‘คบแฟนเก่าเพื่อน’ ความรักที่ซับซ้อนในมุมจิตวิทยา

‘คบแฟนเก่าเพื่อน’ ความรักที่ซับซ้อนในมุมจิตวิทยา

คบแฟนเก่าเพื่อนไม่ใช่เรื่องง่าย มาทำความเข้าใจความรักที่ซับซ้อน ผ่านมุมมองจิตวิทยา Social Exchange, Future Pacing และ Empathy เพื่อการตัดสินใจที่รอบคอบ

KEY

POINTS

ความรักไม่เคยเดินตามเส้นทางที่เรียบง่าย มันเต็มไปด้วยโค้งเว้าและทางแยกที่ซับซ้อน และบางครั้งก็พาเราไปสู่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยคำถามทางศีลธรรมและความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อน หนึ่งในนั้นคือเรื่อง ‘การคบแฟนเก่าเพื่อน’ ซึ่งมักเป็นประเด็นที่กระตุ้นความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้คนในสังคม

สำหรับหลายคน นี่คือเส้นต้องห้ามที่ไม่ควรข้าม เป็นกฎเงียบในมิตรภาพที่สังคมให้คุณค่า แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีผู้คนที่เผชิญสถานการณ์นี้โดยไม่ทันตั้งตัว และเมื่อหัวใจเริ่มพัวพัน คำถามไม่ได้อยู่ที่เพียงว่า “ควรหรือไม่” แต่กลายเป็นว่า “เราจะรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร”

‘Michelle Cantrell’ นักจิตบำบัด (LPCC) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Emotionally Focused Therapy ที่ทำงานที่ Center for Growth and Connection ใน Pasadena, California ระบุว่า ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนลักษณะนี้ “ซับซ้อนแต่ไม่ได้ผิด” เธอชี้ว่าหัวใจของมนุษย์มักมีความขัดแย้งในตัวเอง และการตัดสินใจบางครั้งต้องอาศัยการประเมินผลกระทบต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้าง 

เพื่อทำความเข้าใจเชิงลึก เราสามารถใช้ทฤษฎีทางจิตวิทยามาช่วยอธิบาย ไม่ใช่เพื่อชี้ผิดหรือถูก แต่เพื่อให้เห็นว่าทำไมผู้คนถึง ‘เลือก’ หรือ ‘ไม่เลือก’ เดินบนเส้นทางนี้

ทฤษฎีแรกที่สำคัญคือ ‘Social Exchange Theory’ ซึ่งถูกพัฒนาโดย ‘George C. Homans’ ในปี 1958 โดยเขาอธิบายว่ามนุษย์ประเมินความสัมพันธ์ของตนเองโดยเปรียบเทียบระหว่าง ‘ต้นทุน’ และ ‘ผลประโยชน์’ เราจะอยู่ในความสัมพันธ์ที่ให้ผลประโยชน์มากกว่าต้นทุนที่ต้องจ่าย และเมื่อใดที่ต้นทุนสูงเกินไป ความสัมพันธ์นั้นก็มีแนวโน้มไม่ยืนยาว  

หากมองการคบแฟนเก่าเพื่อนผ่านเลนส์นี้ คนที่เลือกเส้นทางนี้อาจประเมินว่าความสุข ความรัก หรือความเข้ากันได้กับแฟนเก่าเพื่อน มีค่าสูงกว่าความเสี่ยงที่จะเสียเพื่อนไปหรือถูกสังคมตีตรา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ต้นทุนที่ต้องจ่ายไม่ได้มีเพียงภาพลักษณ์ หากรวมถึงความรู้สึกผิด ความตึงเครียดในกลุ่มเพื่อน และรอยร้าวที่อาจไม่เคยหายไป

การตัดสินใจเช่นนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องหัวใจ แต่มันคือการชั่งน้ำหนักอย่างซับซ้อน ผลลัพธ์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสองคน แต่กระทบต่อคนรอบข้างทั้งหมด

อีกมุมมองหนึ่งคือแนวคิด ‘Future Pacing’ ใน Neuro-Linguistic Programming (NLP) เทคนิคนี้ช่วยให้บุคคลสามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ในอนาคตและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น การใช้ Future Pacing ช่วยให้ผู้คนประเมินว่าการตัดสินใจในวันนี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์และชีวิตของพวกเขาในวันหน้าอย่างไร 

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ ‘Empathy’ หรือความเห็นอกเห็นใจร่วมกันก็เป็นส่วนสำคัญ การสวมรองเท้าของเพื่อน ด้วยการลองถามตัวเองว่า “ถ้าเป็นเรา เราจะรู้สึกอย่างไร” อาจช่วยให้การตัดสินใจมีความรับผิดชอบต่อความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น ความรักมักทำให้เราเห็นโลกเพียงส่วนตัวของตน แต่ empathy ดึงเราออกมาเห็นโลกที่กว้างกว่า และผลกระทบต่อหัวใจของผู้อื่นที่เราอาจไม่ทันคิดถึง

เมื่อรวม Social Exchange Theory, Future Pacing และ Empathy เราจะเห็นว่าการคบแฟนเก่าเพื่อนไม่ใช่เพียงเรื่องความต้องการส่วนบุคคล แต่เป็นการเจรจาระหว่างความสุขส่วนตัวและความรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์รอบข้าง

นี่คือจุดที่ทำให้ดราม่าลักษณะนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เพราะมันไปกระทบกับบรรทัดฐานทางสังคมที่เรายึดถืออย่างไม่ตั้งคำถาม

ในหลายวัฒนธรรม มิตรภาพได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง การละเมิดกฎเงียบ เช่น การคบแฟนเก่าเพื่อน มักถูกมองว่าเป็นการหักหลัง แต่ความจริงแต่ละคนให้ค่าน้ำหนักกับเพื่อนและความรักไม่เท่ากัน

บางคนมองว่าความรักคือโอกาสที่ไม่ควรปล่อยผ่าน แม้ต้องแลกด้วยมิตรภาพ ขณะที่บางคนเลือกเก็บเพื่อนไว้เหนือสิ่งอื่นใด เพราะเชื่อว่ารักใหม่หาได้ แต่เพื่อนแท้หายากยิ่งกว่า

ไม่มีใครผิดหรือถูกในเรื่องนี้ มีเพียงการเลือกที่ต่างกัน และผลลัพธ์ที่ตามมาซึ่งแต่ละคนต้องรับผิดชอบ

นักวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระบุว่า ความขัดแย้งลักษณะนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์มนุษย์ หนึ่งในงานวิจัยโดย Sprecher & Felmlee (1992) พบว่า การนอกใจหรือความสัมพันธ์ทับซ้อนสามารถสร้างความเครียดและผลกระทบทางอารมณ์อย่างรุนแรงในวงเพื่อน 

การคบแฟนเก่าเพื่อนจึงเป็นมากกว่าการเลือกคู่ครอง มันคือการเขียนนิยามใหม่ของความสัมพันธ์รอบตัวทั้งหมด

หากถามว่าควรหรือไม่ คำตอบอาจอยู่ที่ว่า “เราพร้อมจะรับผลลัพธ์ทุกด้านหรือยัง” มากกว่าการถามว่า “สิ่งนี้ดีหรือเลว”

หากเราพร้อมที่จะเสียเพื่อน เสี่ยงต่อการถูกสังคมมองไม่ดี แต่ยังคงยืนยันเส้นทางนั้น นั่นคือสิทธิ์ของเรา หากไม่พร้อม การหยุดคิดสักนิดอาจเป็นการถนอมสิ่งสำคัญที่เรามีอยู่

ความรักไม่ใช่การเดินไปข้างหน้าโดยไม่เหลียวหลัง แต่คือการเดินไปพร้อมการรับรู้ว่าก้าวที่เราทำกระทบใครบ้าง

การเห็นอกเห็นใจเพื่อน ไม่ได้หมายความว่าเราต้องสละความสุขเสมอไป แต่คือการหาวิธีให้ทุกฝ่ายเจ็บปวดน้อยที่สุด

บางครั้งนั่นอาจหมายถึงการสื่อสารตรงไปตรงมา การขออนุญาต การอธิบายเหตุผล และการเปิดพื้นที่ให้เพื่อนได้พูดและรู้สึก ไม่ใช่การตัดสินใจฝ่ายเดียว

ในโลกที่ความสัมพันธ์เปราะบาง การสื่อสารและความโปร่งใสคือกุญแจสำคัญที่จะลดแรงปะทะ และทำให้การตัดสินใจมีน้ำหนักทางศีลธรรมมากขึ้น

Social Exchange Theory บอกเราว่า ทุกความสัมพันธ์คือการแลกเปลี่ยน แต่การแลกเปลี่ยนที่แท้จริงไม่ได้จำกัดระหว่างเรากับคู่รักใหม่เท่านั้น แต่รวมถึงเรากับเพื่อน และเรากับสังคมรอบตัวด้วย

Future Pacing เตือนให้เรามองไปข้างหน้า และ Empathy ช่วยให้เรามองข้ามความรู้สึกตัวเองเพื่อเข้าใจผู้อื่น

เมื่อทั้งสามสิ่งมาบรรจบกัน การตัดสินใจใด ๆ จะไม่ใช่เพียงการตอบสนองต่อหัวใจ แต่คือการเคารพทั้งหัวใจของตัวเองและหัวใจของคนอื่นไปพร้อมกัน

ความรักกับมิตรภาพไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกันเสมอไป แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อเราเดินด้วยความระมัดระวัง ซื่อสัตย์ และใส่ใจ

บางทีคำถามที่แท้จริงอาจไม่ใช่ “ควรคบแฟนเก่าเพื่อนหรือไม่” แต่คือ “เราจะคงความเป็นมนุษย์ในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ไว้ได้อย่างไร”

 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า

 

อ้างอิง:

Sprecher, Susan, and Felmlee, Diane. “The Influence of Love and Attachment on Romantic Jealousy.” Journal of Social and Personal Relationships, vol. 9, no. 4, 1992, pp. 473–488. APA PsycNet, https://psycnet.apa.org/record/1993-05397-001.
NLP Mentor. “Future Pacing Technique.” NLP Mentor, 14 Mar. 2005, https://nlp-mentor.com/future-pacing/#google_vignette.
Verywell Mind. “Social Exchange Theory and Why We ‘Keep Score’ in Relationships.” Verywell Mind, 1 Oct. 2006, https://www.verywellmind.com/what-is-social-exchange-theory-2795882.
Center for Growth and Connection. “Michelle Cantrell LPCC.” Center for Growth and Connection, https://www.centerforgrowthandconnection.com/therapists/michelle-cantrell-lpcc