12 พ.ย. 2568 | 15:08 น.

KEY
POINTS
14 ปีที่ผ่านมา สปอตไลท์บนเวทีคอนเสิร์ตเคยส่องสว่างไปที่คน 2 คน แต่วันนี้แสงนั้นเหลือเพียงดวงเดียว ไม่ใช่เพราะความสว่างลดลง แต่เป็นเพราะอีกคนหนึ่งได้จากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความทรงจำ เพลงที่ยังไม่เสร็จ และภารกิจที่ยังค้างคา
‘วิน ศิริวงศ์’ หรือ ‘วิน Sqweez Animal’ นั่งตรงหน้าเรา ไม่ใช่ในฐานะศิลปินที่ต้องการมีภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เคยเดินผ่านจุดมืดหม่นของชีวิต และกำลังพยายามสานต่อความฝันที่ยังไม่สมบูรณ์ เขาเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็นิ่งคิด ราวกับกำลังเดินทางย้อนกลับไปในความทรงจำ
“ตอนหยิบกีตาร์ครั้งแรกเลย จริงๆ เพราะเห็นรุ่นพี่ในวงเหล้า แล้วก็เขาก็เล่นกีตาร์ เปิดหนังสือเพลง ร้องเพลงกัน ผมรู้สึกว่าเป็นบรรยากาศที่ดีมากเลย”
วินเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเล่นกีตาร์ ที่ไม่ใช่เพราะอยากเอาไปจีบสาวเหมือนหนุ่มยุค 90s หลาย ๆ คน แต่เป็นเรื่องของมิตรภาพ ของการอยู่ร่วมกัน ของการที่ดนตรีกลายเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมคนเข้าไว้ด้วยกัน
“มันเป็นเครื่องมือที่เชื่อมทุกคนไว้ด้วยกัน แล้วเราคือศูนย์กลางของความสนใจนั้น มีคนขอให้ผมร้องเพลง” เขาหัวเราะเบา ๆ ราวกับเห็นภาพตัวเองในวัยรุ่นกำลังถือกีตาร์นั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ
จนกระทั่งวันหนึ่งที่มีโอกาสเข้าไปเล่นให้กับ ‘โยคีเพลย์บอย’ ที่ตอนแรกเขามีแต่คำถามเต็มไปหมด “ผมไม่ได้เปิดใจให้โยคีเพลย์บอยทันที ก็สงสัยว่ามันคือเพลงอะไรวะ ชื่อก็แปร่งมากเลย แบบมีโยคี แล้วก็มีเพลย์บอยด้วย” เขายกตัวอย่างเพลง ‘อยู่มานาน’ ซึ่งมีท่อนที่ร้องว่า “อ่อนโยนเหมือนแสงสีเทาที่สายตา” ที่ทำให้เขากลับไปครุ่นคิดถึงความหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วความสงสัยที่มากมายท่วมท้นในแนวเพลง แนวทางของโยคีเพลย์บอย ก็กลับกลายมาเป็น ‘ความหลงใหล’ เพราะในมุมของวินนี่คือการเขียนเพลงที่ “ไม่แคร์อะไรเลย” ไม่ใช่เพลงในกระแส ไม่ต้องการให้คนเข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์
“ทำให้เกิดความสงสัยว่าเขียนเพลงแบบนี้มันได้ด้วยหรอ อยากจะกระโดดขึ้นโต๊ะ อยากจะแหกขา อยากจะทำอะไรห่าม ๆ แผลง ๆ ให้คนดู ก็ทำได้ ก็เลยประทับใจไปแทบจะทุก ๆ จุด”
