‘โรเบิร์ต มอนดาวี’ ผู้กลั่นศิลปะและปรัชญาชีวิตออกมาในทุกหยาดหยดของไวน์

‘โรเบิร์ต มอนดาวี’ ผู้กลั่นศิลปะและปรัชญาชีวิตออกมาในทุกหยาดหยดของไวน์

‘โรเบิร์ต มอนดาวี’ เปลี่ยนไวน์แคลิฟอร์เนียสามัญธรรมดา ให้กลายเป็นหนึ่งในไวน์ชั้นเลิศ กลั่นศิลปะและปรัชญาชีวิตออกมาในทุกหยาดหยด

KEY

POINTS

  • การแยกตัวออกจากธุรกิจครอบครัวในปี 1965 เพื่อก่อตั้ง ‘Robert Mondavi Winery’ ขึ้นมาเอง
  • โรเบิร์ต มอนดาวี เชื่อว่าการทำไวน์เป็นมากกว่ากระบวนการผลิต แต่คือศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่ต้องการความใส่ใจในทุกรายละเอียด
  • เขาเป็นผู้ริเริ่มหลายโครงการเพื่อส่งเสริมนาปาให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ระดับโลก

ณ หุบเขาอันเงียบสงบในนาปาวัลลีย์ ชายคนหนึ่งได้ถือกำเนิด และกลายเป็นตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมไวน์อเมริกันไปตลอดกาล ชายผู้ใช้ชีวิตเช่นเดียวกับการทำไวน์ เต็มไปด้วยความหลงใหล ความมุ่งมั่น และการแสวงหาความสมบูรณ์แบบจนหยดสุดท้าย 

ชื่อของเขาคือ ‘โรเบิร์ต มอนดาวี’ (Robert Mondavi 1913 - 2008) ผู้ชายที่ไม่เพียงแต่สร้างแบรนด์ไวน์ที่โด่งดังระดับโลก แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกที่นำไวน์อเมริกันเข้าสู่เวทีนานาชาติ เป็นนักฝันที่กล้าจะทำให้ภาพฝันกลายเป็นจริง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากครอบครัวและจากสังคมก็ตาม

จุดเริ่มต้นของความฝัน

ชีวิตของโรเบิร์ต มอนดาวี เริ่มต้นจากไร่องุ่นเล็ก ๆ ในเมืองโลได (Lodi) รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 1913 ในครอบครัวผู้อพยพจากอิตาลี ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อตั้งรกรากในดินแดนใหม่ พ่อของเขา ‘เซซารี’ (Cesare Mondavi) เป็นคนที่ปลูกฝังความรักในองุ่นและไวน์ให้กับเขาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าชีวิตในวัยเด็กจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ไวน์กลับเป็นเสมือนเครื่องดื่มแห่งความหวัง และความอบอุ่นในครอบครัว

โรเบิร์ต เล่าถึงจุดเริ่มต้นของความหลงใหลว่า “ไวน์ไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่หลอมรวมความสุขในชีวิต การกิน การดื่ม และการเฉลิมฉลองเข้าด้วยกัน” ความฝันของเขาที่จะเห็นไวน์อเมริกันสามารถยืนเคียงข้างไวน์จากฝรั่งเศสและอิตาลีในฐานะไวน์ระดับโลก เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้เอง

แยกตัวเพื่อสร้างตำนานใหม่

เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โรเบิร์ต มอนดาวี ได้เข้าร่วมธุรกิจไวน์ของครอบครัวที่ ‘Charles Krug Winery’ ซึ่งเป็นกิจการไวน์ในนาปาวัลลีย์ ที่เขาและน้องชาย ‘ปีเตอร์’ ดูแลร่วมกัน โรเบิร์ตต้องการผลักดันให้ไวน์ของครอบครัวก้าวไปสู่ตลาดระดับพรีเมียมมากขึ้น เขาเห็นว่าความคิดเชิงอนุรักษ์นิยม และความขัดแย้งภายในครอบครัวเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต  ความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงจุดแตกหัก

“มันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตของผม” โรเบิร์ต ยอมรับในการแยกตัวออกจากธุรกิจครอบครัวในปี 1965 พร้อมกับก่อตั้ง ‘Robert Mondavi Winery’ ขึ้นมาเอง “แต่การจะทำให้ไวน์อเมริกันมีชื่อเสียงเทียบเท่าไวน์ยุโรปได้ เราจำเป็นต้องมีความกล้าที่จะทิ้งอดีต และมุ่งหน้าสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่”

การแยกตัวครั้งนั้น แม้จะสร้างความขัดแย้งภายในครอบครัว จนเป็นที่โจษจันไปทั่วอาณาบริเวณของนาปา แต่เป็นจุดเปลี่ยนและแรงผลักดัน ทำให้ โรเบิร์ต สามารถก่อตั้ง Robert Mondavi Winery ได้สำเร็จ กลายเป็นแบรนด์ที่เปลี่ยนมาตรฐานไวน์ในอเมริกาไปอย่างสิ้นเชิง

