‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากซีอีโอสาย Call Out สู่การพิสูจน์ฝีมือในฐานะนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากซีอีโอสาย Call Out สู่การพิสูจน์ฝีมือในฐานะนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

‘เศรษฐา ทวีสิน’ ผู้ถอดสูทนักธุรกิจ หวังขจัด ‘ความยากจน’ และ ‘ความไม่เสมอภาค’ ของประชาชน ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย

  • เศรษฐาได้รับการยอมรับเรื่องความสามารถในฐานะผู้บริหารมากฝีมือ บวกกับตัวเขาเองเป็นนักคิดที่มักแสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมาเพื่อหวังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทย กระทั่งเขาได้รับฉายา ‘ซีอีโอสาย Call Out’
  • เขาเป็น ‘แคนดิเดตนายกฯ อันดับ 2’ ของพรรคเพื่อไทย คู่กับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ แคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 และ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ แคนดิเดตนายกฯ อันดับ 3 
  • แต่เส้นทางการเป็นนายกฯไม่ได้ราบรื่น เขาตกเป็นเป้าโจมตี ทั้งการขุดคลิปที่พูดถึงการแก้ 112 หรือการเป็นผู้บริหารที่อยากให้ทุกคนทำงานหนัก โดยเฉพาะจากจอมแฉตัวตึง ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ 

ในที่สุดเราก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย นั่นคือ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ อดีตนักธุรกิจมืออาชีพและเจ้าของฉายา ‘ซีอีโอสาย Call Out’ ซึ่งได้ผันตัวเข้าสู่ถนนสายการเมืองโดยประกาศชัดเจนว่า ‘ศัตรูของผมคือความยากจน และความไม่เสมอภาคของประชาชน’   

‘เศรษฐา ทวีสิน’ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเงินจาก Claremont Graduate School สหรัฐอเมริกา และปี 2529 ได้เริ่มการทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท P&G ประเทศไทย ก่อนจะเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ด้วยการทำงานที่บริษัทของลูกพี่ลูกน้องอย่าง ‘อภิชาติ จูตระกูล’ หรือ ‘บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)’ ในปัจจุบัน

โดยภายใต้การนำของเศรษฐาในตำแหน่งประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เขาพาองค์กรเติบโตอย่างต่อเนื่อง และผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายต่อหลายครั้ง จนตอนนี้แสนสิริกลายเป็นองค์กรชั้นนำและเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้ในหลักหมื่นล้านบาท และกำไรหลักพันล้านบาท 

นั่นทำให้เศรษฐาได้รับการยอมรับเรื่องความสามารถในฐานะผู้บริหารมากฝีมือ บวกกับตัวเขาเองเป็นนักคิดที่มักแสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมาเพื่อหวังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทย กระทั่งเขาได้รับฉายา ‘ซีอีโอสาย Call Out’ และได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่

ซีอีโอสาย Call Out บนถนนการเมือง

“ผมอยู่เพื่อไทยครับ” เป็นข้อความที่เศรษฐาประกาศผ่านทวีตเตอร์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งหลังจากที่เขาทวีตออกไปก็มีกระแสพูดถึงในวงกว้าง หลายคนตั้งคำถามว่า จากนักธุรกิจเหตุใดถึงสนใจงานการเมือง และทำไมต้องพรรคเพื่อไทย 

ขณะที่หลายคนบอกว่า ไม่เห็นต้องสงสัยเลย เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า เศรษฐารู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับตระกูลชินวัตรอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่จะมาร่วมงานกัน แต่ที่น่าสนใจมากกว่า คือเขาจะมาในฐานะหรือตำแหน่งอะไร 

และเส้นทางการเมืองของเศรษฐาชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อ 1 มีนาคม 2566 ทางพรรคเพื่อไทยประกาศเปิดตัวเขาในฐานะ ‘ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ และนักข่าวส่วนใหญ่ได้ยิงคำถามไปยังเศรษฐาว่า เป้าหมายของการเข้าสู่ถนนการเมืองครั้งนี้มองไปที่ตำแหน่งอะไร?