การได้ยืนเป็นนักร้องประสานกับ ‘โป้ โยคีเพลย์บอย’ ได้เปิดโลกให้วินเห็นว่า ดนตรีสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราต้องการ ไม่ต้องติดกรอบ ไม่ต้องเดินตามใคร นั่นทำให้เขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของ ‘Bakery Music’ ที่มีศิลปินอย่าง โป้ โยคีเพลย์บอย, ป๊อด โมเดิร์นด็อก และนภ พรชำนิ “คือศิลปิน Baker ในช่วงนั้น เป็นเหมือนฮีโรของผมอะ ผมอยากจะเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น”
แม้จะพลาดโอกาสนั้นไป และทุกวันนี้ยังจดจำได้ดีถึงความฝันที่อยากจะเป็นหนึ่งในสมาชิก ‘B5’ แต่ความต้องการที่จะถ่ายทอดแนวเพลงและตัวตนผ่านดนตรีไม่เคยลดลง “ในช่วงวัยนั้น ผมรู้สึกว่าผมมีอะไรอยู่ข้างในเยอะมากที่อยากจะระบายให้คนฟัง มันมีแนวเพลงที่ผมชอบ มีวิธีการร้องที่เป็นตัวตนของผม”
เมื่อเพลง ‘ไม่มีความหมาย’ ออกมาและกลายเป็นเพลงฮิตที่ทุกผับทุกบาร์เปิดกัน นั่นทำให้เขามีความหวังเล็ก ๆ ว่าคนจะเปิดใจให้กับแนวเพลงที่ต่างออกไป
แต่เมื่อถึงตาของ ‘อาจยังไม่สาย’ วินทำใจไว้แล้วว่า มันอาจแตะไม่ถึงความสำเร็จของเพลงแรก “มันไม่เป็นไปตามสูตรของเพลงป๊อป ก็เลยคิดว่าได้แค่ไหนแค่นั้น แต่ว่าเรามีอีก agenda นึง คือเราอยากจะนำเสนอแนวเพลงใหม่ ๆ ให้กับวงการเพลง”
เมื่อถามว่าจนถึงวันนี้ คิดว่าตัดสินใจถูกหรือผิด วินตอบด้วยความมั่นใจ “ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่ามีความสุข มีความภาคภูมิใจกับจุดที่ตัวเองอยู่ และประสบการณ์ที่เราได้พบเจอในเส้นทางที่เราตัดสินใจเดินมา”
สิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับเขาคือการค้นพบว่าคนรุ่นใหม่อย่าง ‘เจน Z’ ยังคงกลับไปฟังเพลงของ Sqweez Animal “มหัศจรรย์จริง ๆ เพราะว่าไปเล่นคอนเสิร์ต เราจะเจอเค้าวิดีโอคอลหาพ่อแม่เค้า บอกว่า ‘ป๊า ผมได้มาดูพี่วินก่อนป๊าอีก’” เขาหัวเราะ “สะท้อนใจว่า เออ เราน่าจะมีอายุแล้วล่ะ”
แต่ภายใต้ความสำเร็จที่เกิดขึ้น วินกลับมีความกังวลที่ซ่อนอยู่ตลอดเวลา “ทุกครั้งที่ผมเดินในเส้นทางดนตรี ผมก็มีความกังวลอยู่ว่า ที่เราขัดใจกับคุณพ่อ มันถูกหรือผิดกันนะ” เขาอธิบายว่าการเดินสายดนตรีนั้นเป็น “การดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ และการยืนบนลำแข้งตัวเอง” เป็นเหตุผลที่เขาต้องทุ่มเทกับมันอย่างสุดกำลัง
แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยอมรับตามตรงว่า “ผมโชคดีที่มีครอบครัวหนุนหลังอยู่ เงินที่ใช้ทุกบาททุกสตางค์ในช่วงที่พยายามทำเพลง หรือก่อร่างสร้างตัวตอนนั้น จริง ๆ แล้วถ้าไม่มีการซัพพอร์ตที่ดี ก็ทำไม่ได้นะ”
การมีครอบครัวหนุนหลังทำให้เขามีอิสระในการคิด มีเวลาที่จะทดลอง “ถ้าผมมีความกดดันว่า จะต้องหาเงิน แล้วก็ต้องคิดถึงว่าเราจะอยู่ยังไง เลี้ยงตัวเองยังไง มันก็อาจจะไม่ได้ออกมาเป็นแบบนี้”