สร้างสรรค์ไวน์ด้วยศิลปะและนวัตกรรม

โรเบิร์ต มอนดาวี เชื่อว่าการทำไวน์เป็นมากกว่ากระบวนการผลิต แต่คือศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่ต้องการความใส่ใจในทุกรายละเอียด เขานำเทคนิคและวิธีการทำไวน์แบบดั้งเดิมจากยุโรปมาใช้ เช่น การใช้ถังหมักไม้โอ๊กขนาดเล็ก และการควบคุมอุณหภูมิในการหมัก เพื่อสร้างรสชาติและความซับซ้อนของไวน์แต่ละชนิดให้โดดเด่นเหนือกว่าไวน์ทั่วไปในตลาด เขายังเป็นผู้บุกเบิกการใช้ถังสเตนเลสสตีลในกระบวนการหมักไวน์ขาว ซึ่งช่วยให้ไวน์มีความสดชื่นและมีกลิ่นหอมละมุนมากขึ้น

หนึ่งในตัวอย่างที่แสดงถึงวิสัยทัศน์ของเขาอย่างชัดเจน คือการสร้างสรรค์ไวน์แบรนด์ ‘Opus One’ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง โรเบิร์ต มอนดาวี และ ‘บารอน ฟิลิป เดอ ร็อธสไชลด์’ (Baron Philippe de Rothschild) ผู้ผลิตไวน์ชื่อดังจากฝรั่งเศส การจับมือกันครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างไวน์ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังเป็นการรวมเอาความเป็นสุดยอดของเทคนิคการผลิตไวน์ทั้งสองซีกโลกมารวมกัน เป็นการยืนยันว่าความฝันของเขาที่จะเห็นไวน์อเมริกันยืนเคียงคู่ไวน์ยุโรปนั้นเป็นไปได้จริง

ดังที่ โรเบิร์ต เคยกล่าวไว้ว่า “ไวน์ชั้นเลิศคือการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปะ โดยมีธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผลักดันให้เขาไม่หยุดนิ่งในการค้นหาความสมบูรณ์แบบ

ไวน์กับการเรียนรู้

นักพัฒนาไวน์อเมริกันคนนี้ ไม่ได้มองไวน์เป็นเพียงเครื่องดื่ม แต่เห็นว่าไวน์ควรจะเชื่อมโยงกับศิลปะและวัฒนธรรมในทุกมิติ เขาได้จัดกิจกรรมที่โรงไวน์ของเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต การจัดนิทรรศการศิลปะ และการเชิญศิลปินมาร่วมแสดงผลงาน เพื่อสร้างบรรยากาศที่เชื่อมโยงศิลปะกับการดื่มไวน์ เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ผู้เยี่ยมชมได้รับรู้ถึงความงามและความละเมียดละไมของทั้งศิลปะและไวน์ในคราวเดียวกัน

“การดื่มไวน์ก็เหมือนการฟังดนตรีคลาสสิก” โรเบิร์ต อธิบาย “มันต้องใช้ความรู้สึก ใช้เวลา และความใส่ใจในรายละเอียดของรสชาติและกลิ่น เพื่อเข้าถึงจุดที่ไพเราะที่สุด”

โรเบิร์ต ยังได้ก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ที่มีชื่อว่า ‘Copia: The American Center for Wine, Food & the Arts’ ซึ่งเปิดในปี 2001 เพื่อให้ผู้คนได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับไวน์ อาหาร และศิลปะจากทั่วโลก เป็นสถานที่ที่ผสมผสานความรู้และวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของไวน์ และเรียนรู้ที่จะดื่มไวน์อย่างรู้จักรสชาติ

ในสายตาของ โรเบิร์ต ไวน์ไม่ใช่เพียงแค่สินค้าบนชั้นวางในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่เป็นวัฒนธรรมที่ต้องการการบ่มเพาะความรู้ ความชื่นชม และการใช้ชีวิตที่มีคุณค่า

ยกระดับไวน์อเมริกันสู่สากล

ความสำเร็จของ โรเบิร์ต มอนดาวี ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน เขาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งจากการปฏิเสธของผู้บริโภคที่ยังไม่คุ้นเคยกับไวน์คุณภาพสูง ไปจนถึงการแข่งขันจากไวน์ยุโรปที่มีรากฐานความเชื่อมั่นมายาวนาน แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้ไวน์อเมริกันเป็นที่ยอมรับ โรเบิร์ต ได้ส่งไวน์ของเขาเข้าประกวดในงานแข่งขันระดับนานาชาติ และคว้ารางวัลมากมายกลับมา ทำให้ทั้ง นาปา วัลลีย์ และไวน์ของเขาได้รับการยอมรับในฐานะแหล่งผลิตไวน์คุณภาพสูงของโลก

