งเมื่อเธอสิ้นลมหายใจ เนื่องจากเธอเป็นเพื่อนกับ บาร์บารา บร็อคโคลี (Barbara Broccoli) ทายาทของ อัลเบิร์ต อาร์. “คับบี” บร็อคโคลี (Albert R. “Cubby" Broccoli) โปรดิวเซอร์ผู้สร้างภาพยนตร์แฟรนไชส์ เจมส์ บอนด์ แดเนียลผู้ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้แบกโลงในงานศพของแมรี ทำให้เขาได้พบกับบาร์บารา ผู้มาร่วมงานนี้เช่นกัน ทั้งสองคนทำความรู้จักเป็นครั้งแรกในงานนั้น แดเนียลเผยว่าเขาไม่เคยเจอบาร์บารามาก่อน รู้จักแต่ชื่อเธอว่าเป็นโปรดิวเซอร์หนังแฟรนไชส์พยัคฆ์ร้าย 007 แถมคิดว่าเธอน่าจะอายุสัก 70 ปีแล้ว ไม่ใช่ยังสาวและอายุห่างจากเขาเพียงไม่กี่ปีเช่นนี้  หลังจากงานศพของแมรี 6 เดือน แดเนียลได้รับการติดต่อจากบาร์บาราอีกครั้ง เธอชวนเขาร่วมจิบชากับเธอและพี่ชายต่างพ่อ ไมเคิล จี. วิลสัน (Michael G. Wilson) แดเนียลตอบตกลงไปแล้วก็ได้รับข่าวที่ไม่อยากจะเชื่อ เมื่อบาร์บาราบอกกับเขาว่า “พวกเราอยากให้คุณมาเป็นเจมส์ บอนด์” [caption id="attachment_14899" align="alignnone" width="1280"] แดเนียล เครก Bond and Beyond Layer Cake (2004)[/caption]   ตอนนั้นแดเนียลทำตัวดื้อด้านมาก แทนที่จะกระโจนเข้ารับบทที่ทุกคนแทบฆ่ากันตายเพื่อให้ได้มา แต่เขากลับรอที่จะได้อ่านบทก่อน เนื่องจากไม่รู้ว่าทำไมบาร์บาราถึงอยากได้เขามาร่วมงาน เพราะในขณะนั้นเขายังเป็นเพียงแค่นักแสดงโนเนมเท่านั้น ผลงานที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในระดับอินเตอร์ของแดเนียลคือการร่วมแสดงในหนังฮอลลีวูดเรื่อง Lara Croft: Tomb Raider (2001) ทว่าผลงานหนังแนวแก๊งสเตอร์ เรื่อง Layer Cake (2004) เป็นที่เข้าตาบาร์บารา และรู้สึกว่านี่แหละบอนด์คนใหม่ในแบบที่เธอและผู้กำกับ มาร์ติน แคมป์เบล (Martin Campbell) อยากได้ เพราะพวกเขาต้องการพาผู้ชมกลับไปยังจุดเริ่มต้นของ เจมส์ บอนด์ ในยุคที่ทั้งยังไม่มีของเล่นไฮเทคหรือเป็นเพลย์บอยควงสาวไม่ซ้ำหน้า แดเนียลคิดว่าบาร์บาราล้อเล่น แม้ว่าเขาจะขอบคุณที่เห็นแวว แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเหมาะกับบทนี้เพราะภาพลักษณ์ เจมส์ บอนด์ ที่ผ่านมาไม่ใช่สไตล์เขาเลย ในเดือนกันยายน ปี 2005 บท Casino Royale ก็แล้วเสร็จ แดเนียลได้อ่านมัน “ผมแสร้งทำเป็นเพียร์ซ (บรอสแนน) ไม่ได้ เป็นฌอน (คอนเนอรี) ก็ไม่ได้ ผมได้อ่านบทแล้วก็คิดว่าผมจะได้ทำสิ่งที่ผมต้องการคือการย้อนกลับไปเป็นบอนด์ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ขัน แต่มันก็มีอารมณ์ขันอยู่นะ เพราะบทเขียนดีมาก แต่อารมณ์ขันใน Casino Royale มันมาจากสถานการณ์มากกว่า” บอนด์ของแดเนียลจึงเลือกที่จะแสดงออกมาเป็นผู้ชายที่ขึงขังจริงจัง ไม่ได้เสน่ห์แพรวพราวแบบบอนด์คนอื่น ๆ เพราะเหตุผลง่าย ๆ คือ เขาทำไม่ได้  “ผมยักคิ้วไม่เป็นด้วยซ้ำ ผมต้องเอามือยกคิ้วตัวเอง