ตอนนั้นเศรษฐาตอบเลี่ยง ๆ ว่า ตัวเองเพิ่งเป็นน้องใหม่ของพรรค ยังไม่ได้คาดหวังตำแหน่งใด และขอทำหน้าที่ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยให้ดีก่อน แต่ในวันที่ 3 มีนาคม 2566 นักข่าวได้ถามคำถามดังกล่าวซ้ำกับเศรษฐาอีกครั้ง 

คำตอบที่ได้คือ ‘จะรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ตำแหน่งอื่นไม่เอา’ และสุดท้ายเรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันเมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อเขาเป็น ‘แคนดิเดตนายกฯ อันดับ 2’ คู่กับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ แคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 และ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ แคนดิเดตนายกฯ อันดับ 3 

‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากซีอีโอสาย Call Out สู่การพิสูจน์ฝีมือในฐานะนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

หลังจากยืนยันชัดเจนแล้วว่า จากนี้เขาจะเดินบนเส้นทางนักการเมือง เศรษฐาได้โอนหุ้นในบริษัทแสนสิริกว่า 661 ล้านหุ้น หรือ 4.44% ให้กับ ‘ชนัญดา ทวีสิน’ บุตรสาวคนเล็ก โดยระบุว่า ‘เป็นการโอนโดยเสน่หา ไม่มีค่าตอบแทน’ จากนั้นประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในแสนสิริ มีผลเมื่อ 3 เมษายน 2566 เป็นต้นไป

นับแต่นั้นเป็นต้นมา เศรษฐาก็ได้ถอดสูทแล้วสวมเสื้อพรรคเพื่อไทยลุยหาเสียงไปทั่วทุกภูมิภาคอย่างจริงจัง เพื่อหวังชนะเลือกตั้งแบบ ‘แลนด์สไลด์’ โดยนโยบายที่เขานำเสนอเพื่อเรียกคะแนนเสียง หลัก ๆ ได้แก่ ความสำเร็จของนโยบายพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา, การชี้ให้เห็นปัญหาตลอด 8 ปี ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ, นโยบาย ‘เงินดิจิทัล 10,000 บาท’ ที่เขาเป็นผู้นำเสนอและกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที รวมถึงการประกาศอย่างชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่จับมือกับสองลุง ‘พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ และ ‘พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ในการจัดตั้งรัฐบาลเป็นอันขาด ฯลฯ 

ทว่าเมื่อผลการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ออกมา กลับไม่ได้เป็นไปตามคาดหวัง เพราะก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน สส. 151 คน ตามด้วยเพื่อไทย 141 คน ซึ่งต่อมาพรรคเพื่อไทยได้ร่วมกับก้าวไกลและพรรคอื่นรวม 8 พรรค จัดตั้งรัฐบาล โดยเสนอชื่อหัวหน้าพรรคก้าวไกล ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นว่าที่นายกฯ คนที่ 30 

แต่สุดท้ายพิธาก็ไปไม่ถึงฝันจากหลายเรื่องที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทั้งการถือหุ้นในไอทีวี การยกเลิกมาตรา 112 และอีกสารพัดปัญหา จนในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญสั่งพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ทันที และก้าวไกลได้เปิดโอกาสให้พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล 

นั่นทำให้ชื่อของเศรษฐาได้ถูกแสงสปอตไลท์จับตาเป็นพิเศษอีกครั้ง ในฐานะตัวเต็งที่จะได้รับเสนอชื่อจากพรรคเพื่อไทยให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของไทย แต่เส้นทางก็ไม่ได้ราบรื่น และตกเป็นเป้าโจมตีเช่นกัน ทั้งการขุดคลิปที่พูดถึงการแก้ 112 หรือการเป็นผู้บริหารที่อยากให้ทุกคนทำงานหนัก 

โดยเฉพาะจากจอมแฉตัวตึง ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ที่ออกมาทำภารกิจ ‘แฉเพื่อชาติ’ ครั้งสุดท้ายในประเด็นความไม่โปร่งใสและนอมินีของแสนสิริในการซื้อที่ดินสมัยที่เศรษฐายังนั่งเป็นผู้บริหารอยู่ 

‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากซีอีโอสาย Call Out สู่การพิสูจน์ฝีมือในฐานะนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

กรณีนี้เศรษฐาได้เผยแพร่คลิปวิดีโอออกมาตอบโต้ใจความว่า ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมาในการทำธุรกิจของตัวเองเป็นที่ยอมรับของสังคมมาโดยตลอด และครั้งนี้ออกมาพูดในฐานะอดีตผู้บริหารแสนสิริและแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย โดยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาของชูวิทย์ และจะดำเนินคดีกับชูวิทย์ให้ถึงที่สุด 

พร้อมกับทิ้งท้ายว่า การที่เขาตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางการเมืองเพราะอยากทำให้ประเทศชาติ เศรษฐกิจ และชีวิตของประชาชนดีขึ้น ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เพื่อจะทำให้ประเทศชาติเหมือนเดิม 

