หากพูดถึงแฟรนไชส์ภาพยนตร์แอ็กชันสุดมัน ยิงดุแบบกระสุนไม่มีวันหมด และโหดสะใจระดับระเบิดภูเขาเผากระท่อม ถ้าไม่มีชื่อ Rambo ติดโผคงเป็นเรื่องผิดมหันต์ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 37 ปีของแฟรนไชส์นี้ แรมโบ้สร้างชื่อในฐานะ “นักรบเดนตาย” จนเป็นหนึ่งในไอคอนของทหารโหด (ท้ายรถบรรทุก) เป็นที่เรียบร้อย
“แรมโบ้” มีชื่อเต็มว่า “จอห์น เจมส์ แรมโบ้” เป็นตัวละครที่ทุกคนต่างรู้จักกันดีจากแฟรนไชส์ Rambo 5 ภาค ตั้งแต่ปี 1982 จนถึง 2019 ประกอบไปด้วย First Blood (1982), Rambo: First Blood Part II (1985), Rambo III (1988), Rambo (2008) และล่าสุด Rambo: Last Blood (2019)
[caption id="attachment_12324" align="alignnone" width="479"]
แรมโบ้[/caption]
ตามประวัติแล้ว แรมโบ้ เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฏาคม ปี 1947 เป็นอดีตทหารหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ (Green Beret) อ้างอิงจากหน่วยรบสหรัฐฯ ที่มีอยู่จริง เป็นหน่วยที่เชี่ยวชาญในด้านการแทรกซึมเข้าไปยังภูมิประเทศต่าง ๆ และใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรเพื่อหาข้อมูลสำคัญก่อนเปิดสงครามเต็มรูปแบบ แรมโบ้ถูกวางไว้เป็นคาแรกเตอร์ทหารที่เก่งกาจที่สุดในหน่วย เป็นนักรบกล้ามโต และเป็นเครื่องจักรสังหาร
ด้วยเหตุนี้เอง แรมโบ้จึงมักได้รับภารกิจนอกประเทศอยู่บ่อยครั้ง เช่น Rambo: First Blood Part II เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือเชลยสงครามในประเทศเวียดนาม, Rambo III ร่วมมือกับกองกำลังปลดปล่อยในประเทศอัฟกานิสถานเพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่ถูกจับ และ Rambo ร่วมมือกับกลุ่มทหารรับจ้างเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้เผยแพร่ศาสนาในประเทศพม่า
หากสังเกตการสู้รบของเขาจะพบว่า แรมโบ้ไม่เคยมีแบบแผน แต่สามารถรับมือได้กับสถานการณ์ทุกรูปแบบ แทรกซึมได้ทุกสถานที่ เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธทุกอย่าง การต่อสู้ด้วยมือเปล่า และมีทักษะซุ่มโจมตีเหนือชั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะเป็นทหารที่ไร้เทียมทาน เพราะนักรบทุกคนย่อมเคยมีบาดแผล
แต่บาดแผลที่ว่า เป็นบาดแผลที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
[caption id="attachment_12319" align="alignnone" width="1440"]
แรมโบ้[/caption]
ย้อนกลับไปตอนที่เขาเป็นเชลยสงครามในเวียดนาม แรมโบ้โดนทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ จนทำให้เขามีบาดแผลภายในจิตใจอย่างรุนแรงที่เรียกว่า ภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง หรือ PTSD (Post-traumatic stress disorder) ภาวะชนิดนี้สามารถพบได้มากในหมู่ทหารผ่านศึก ซึ่งบางคนหายจากโรคนี้หลังได้รับการรักษา ขณะที่บางคนจะมีอาการของโรคนี้ไปตลอดชีวิต
และหนึ่งในผู้โชคร้ายที่ต้องอยู่กับโรคนี้ไปจนตลอดชีวิตก็คือ จอห์น แรมโบ้
จะว่าไปแล้ว เครดิตความยิ่งใหญ่ของแรมโบ้ต้องยกความดีความชอบให้กับนักแสดง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) ผู้รับบทนักรบกล้ามโตมาอย่างยาวนาน และเคยเสี่ยงตายมาแล้วในทุกบทบาท
“ตามความคิดผมนะ ระดับความเจ๋งของหนัง วัดจากความรุนแรงของบาดแผล” สตอลโลนกล่าวด้วยสีหน้าแจ่มใส
แอ็กชันสตาร์มือเก๋าเคยถูกต่อยที่หน้าอกจนหัวใจเกือบหยุดเต้นใน Rocky IV (1985) เคยกระดูกคอร้าวใน The Expendables (2010) หรืออย่าง First Blood ที่กระโดดใส่ต้นไม้จนซี่โครงหักมาแล้ว แต่บาดแผลเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดแสดงแต่อย่างใด
ปี 2019 ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ในวัย 73 ปี ยังคงกลับมาแสดงในภาพยนตร์สุดท้ายของแฟรนไชส์ Rambo: Last Blood ปิดฉากอันสมบูรณ์ของตัวละครแรมโบ้ที่เขาแสดงมานานกว่า 37 ปี
แน่นอน การกลับมาแสดงภาพยนตร์แอ็กชันในวัยปู่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเหมือนเดิม ระหว่างการถ่ายทำ Rambo: Last Blood เขาถูกหามส่งโรงพยาบาลอีกครั้ง ซึ่งสตอลโลนเล่าว่าการแสดงฉากบู๊ด้วยอายุปูนนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย
“ผมเข้าโรงยิมมาไม่ได้สักพักใหญ่แล้ว นั่นไม่ใช่เพราะผมขี้เกียจ แต่เป็นเพราะผมกำลังแสดงใน Rambo อยู่ ซึ่งมันได้สร้างความเสียหายและอาการบาดเจ็บกับร่างกายของผมเป็นอย่างมาก การกลับมารับบทนี้ ถ้าว่ากันตามความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย แต่ถ้าคุณอยากจะได้บทตัวเอก คุณก็จะต้องออกไปไขว่คว้ามันมาให้ได้ด้วยมือของคุณเองไง”
สำหรับ Rambo: Last Blood เล่าเรื่องหลังจากที่แรมโบ้กลับมายังถิ่นกำเนิดเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบ เขาตั้งรากฐานอยู่ที่ฟาร์มม้าและคอยดูแลธุรกิจที่ตกทอดมาจากตระกูล ที่นี่ทำให้เขาได้รู้สึกว่าถึงความเป็นบ้าน โดยมี “มาเรีย” รับบทโดย เอเดรียนา บาร์ ราซา (Adriana Barraza) และหลานสาวของเธอ “แกเบรียลลา” รับบทโดย อีเวตต์ มอนเรอัล (Yvette Monreal) ที่เปรียบเสมือนครอบครัว
“มันคือเรื่องราวในอีก 10 ปีต่อมาหลังจากที่พวกเราได้เจอแรมโบ้ครั้งล่าสุด จากคนที่พยายามทำตัวออกห่างจากสังคม กลายเป็นคนที่มีครอบครัวที่รัก และเขาก็อยากปกป้องพวกเธอ”
แกเบรียลลาเป็นเด็กสาวที่สูญเสียแม่ แต่คุณพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่กลับทอดทิ้งเธอ ทำให้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับมาเรียและแรมโบ้ที่ชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก แกเบรียลลาจึงเป็นเสมือนตัวแทนของความบริสุทธิ์ที่ยังคงเหลืออยู่บนโลกนี้สำหรับแรมโบ้ และแรมโบ้เป็นเสมือนตัวแทนของพ่อสำหรับแกเบรียลลา
วันหนึ่งแกเบรียลลาตัดสินใจออกตามหาคุณพ่อ ทำให้ครอบครัวแรมโบ้เข้าไปพัวพันกับแก๊งค้ามนุษย์สุดโหดจากเม็กซิโก และนั่นทำให้สงครามครั้งสุดท้ายปะทุขึ้น นักรบเดนตายจึงต้องจับอาวุธอีกครั้ง
[caption id="attachment_12322" align="alignnone" width="1499"]
แรมโบ้[/caption]
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น จิตใจของเขาก็ยังคงเจ็บปวดกับบาดแผลจากสนามรบ อาการของเขาไม่เคยดีขึ้น แรมโบ้ยังคงต้องข่มมันไว้ทุกวันด้วยการใช้ยา ความทรมานจึงถาโถมใส่จิตใจของเขาตลอดเวลา
“แรมโบ้พยายามหาสถานที่สุดท้ายสำหรับการเดินทางของเขา” ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน กล่าว “ภาคนี้เป็นภาคที่เขาพยายามหาจุดหมายปลายทางของชีวิต ปลายทางสุดท้ายของนักรบเดนตายคือที่ไหนกันแน่ เขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่สร้างบาดแผลให้กับจิตใจของเขาอีกครั้ง เขาได้กลับไปเป็นนักรบที่เรารู้จัก แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการก็ตาม”
ไม่เท่านั้น สตอลโลน ยังเสริมว่า “หนึ่งในโรคร้ายที่กัดกร่อนมนุษยชาติมาทุกยุคสมัยก็คือ ความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ไร้จุดหมาย เมื่อคุณเป็นคนหนึ่งที่มีโรคนี้ คุณก็จะกลายเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อคนที่คุณรัก ผมอยากให้ทุกคนรับรู้ว่า แม้แต่คนอย่างแรมโบ้ก็ต้องการความสัมพันธ์บางอย่าง ซึ่งสิ่งนั้นเรียกว่าความรัก”
ผู้กำกับ เอเดรียน กรันเบิร์ก (Adrian Grunberg) ให้สัมภาษณ์ว่าแรมโบ้ภาคนี้จะคล้ายคลึงกับ “วูลฟ์เวอรีน” ใน Logan (2017) โดยเฉพาะการพาผู้ชมสำรวจสภาวะป่วยทางจิตใจของเขาจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD)
“ตัวตนของแรมโบ้เป็นตัวเลือกที่จะถ่ายทอดความเจ็บปวดจากสภาวะดังกล่าว และเขาก็จะหลีกหนีไม่ได้ ซึ่งมันทำให้เขาดูมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น โดยส่วนตัวแล้ว ผมคาดหวังว่านี่จะเป็นภาคสุดท้าย มันให้ความรู้สึกในเชิงกวีมาก ๆ ผมคิดว่าผู้ชมก็จะรู้สึกขอบคุณและพึงพอใจ”
ท้ายที่สุดแล้ว Rambo อาจไม่ใช่ภาพยนตร์แอ็กชันมันระห่ำเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์ปิดท้ายแฟรนไชส์ได้บอกกับเราอย่างมีนัยยะสำคัญก็คือ แม้บุคคลที่ภายนอกดูแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ตาม แต่ภายในนั้นกลับมิได้แข็งแกร่งตาม พวกเขายังมีความอ่อนแอ ความเจ็บปวด ความทรมาน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ
[caption id="attachment_12321" align="alignnone" width="1500"]
แรมโบ้[/caption]