ผมไปเล่นหูเล่นตาไม่ได้หรอก” และโชคดีที่บทเข้าทางเขาสุด ๆ จนตอบตกลงรับบทนี้     11.30 นาฬิกา วันที่ 14 ตุลาคม ปี 2005 เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตของแดเนียลไปตลอดกาล เขาได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะ เจมส์ บอนด์ คนที่ 6 แต่กลับต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเรื่องหน้าตาและรูปร่าง จนมีเว็บไซต์ danielcraigisnotbond.com เปิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านโดยเฉพาะ แต่สุดท้ายโลกก็ได้เห็นฝีมือของเขาแล้วว่าเขาคือ เจมส์ บอนด์ รูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร และลบคำครหาได้อย่างหมดจดเมื่อหนังออกฉายในปี 2006 เบื้องหลังความสำเร็จคือเขาจริงจังกับงานนี้จนขอมีส่วนร่วมทุกกระบวนการ แดเนียลจะต้องรู้ความเป็นไปทุกอย่างในการทำหนังเรื่องนี้ “ผมบอกกับบาร์บาราว่า ทางเดียวที่ผมจะเดินไปที่กองหนังเรื่องนี้แล้วพูดว่า ผมคือ เจมส์ บอนด์ ได้ก็คือการที่ผมได้รู้จักทุกแง่มุมของการทำงานหนังเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ให้ผมไปเห็นจนได้รู้ และบาร์บาราก็ตอบตกลง”  สุดท้ายโลกก็ได้เห็นฝีมือของเขาในฐานะ เจมส์ บอนด์ ต่อมาอีก 4 ภาค คือ Quantum of Solace (2008), Skyfall (2012) , Spectre (2015) และล่าสุด No Time to Die (2020)  [caption id="attachment_14917" align="alignnone" width="1600"] แดเนียล เครก Bond and Beyond Casino Royale (2006)[/caption]   พอกันทีกับบทเจมส์ บอนด์   บท เจมส์ บอนด์ เป็นทั้งโอกาสครั้งสำคัญของหน้าที่การงานแต่ก็เป็นเหมือนคำสาปด้วยเช่นกัน เขาต้องแบกรับภาพลักษณ์ของเจมส์ บอนด์ ซึ่งพ่วงมาด้วยความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ถึงขั้นที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ และได้แสดงคู่กับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในงานพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกที่ลอนดอนปี 2012 มาแล้ว แดเนียล เครก กลายเป็น เจมส์ บอนด์ ที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดด้วยเวลากว่า 14 ปีที่รับบทนี้ เอาชนะ โรเจอร์ มัวร์ (Roger Moore) ที่ทำสถิติเดิมคือ 5,118 วัน ส่วนแดเนียลครบ  5,119 วัน ไปเมื่อ 14 ตุลาคม ปี 2019 และตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะบอกอำลาว่าพอแล้วกับบทบอนด์ โดย No Time to Die จะเป็นการรับบท เจมส์ บอนด์ ครั้งสุดท้าย ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์กับสื่อ Express ของเยอรมนีว่า ถึงเวลาที่คนอื่นจะได้รับบทนี้แล้ว  “มันเป็นงานที่หนักมาก และเป็นแบบนี้มาตลอด แต่มันเป็นการร่วมแรงร่วมใจที่ยิ่งใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมซึ้งใจมากที่สุดในการเสร็จสิ้นการทำงานในหนังเรื่องนี้คือ การที่ผมได้ร่วมงานกับทีมงานบางคนที่ผมเคยทำงานด้วยมา 30 ปีแล้ว”  [caption id="attachment_14902" align="alignnone" width="1400"] แดเนียล เครก Bond and Beyond No Time to Die (2020)[/caption]   ส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้เขากลับมาแสดงครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะบอกลาอย่างเป็นทางการกับทีมงานที่เหน็ดเหนื่อยกันมานานนั่นเอง ในวันปิดกล้องของ No Time to Die แดเนียลร่วมเลี้ยงฉลองกับทีมงานทุกคนอย่างสนุกสนาน เขากล่าวในปาร์ตี้เลี้ยงฉลองว่าเขาเมานิด ๆ และจะพูดไม่ให้เยิ่นเย้อ พร้อมยกเครดิตความดีความชอบให้กับทีมงานทุกคนว่า “นี่เป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่แสนวิเศษสุดของผม พวกคุณได้ทำสิ่งที่แสนน่าทึ่งและผมภูมิใจอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับทุกคน”    คลิปฉลองปิดกล้อง   ชีวิตที่ไม่ใช่พยัคฆ์ร้าย   แน่นอนว่า แดเนียล เครก เป็นนักแสดงมีฝีมือ เขามีผลงานอีกหลายเรื่องที่แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้ง The Girl with the Dragon Tattoo (2011) และ Logan Lucky (2017) ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเล่นได้ทั้งดรามาจริงจัง จนถึงบทตลกสุดฮา รวมถึงการเป็นนักสืบมาดกวน “เบอนัวต์ บลอง” ในเรื่อง Knives Out (2019) ของผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน (Rian Johnson) ผู้เล็งเห็นศักยภาพในการแสดงของแดเนียลว่าเขาเป็นมากกว่าที่ทุกคนคิด “ถ้าคุณรู้จักเขาจากการเป็นบอนด์ คุณจะคิดว่าเขาเป็นคนซีเรียสตลอดเวลา แต่จริง ๆ ไม่ใช่เลย เขาเป็นคนที่ตลกมาก”  เรื่องนี้ แดเนียล เครก ต้องทิ้งสำเนียงอังกฤษชั่วคราว แล้วต้องหัดพูดสำเนียงทางใต้ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากระบุไว้ในบทของ ไรอัน จอห์นสัน อยู่แล้ว ซึ่งทำให้ไรอันถึงกับทึ่งและชมว่าเขาสามารถฟังสำเนียงใต้ของแดเนียลได้ทั้งวัน การแสดงของแดเนียลได้รับคำชมอย่างมากว่าเป็นจุดเด่นของเรื่อง แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะอุดมด้วยทีมนักแสดงชั้นนำมากมายก็ตาม จน ไรอัน จอห์นสัน เผยว่า หากเป็นไปได้เขาอยากจะร่วมงานกับแดเนียลอีก ผมสนุกกับการทำงานกับแดเนียลมาก  ถ้าผมกลับมาเจอแดเนียลได้อีกครั้งแล้วเราทำหนังเกี่ยวกับนักสืบเบอนัวต์ บลอง สืบคดีปริศนาอีกก็คงดี ย้ายสถานที่ใหม่ ทีมนักแสดงใหม่ คดีใหม่ มันคงจะเป็นเรื่องที่สนุกมากครับ   [caption id="attachment_14896" align="alignnone" width="1280"] แดเนียล เครก Bond and Beyond Knives Out (2019)[/caption]     เรื่องโดย: ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้   ข้อมูล Daniel Craig on Becoming James Bond | The New Yorker Festival https://www.youtube.com/watch?v=wzSRIG3Ks-Y&t=213s