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ความสัมพันธ์กับคุณพ่อจึงเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมาก “คุณพ่อมีพระเดชพระคุณ มีหลายอย่างมากที่คุณพ่อให้กับผม ในทุก ๆ อย่างที่ท่านหยิบยื่นให้ มันเกิดจากความหวังดี”
แต่ในเรื่องดนตรี วินก็ยอมรับว่าตัวเองดื้อ “ผมอยากทำเพลง เค้าอาจจะไม่ได้ซัพพอร์ตเราขนาดนั้นว่าเพลงคือทางที่ดี อันนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ผมดื้อ แล้วอาจจะเป็นจุดเดียวด้วยที่รู้สึกว่า ผมมีความต้องการสิ่งนี้รุนแรงพอที่จะขอดื้อดูสักครั้งหนึ่ง”
“พอสิงห์จากไป ผมรู้สึกว่าการตอบอะไรออกไปตอนนั้นเป็นสิ่งที่มันไม่ชัดเจน แต่ก็ตอบออกไปเพราะว่ามันต้องมีคำตอบอะไรสักอย่าง” วินกล่าวถึงหนึ่งในช่วงเวลาที่ชีวิตเผชิญกับความมืดหม่น ไม่มีทางออกที่แน่ชัดให้กับตัวเอง
และเป็นเวลานั้นเองที่เขาเริ่มมองเห็นว่า มีจุดเชื่อมต่อระหว่าง ‘ความฝัน’ กับ ‘ความคาดหวังของครอบครัว’ ทำให้เขาได้คำตอบกับตัวเองว่า “เฮ้ย นี่ไง เราเจอจุดเชื่อมต่อแล้วว่า เออ ฉันไม่ได้ต้องการไปไกลกว่านี้ในฝั่งของศิลปิน แต่ว่ามันมีสิ่งที่ถูกคาดหวังจากตัวผู้ชายคนนี้ว่า เออ ควรจะต้องกลับมาดูแลกิจการ”
ทุกวันที่เห็นคุณพ่อต้องเหนื่อยกับการดูแลกิจการ วินรู้สึกว่า “เราช่วยได้นี่ คือในฐานะของลูกชาย เราก็ควรที่จะไปทำหน้าที่ตรงนั้น” และที่สำคัญ เขาไม่ได้ห่างไกลจากธุรกิจครอบครัวเลย “ตลอดเวลาที่เป็นศิลปินอยู่ ผมก็ยังคงเข้าออฟฟิศ ประชุมรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบริษัท”
การจากไปของสิงห์จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ “พอสิงห์ไม่อยู่ โอเค ผมจะกลับมาทำหน้าที่ลูกที่ดี กลับมาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยได้เรียนรู้”
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะตัดเส้นทางดนตรีทิ้ง “ก็เดินคู่กันไป แต่ว่าลดโฟกัสจากมันลง เพราะถ้าไปโฟกัสตอนนั้นมันมีแต่ความเจ็บปวด มีแต่คำถามว่าจะไปยังไงเต็มหมด คิดไม่ออก ก็เดินช้า ๆ แล้วก็ก็มาทำหน้าที่ตรงนี้ (ดูแลธุรกิจครอบครัว)”
การเปลี่ยนจากศิลปินมาเป็นนักธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย “มีความเปลี่ยนแปลงเต็มไปหมดในชีวิตของผม ผมต้องเจอกับคนกลุ่มใหม่ ๆ กฎใหม่ ๆ เป้าหมายใหม่ ๆ”
เป้าหมายในโลกธุรกิจต่างจากโลกดนตรีอย่างสิ้นเชิง “คนอื่นเค้ามีเป้าหมายเดียวกันว่า เฮ้ย จะต้องสำเร็จ จะต้องโปรเฟสชั่นแนลที่สุดในการทำงาน ทุกอย่างจะต้องเกิดผลกำไรขึ้น มีแต่จะต้องทำให้มันดีขึ้น ดีขึ้นอย่างเดียวเลย คือเป็นภาษาที่มืออาชีพเค้าคุยกันแบบนั้น”
แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็กลายเป็นความท้าทายสำหรับวิน “ก็ปรับตัวยาก เวลาตื่นนอน เวลาหลับผมก็ไม่เหมือนชาวบ้าน เปิดตู้เสื้อผ้ามาก็งงว่าจะแต่งตัวยังไงดี มันยากไปหมด” ไหนจะสายตาของคนรอบข้างทั้งพนักงาน และลูกค้า ที่มองว่าเขาไม่ใช่มืออาชีพ เป็นเพียงลูกเจ้าของบริษัท
แต่วินก็เลือกที่จะพุ่งไปข้างหน้า “มันก็เลือกเกิดไม่ได้ ก็เราเกิดมาอย่างงี้ ก็ต้องทำอ่ะ อย่างน้อยผมตั้งใจจะทำนี่ก็ชนะไปกว่าครึ่งละนะ”
เมื่อถามถึงความสำเร็จในทางธุรกิจ วินบอกว่า “ผลประกอบการ และความเชื่อใจจากคุณพ่อ เป็นหลัก เค้าก็ไว้วางใจผมให้ผมตัดสินใจ ให้จัดการกับทีม ให้นั่งประชุมกับลูกค้าเอง คุณพ่อผมก็หักดิบ ปล่อยมือให้ผมไปจัดการ ให้ผมไปเจอสถานการณ์เลย เหมือนกับจำลองว่าถ้าเขาไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ผมจะทำยังไง”
“คิดถึงบรรยากาศการทำเพลงตลอดอะ คือในทุก ๆ ขั้นตอนของการทำดนตรีมันให้พลังกับผม มันเป็นที่ที่ผมรู้สึกเป็นตัวเอง เป็นธรรมชาติที่สุด แล้วตอนแสดงคอนเสิร์ตก็จะได้เจอกับคนที่เขาชื่นชอบผลงาน แล้วก็คิดถึงในสิ่งที่ผมเป็น”
วินอธิบายว่าความรู้สึกจากดนตรีนั้นหาจากที่อื่นไม่ได้ “เป็นความรู้สึกปลอดภัย ความรู้สึกจริงใจ การหวังดีต่อกัน เค้ามาให้กำลังใจเรา เราร้องเพื่อให้เขาหายคิดถึงเรา มันมีแต่พลังบวกเอามามอบให้กันทั้งนั้นเลย ไอ้พื้นที่อย่างเงี้ยมันหายากจากที่อื่นยาก”
แม้ว่าในการทำธุรกิจเขาจะรักชอบพอกับทุกคน “แต่ว่าสุดท้ายมันมีเรื่องของผลประโยชน์แฝงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฐานะเจ้านาย ลูกน้อง แต่อันนี้มันคือการที่เรามาให้ความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน ตรงนี้เป็นที่ที่ผมรู้สึกว่ามันพิเศษมาก ๆ”
“ถ้าคำนวณไม่ผิด ครั้งสุดท้ายชื่อคอนเสิร์ต Let's Go Party แล้วเราก็เว้นระยะมา 14 ปี ถึงเกิดคอนเสิร์ตครั้งที่ 3 SQWEEZ ANIMAL คอนเสิร์ตที่ฉันไม่เหงา หลังจากที่สิงห์จากผมไปประมาณ 10 ปี พอดี”
วินอธิบายว่าถ้าสิงห์ยังไม่จากไป มันคงจะเกิดขึ้นเร็วกว่านี้ “ถ้าตามไทม์ไลน์ของมันแล้วเนี่ย เราจะปล่อยอัลบั้มที่ 3 ออกมา แล้วพออัลบั้มที่ 3 เสร็จก็จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่ 3 แต่ว่าที่มันลากยาวมา ผมว่าก็ด้วยความไม่พร้อมหลาย ๆ อย่าง”
ความไม่พร้อมนั้นเต็มไปด้วยคำถาม “ทันทีที่เราสูญเสียสมาชิกคนสำคัญไป เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย มันจะไปยังไง มีแต่คำถาม จะทำงานแบบไหน ทุกกระบวนการเลย การทำเพลงเราจะทำยังไง การเล่นคอนเสิร์ตเราจะเล่นแบบไหน ปกติเราให้แสงสาดมาที่คนสองคน ตอนนี้รับแสงอยู่คนเดียวเลย มันโอเคจริง ๆ รึเปล่า”
