สิ่งที่ 'ป่า' ไม่เคยบอก คือชีวิตและตัวตนที่เราหลงลืมไป

สิ่งที่ 'ป่า' ไม่เคยบอก คือชีวิตและตัวตนที่เราหลงลืมไป

การเดินป่าไม่ใช่แค่การสัมผัสธรรมชาติ แต่คือการเดินทางกลับเข้าสู่ใจตัวเอง ปล่อยวางสิ่งภายนอก แล้วค้นพบชีวิตและตัวตนที่แท้จริงที่เคยหลงลืมไป

KEY

POINTS

ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ หลายคนก็อยากจะเก็บกระเป๋าไปเดินป่า ทดสอบขีดจำกัดแรงกายและแรงใจของตัวเองดูสักครั้ง

อาจเป็นเพราะในเมืองมันวุ่นวายเกินไป การเดินเข้าป่าจึงเป็นคำตอบที่จะทำให้เราหันกลับมาดูชีวิตตัวเอง ปล่อยกาย ปล่อยใจ ให้ธรรมชาติเยียวยาจิตใจเรา

แต่หากมองให้ลึกลงไปในศาสตร์ตะวันตกและตะวันออกอย่างลัทธิเต๋าต่างมีแนวคิดที่ซ่อนอยู่ในการที่ใครคนหนึ่งตัดสินใจไปสัมผัสธรรมชาติกลางป่า 

สำหรับบางคน การเดินป่าไม่ใช่แค่การออกไปสัมผัสธรรมชาติ แต่คือการเดินทางกลับเข้าสู่ใจตัวเองอีกครั้ง เพื่อมองหาความสงบและปลุกตัวตนจริง ๆ ของเราที่อาจร่วงหล่นไปให้กลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง

สิ่งที่ \'ป่า\' ไม่เคยบอก คือชีวิตและตัวตนที่เราหลงลืมไป

สัมผัสชีวิตที่เป็นชีวิตจริง ๆ

เมื่ออยู่ในป่า เสียงในหัวของคุณจะดังขึ้นและเข้าใจคำว่า ‘ชีวิต’ มากขึ้น

ชีวิตที่ปลดเปลื้องชื่อเสียง เงินทอง อำนาจบารมี สัญญาณโทรศัพท์ หรือความสะดวกสบายต่าง ๆ ออกไปแล้วรวมความรู้สึกทุกอย่างกลับมาอยู่ที่ตัวเอง

ดินที่เราเหยียบในทุกก้าว ใบไม้สีเขียวที่เรามองเห็น และเม็ดฝนที่โปรยปรายจากฟ้า กลายเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจ ทำให้ชีวิตที่เคยดูหนักหนาค่อย ๆ เบาลง เหมือนได้หายใจอีกครั้ง

เหมือนกับที่ เฮนร เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ผู้เขียนหนังสือ Walden ชายที่เลือกหันหลังให้เมือง แล้วไปสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ ใช้ชีวิตแสนเรียบง่ายกลางป่าที่เคยบอกว่า ธรรมชาติทำให้เขารู้ว่า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าอิสระและเสรีภาพของตัวเอง

“เหตุใดเราจึงต้องเสียสละเสรีภาพและความสุขของเรา สำหรับการรักษาภาพลักษณ์หรือสถานะทางสังคม” ธอโรเขียนไว้ในหนังสือแบบนั้น

สิ่งที่ \'ป่า\' ไม่เคยบอก คือชีวิตและตัวตนที่เราหลงลืมไป

ชีวิตที่มีแค่เรา เรา และตัวเราเท่านั้น 

“อย่าใช้ชีวิตไปจนตาย แล้วค่อยมารู้ว่าตัวเองยังไม่เคยได้ใช้ชีวิตเลย”

ถึงเมืองใหญ่จะเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย แต่มันค่อย ๆ ลดพลังงานในตัวเราลงที่ต้องวิ่งตามโลกที่หมุนอย่างรวดเร็ว แต่ท่ามกลางป่าอันเขียวชอุ่ม ธอโรบอกว่า นี่คือการได้รับความสุขที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย

“การอยู่ให้ได้บนโลกนี้ไม่ได้ยากเลย ถ้าเราใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและรู้จักพอ มันสนุกด้วยซ้ำ สิ่งที่ชนเผ่าหรือสังคมเรียบง่ายทำเพื่อยังชีพ แต่ในสังคมที่ซับซ้อนกลับเป็นแค่กิจกรรมเล่น ๆ

“คนเราไม่จำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพแบบเหน็ดเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็น เว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคนที่เหงื่อออกง่ายกว่าผมก็เท่านั้นเอง”

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินป่า เพราะมันคือภาพสะท้อนว่า ตัวคุณกำลังมีชีวิตจริง ๆ หรือเพียงแค่เดินตามสิ่งที่สังคมบอกจนหลงลืมตัวตนของคุณที่หล่นหายไประหว่างการเติบโตไป

สิ่งที่ \'ป่า\' ไม่เคยบอก คือชีวิตและตัวตนที่เราหลงลืมไป

‘อย่าฝืน’ ทุกคนมีจังหวะการเดินของตัวเอง

บางครั้งการเดินป่าอาจใช้เวลาหลายวัน คุณอาจรู้สึกเหนื่อย อยากยอมแพ้ ไม่อยากไปต่อ ทุกก้าวคือการต่อสู้กับจิตใจของตัวเองอยู่ทุกลมหายใจ