“ศัตรูของผมคือความยากจนและความไม่เสมอภาคของประชาชน เป้าหมายของผมคือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคนครับ”

ผู้นำต้องแก้ปัญหาจากความเป็นจริงและทุกคนต้องช่วยกัน

ก่อนหน้านี้เศรษฐาเคยให้สัมภาษณ์กับ The People ไว้ว่า หากเขาเป็น ‘ผู้มีอำนาจ’ จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ประเทศไทยต้องเผชิญอย่างไร โดยเขาบอกว่า ทุกอย่างต้องมองพื้นฐานของความเป็นจริง เพราะบางปัญหาได้หยั่งลึกในสังคมไทยมาเป็นร้อยปี เช่น เรื่องคอร์รัปชัน ฯลฯ จะแก้ไขให้ลุล่วงภายในไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี หรือภายในรัฐบาลเดียวเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

นอกจากนี้การต้องเผชิญกับปัญหามากมาย อย่ามัวคิดถึงแต่ปัญหา และอย่าโทษกัน แต่อยากให้ทุกคนร่วมกันแก้ไปทีละจุด และอย่าหวังพึ่งรัฐบาลเพียงอย่างเดียว หรือผลักภาระให้เป็นหน้าที่ใครคนใดคนหนึ่ง เพราะนั่นไม่เกิดประโยชน์  

“คือปัญหามันเยอะ แต่อย่าเหมือนลิงแก้แห แก้ทีละปม แก้ทีละปม แก้ไปแล้วเดี๋ยวมันก็ค่อยดีขึ้นเอง มันไม่มี perfect solution ที่คุณไปถึงแก้ แล้วหลุดทุกอัน คือค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ก็ขอให้อยากทำตลอดเวลา

“ผมว่าในฐานะ Thought Leadership หรือผู้นำทางความคิด หรือว่าคนที่มีพลังทางด้านขับเคลื่อนสังคมอยู่ ไม่ควรออกมาพูดเรื่องอะไรสิ้นหวัง เรามาพูดปัญหาจริง ๆ ดีกว่า แล้วทางแก้ไขมีอะไร อย่าบอกมีปัญหากับปัญหา แล้วก็แก้ไม่ได้ นักการเมืองถูกเลือกมาทำอะไร ถูกเลือกมาแก้ไขปัญหา ไม่ใช่มาอธิบายว่า ทำไมทำไม่ได้ เอกชนเองก็ไม่เอาแต่ด่ารัฐบาล ใช่ไหมครับ แล้วไม่มีส่วนร่วมเลย

“ปัญหาการศึกษาก็เป็นปัญหาพื้นฐาน เราช่วยกันแก้วันนี้ อีก 30 ปีอาจจะเห็นผล แต่ถ้าเราไม่เริ่มวันนี้ อีก 50 ปีก็ไม่เห็นผล มีความหวัง มีแรงบันดาล มีกำลังใจ ผมว่าประเทศเราไม่ได้ตกต่ำขนาดนั้น มันมีอะไรที่ยังเป็นความหวังอยู่ได้เยอะ มาช่วย ๆ กันเถอะ อย่าเอาแต่บ่น อย่าเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์โดยที่ตัวเองยังมีแรงแล้วยังทำไหวอยู่ พรุ่งนี้ตื่นเช้าก็ไปทำงาน

“อย่าเอะอะอะไรจะบอกเป็นหน้าที่ของรัฐบาล เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเราทราบดีอยู่ว่างบประมาณมีอยู่จำกัด เรามีน้อยก็ให้น้อย เรามีมากให้มาก ไม่มี ไม่ต้องให้ เป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่หน้าที่ของนักการเมือง ไม่ใช่หน้าที่ของราชการอย่างเดียว หรือหน่วยงานรัฐ เป็นหน้าที่ของทุกคน”

‘เศรษฐา ทวีสิน’ จากซีอีโอสาย Call Out สู่การพิสูจน์ฝีมือในฐานะนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย

นี่เป็นเส้นทางของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นักธุรกิจและซีอีโอสาย Call Out ที่กำลังจะมารับตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย ซึ่งยังต้องเผชิญกับบทพิสูจน์อีกมากมาย และไม่เหมือนกับการสู้ศึกในสังเวียนธุรกิจที่เขามีประสบการณ์มากว่า 30 ปีอย่างแน่นอน 

 

ภาพ: เครือเนชั่น

อ้างอิง:

bangkokbiznew

thepeople

bbc

thansettakij

thaipbs