การทำอัลบั้มที่ 3 จึงกลายเป็นภารกิจที่ต้องสานต่อ “มันมีงานที่ทำค้างกันไว้ มีภาพที่เราคุยกันไว้ว่า เออ อยากจะให้อัลบั้มเรามันออกมาในรูปไหน ผมก็พยายามสานฝันต่อ แต่ที่ทำได้ไม่เร็วก็เพราะว่ามันใช้เวลามากกว่าเดิม”
วินพยายามรวบรวมทุกอย่างที่เหลืออยู่ “ผมก็พยายามเอาวัตถุดิบทั้งหลายที่เรายังทำไว้ ที่ยังมีอยู่ เอามารวมให้มันอยู่ในอัลบั้มให้มากที่สุด ผมมองว่าอัลบั้มนี้มันเหมือนกับการที่ผมเอาเศษเสี้ยวต่าง ๆ ที่มันอยู่ตรงนั้นอยู่ตรงนี้ ที่ยังมีตัวตนของเขาอยู่ ยังมีกลิ่นอายของเขาอยู่ เข้ามาตรงนี้ให้มากที่สุด”
ในคอนเสิร์ตนี้ “เพลง Sqweez Animal จะถูกเล่นแน่นอน อย่างเต็มที่ที่สุด แล้วเพลงที่ทุกคนคิดถึงกัน ก็ควรที่จะได้ฟังในเวอร์ชันที่พิเศษขึ้นไปอีก มีศิลปินเข้ามาช่วยกันมากหน้าหลายตา ที่เข้ามาช่วยเสริมให้คืนนั้นเป็นคืนที่อบอุ่น”
“เราจะไม่เหงากันในคืนนั้น จะเต็มไปด้วยเพื่อนพี่น้อง แล้วก็แฟนเพลงที่ติดตามผลงานเรามานาน ที่เติบโตมาด้วยกัน ก็จะได้มารวมตัวกันอยู่ที่นั่น แล้วก็ได้มีความสุขกับบทเพลงของ Sqweez Animal อีกครั้งหนึ่ง ในรูปแบบที่เติบโตขึ้น พิเศษขึ้น”
การจากไปของสิงห์เปลี่ยนวินในหลาย ๆ ด้าน “ผมเป็นคนที่เปิดเผยขึ้น อะไรที่ผมรู้สึก ผมต้องพูดทันที ไม่งั้นมันจะสายไป ผมก็จะพูดเลย”
เขาเล่าถึงบทเรียน “อันนี้คือเป็นบทเรียน บางอย่างที่ผมอยากจะพูดกับเขา แล้วผมไม่ได้พูด กลับมาถามตัวเองว่าแล้วทำไมไม่พูด ก็คิดว่าอย่างนั้น คิดว่าอย่างงี้ ทำไมต้องคิด ก็ถามให้มันรู้เรื่องเลยไม่ดีเหรอ จะได้ไม่มีมิสคอมมูนิเคชัน”
การขอบคุณและการขอโทษกลายเป็นสิ่งที่เขาทำเร็วขึ้น “ถ้าโกรธกับใคร ก็จะพยายามเคลียร์ให้เร็ว หรือถ้ารู้สึกว่ามีอะไรที่อยากจะพูด เช่นขอบคุณใครสักคนนึง ก็จะขอบคุณเลย ไม่อยากรอนาน”
วินยังมองสถานการณ์การสูญเสียในอีกมุมหนึ่ง “ผมได้รับการถ่ายทอดต้นทุน สิ่งเค้าทำเอาไว้มาถึงผมเยอะ คือเค้ามีคนรักเยอะ ถ้ามองเป็นบริษัทก็คือตอนนี้ผมถือหุ้นอยู่คนเดียว จากแต่ก่อนนี้มัน 50-50 สิ่งที่เข้ามามันก็จะหาร 50-50 ตอนนี้ทุก ๆ อย่าง ความรู้สึกดี ๆ สิ่งที่คนเขาจะให้ มันก็จะตรงมาที่วินคนเดียว”
"ผมก็รู้สึกขอบคุณเขาอยู่ลึก ๆ แหละ เพราะว่ามันก็ทำให้ผมมีพลังในการที่จะเดินต่อไป เพราะถ้าไม่มีกำลังใจต่างๆ มันก็จะไม่ง่ายเลย"
เมื่อถามถึงชีวิตหลังแต่งงาน วินบอกว่า “มีความปลอดภัย มีความแน่นแฟ้นกันมากขึ้นในความรู้สึก แล้วก็ในคำว่าครอบครัว มันก็มีความหมายหนักแน่นขึ้น มันไม่ใช่แค่เรื่องของผมอีก”