แม้ผู้สร้างตำนานไวน์อเมริกันชื่อดังคนนี้ จะจากโลกไปแล้วในปี 2008 แต่ชื่อของเขายังคงส่องสว่างในวงการไวน์ทั่วโลก เขาไม่เพียงสร้างไวน์ที่มีรสชาติดีเยี่ยม แต่ยังสร้างแนวคิดและปรัชญาในการใช้ชีวิตที่ผสมผสานทั้งความหลงใหล ความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นที่จะทำในสิ่งที่รักให้ดีที่สุด การมองไวน์ในมุมมองที่ลึกซึ้ง มากกว่าการเป็นเพียงเครื่องดื่ม ทำให้ โรเบิร์ต มอนดาวี เป็นทั้งนักสร้างสรรค์และนักปฏิวัติ ที่ไม่เพียงแต่ผลิตไวน์ แต่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังในการมองเห็นคุณค่าและความหมายที่ซ่อนอยู่ในงานฝีมือทุกชนิด

ภายหลังการสร้างความสำเร็จบนเวทีระดับโลก โรเบิร์ต ไม่เคยหยุดที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เขาเป็นผู้ริเริ่มหลายโครงการเพื่อส่งเสริมนาปาให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์ระดับโลก ทั้งการผลักดันให้เกิดการพัฒนาแหล่งผลิตไวน์ในภูมิภาค และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การเปิดโรงไวน์ให้ประชาชนเข้าชมและทดลองไวน์ รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ผลิตไวน์รายอื่น ๆ ได้เข้าร่วมแบ่งปันแนวคิดและพัฒนาการผลิตไวน์ร่วมกัน

ในช่วงเวลาที่ โรเบิร์ต ดำเนินกิจการ เขาได้สร้างแรงกระเพื่อมให้นาปาวัลลีย์กลายเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก จากเดิมที่เป็นเพียงฟาร์มขนาดเล็กที่คนภายนอกไม่รู้จัก สู่การเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยผู้ผลิตไวน์ชั้นนำ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ นักชิมไวน์จากทั่วโลก รวมถึงนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาเยือนเพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งรสชาติและวัฒนธรรมไวน์ที่แท้จริง

ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษในอุตสาหกรรมไวน์ เขาได้สร้างสรรค์ผลงานไวน์ระดับโลกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Fumé Blanc, Cabernet Sauvignon หรือ Pinot Noir ที่ทุกขวดล้วนบ่งบอกถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการทำไวน์ที่มีคุณภาพสูงสุด แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายและการตัดสินใจที่ยากลำบากหลายครั้ง เขายังคงเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองและพนักงาน พร้อมยึดถือปรัชญาในการผลิตไวน์ที่ว่า “คุณภาพไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยบังเอิญ แต่มันเกิดขึ้นจากความตั้งใจและความใส่ใจในทุกขั้นตอนของการผลิต”

ชีวิตที่เปรียบเสมือนการทำไวน์

ความสำเร็จของคนอย่าง โรเบิร์ต มอนดาวี ไม่ได้มาจากการเดินตามรอยเท้าของใคร แต่เกิดจากการสร้างเส้นทางของตัวเอง และกล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง เขาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของผู้ที่กล้าฝันและกล้าทำให้ความฝันกลายเป็นความจริง โดยไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคและคำครหาจากผู้คนรอบข้าง

“ชีวิตผมเปรียบเสมือนการทำไวน์” มอนดาวี กล่าวในช่วงปลายชีวิตของเขา “ทุกวันคือโอกาสที่เราจะได้เติมเต็มรสชาติและคุณค่าให้กับสิ่งที่เราทำ และสุดท้ายมันก็จะออกมาเป็นรสชาติแห่งความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร”

นี่คือชายผู้ใช้ชีวิตราวกับศิลปิน ผู้กลั่นกรองทุกหยดของไวน์ด้วยความรัก ความทุ่มเท และความเข้าใจในความงามของธรรมชาติ ชายผู้เปลี่ยนไวน์แคลิฟอร์เนียสามัญธรรมดา ให้กลายเป็นหนึ่งในไวน์ชั้นเลิศ ชายผู้ไม่เพียงแค่ทำไวน์ แต่ยังกลั่นศิลปะและปรัชญาชีวิตออกมาในทุกหยาดหยดของไวน์ที่เขาสร้างสรรค์


เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Getty Images

ที่มา :
Mondavi, Robert. (with Paul Chutkow). Harvest of Joy. A Harvest Book. 1998.
Roberto, A. Michael. Robert Mondavi and The Wine Industry. Harvard Business School. 2005.