‘ลัทธิเต๋า’ เชื่อว่ามนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ จึงกล่าวไว้ว่า “การเดินทางพันลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก” เพื่อเตือนให้เราปล่อยวางเป้าหมาย แล้วกลับมาจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง

แทนที่จะคิดว่าต้องเดินไปให้ถึง แนวคิดของ ‘เต๋า’ บอกให้เดินเรื่อย ๆ แล้วเราจะเจอกับเป้าหมายได้ในเวลาหนึ่ง เพราะจริง ๆ แล้วการเดินป่าก็ไม่ต่างจากการเดินทางของชีวิตถึงจะเหนื่อย จะล้า หรือเจออุปสรรคระหว่างทาง แต่เราจะผ่านไปได้ 

อีกทั้งระหว่างการเดินป่า ถ้าเหนื่อยเราก็แค่นั่งพัก เราไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง เพื่อไปแข่งกับใคร แค่เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและปลอดภัย

การเดินป่าตามหลักเต๋าจึงไม่ใช่การพิชิตหรือครอบครองป่า แต่เป็นการเข้าไปในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์และสวยงามด้วยความอ่อนน้อมและความรู้ตัวว่า ‘เราเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของจักรวาล’

เมื่อเราเข้าใจแบบนั้น เราจะค่อย ๆ ปล่อยวางความรู้สึกกลับมาอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า ตัดอดีตลง วางอนาคตไว้ และหันมาทบทวนความรู้สึกของตัวเอง

อย่างที่ใครหลายคนบอก ชีวิตคือการเดินทางไกล เราไม่ต้องฝืนตัวเอง เราต่างมีจังหวะการเดินของตัวเอง เพราะชีวิตย่อมไหลไปตามวิถีของมัน

สิ่งที่ \'ป่า\' ไม่เคยบอก คือชีวิตและตัวตนที่เราหลงลืมไป

ปล่อยให้เสียงธรรมชาติโอบกอดเรา 

การออกเดินป่า ไม่เพียงแต่ทำให้เราสัมผัสชีวิต รู้จักปล่อยวาง แต่ยังทำให้เหล่านักเดินป่า รู้สึกว่าความสุขอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

ความสุขที่เราเป็นคนกำหนดเอง ไร้ความกลัว เพราะเชื่อว่าธรรมชาติจะเป็นผู้รับฟังและเป็นเบาะรองให้กับเราในวันที่เหนื่อนล้าได้เสมอ

หลายคนจึงเลือกที่จะ ‘อาบป่า’ ไปพร้อมกับ ‘เดินป่า’ หมายถึง การปล่อยให้ร่างเปิดประสาทสัมผัส แล้วอนุญาตให้ธรรมชาติค่อย ๆ โอบกอดตัวเรา

การอาบป่ามีความใกล้เคียงกับการทำสมาธิ หมายความว่า การที่คุณจะเปิดประสาทสัมผัสได้ คุณจะต้องวางมือถือปิดเครื่องหรือปิดเสียงไว้ไกลตัว แล้วกำหนดลมหายใจ ลองฟังเสียงใบไม้ เสียงเรียกของนกน้อย จับดิน สัมผัสต้นไม้ เพื่อทำให้ใจของคุณผ่อนคลายลง

มากกว่านั้น ธรรมชาติยังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ลดระดับฮอร์โมนความเครียดได้ และช่วยปรับสมดุลทางจิตใจ

สิ่งที่ \'ป่า\' ไม่เคยบอก คือชีวิตและตัวตนที่เราหลงลืมไป

ความสุขที่เกิดขึ้นระหว่างทางมันจึงไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลเกินคว้า แต่อาจเป็นเพียงเสียงนก เสียงฝน หรือมาจากความสนุกของผู้คนที่ได้ออกเดินทางไปด้วยกัน

ทั้งหมดเราตัดสินใจออกเดินป่าเพื่อให้ธรรมชาติได้เยียวยาเรา และให้เรามีแรงมากพอจะกลับไปเยียวยาใจตัวเองที่เคยห่อเหี่ยวให้กลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง

การเดินป่าจึงไม่ใช่แค่ช่วงเวลาพักผ่อนหรือการชมภาพสวย ๆ ระหว่างทางเท่านั้น แต่เป็นบทเรียนที่ทำให้เข้าใจว่า ความเหนื่อย ความเปียก ความร้อน หรือความหนาวที่เรารู้สึกตลอดทาง ล้วนมีความหมายชีวิตซ่อนเอาไว้

และหากโชคดี เราอาจได้ตัวตนจริง ๆ ที่เราฝันอยากเป็นคืนมา

 

ภาพ : Pexels

 

อ้างอิง

Thoreau, H. D. (1995). Walden & On the duty of civil disobedience. Project Gutenberg. https://www.gutenberg.org/files/205/205-h/205-h.htm

Thoreau, H. D. (1854). Walden; or, Life in the woods. Azeitão. https://azeitao.wordpress.com/wp-content/uploads/2007/05/walden.pdf

The Dao De Jing and the natural world / Dialogue Earth

Tao Te Ching The Power of Goodness, the Wisdom Beyond Words / laotzu

The Unexpected Health Benefits of Forest Bathing / Stanford Lifestyle Medicine

คู่มือแนะนำ การอาบป่าในญี่ปุ่น (ชินรินโยคุ) / JNTO