“ชีวิตของผม สิ่งที่ผมเป็น สิ่งที่ผมมี มันจะเกี่ยวข้องกับอีกคนหนึ่งด้วย แต่ก่อนนี้ก็ตัวคนเดียว เดินไปไหน จะทำอะไร จะหายไปจากโลกนี้ก็อาจจะไม่ได้ไปกระทบกับใครมาก”
เขาพูดถึงความรับผิดชอบที่มีต่อภรรยาที่เพิ่งเข้าพิธีวิวาห์เพียงไม่กี่เดือนว่า “เป็นคู่ชีวิต เป็นครอบครัวใหม่ เป็นคนที่ทำให้รู้สึกอยากจะมีชีวิตอยู่ ถ้าคนนึงล้ม อีกคนนึงก็อาจจะล้มไปด้วยก็ได้ เพราะฉะนั้นผมต้องพยายามพยุง ให้เราต้องเดินไปด้วยกันให้ได้ ประคับประคอง คอยระวังภัย คอยดูแลตัวเอง ดูแลเค้า”
"มันไม่เคยต้องไปสนใจอีกคนนึงขนาดนี้มาก่อน แต่ตอนหลังแต่งงาน รู้สึกว่าเราเลือกที่จะจับมือกันขนาดนี้แล้ว เพราะฉะนั้นสารทุกข์สุขดิบของอีกคนนึง มันมีความสำคัญขึ้นมา ถ้าเค้ามีความทุกข์ ผมก็ทุกข์ด้วย”
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะแต่งเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสุขมากขึ้นไหม เขาตอบแทบจะทันทีว่า “หวังว่าจะไม่นะ เดี๋ยวมันจะแก่ หรือว่าสุขเกินไป คนก็จะไม่ชอบ เพราะว่าเพลงของ Sqweez Animal มันควรจะมีความขม ความสับสน คิดไม่ออก หรือให้แง่คิดอะไรบางอย่าง”
"ถ้าผมบอกว่า เฮ้ย โลกมันสวยงามมากเลยที่ฉันมีคนนี้อยู่ มันก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมสำหรับทุก ๆ คน แต่ถึงแม้ผมจะมีครอบครัว ผมก็ยังเชื่อว่าเราก็ต้องจัดการกับทุกปัญหาด้วยตัวเองนะ ยังไงมันก็ต้องเป็นเราอยู่ดีที่แก้ไข เราจะไปพึ่งพาให้อีกคนนึงเข้ามาช่วยมันก็ไม่ได้”
เมื่อถามว่า Sqweez Animal จะเปลี่ยนไปหรือไม่หลังจากนี้ วินตอบว่า “ก็คงต้องเปลี่ยนไป” แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้หมายความว่าจะสูญเสียเอกลักษณ์ “คือในการรวมตัวกันของพี่น้องในวง เวลาเราทำอะไรกันปุ๊บ เราจะรู้เลยว่า Sqweez Animal ต้องเป็นแบบนี้”
“DNA ของ Sqweez Animal ยังคงอยู่ในความคิด อยู่ในทุกการกระทำของเราทั้งหมดเลย ว่าอะไรก็ตามที่เราทำร่วมกัน ความระลึกถึงว่าถ้าสิงห์อยู่ สิงห์ก็คงเล่นประมาณนี้ มันจะอยู่ตรงนั้นตลอดไป ในความทรงจำ”
สำหรับอนาคต เขาจะทำงานเพลงต่อไปไหม หรือวางแผนจะกลับไปเป็นนักธุรกิจเต็มตัว วินบอกว่า “ดนตรียังคงเป็นความสุข ถ้าผมสุขภาพไม่ดี ร้องเพลงไม่ได้ นิ้วล็อกเล่นกีตาร์ไม่ได้ ในที่สุดก็คงจะมีวันนั้น แต่ตอนนี้เรายังทำได้ และมันยังสร้างความสุขให้กับเราได้อยู่ ก็ไม่ควรหยุด”
“ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ” นั่นคือคำตอบสุดท้ายของเขา
สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ถ่ายภาพ: จุลดิศ อ่อนละมุน