30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร

ซันนี่ - หยาดทิพย์ ราชปาล คือนักแสดงมากฝีมือที่อยู่คู่วงการบันเทิงไทยมาตลอด 30 ปี สวมบทบาทตั้งแต่นางเอกแสนดีผู้ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนรัก ไปจนถึงนางร้ายเจ้าอารมณ์

ส่วนผลงานที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติการทำงานมากที่สุดของเธอ คือ ละครโทรทัศน์ จากละครเรื่องแรก ภาพอาถรรพ์ ยังใช้คำนำหน้าเป็นเด็กหญิง จากนั้นจึงขยับมาเป็นนางสาว จนปัจจุบันเธอแต่งงานกับ เมฆ - รามา รัศมีรามา และมีลูกสาวที่เพิ่งอายุครบ 1 ขวบ เมย่า - รามาวดี รัศมีรามา เป็นโซ่ทองคล้องใจ

หากจะบอกว่าหยาดในวัย 35 อยู่ในวงการบันเทิงมาทั้งชีวิตก็คงไม่ผิดนัก เพราะเธอสัมผัสโลกมายาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ทั้งที่นักแสดงคืออีกหนึ่งอาชีพที่เปลี่ยนหน้าบ่อยชนิดว่า หากปัจจุบันเห็นข่าวดาราสักคนตามหน้าเฟซบุ๊ก ก็จะเห็นคอมเมนต์ชาวเน็ตเข้ามา ‘ใครอะ ไม่เห็นรู้จัก’ มาคู่กับ ‘ถ้าไม่รู้จักก็ใช้กูเกิลค้นหาดูก่อนถาม’ กันอยู่เรื่อย

ขณะที่โลกกำลังหมุนวนไปไม่รู้จบ เราได้โคจรมาเจอกับหยาดในวันฟ้าครึ้ม พูดคุยกับเธอถึงความเชื่อ ผี และความหลอนจากกองถ่ายศีรษะมาร พร้อมกับเรื่องราวระหว่างทางทั้งสนุกและวายป่วงตลอดเวลาที่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิง รวมถึงประเด็นที่มักเป็นกระแสอยู่บ่อยครั้งอย่างพล็อตละครไทยในปัจจุบัน ว่ายังคงวนเวียนอยู่กับอะไรเดิม ๆ ตามที่หลายคนสงสัย หรือแท้จริงมันเปลี่ยนไปแล้ว

นี่คือเรื่องราวของ หยาดทิพย์ ราชปาล ดาราสาวผู้ไม่เคยห่างจอกับการกลับมารับบทบาทเดิมใน ‘ศีรษะมาร’ ซึ่งเธอเคยแสดงเป็น ‘ปี๋’ วัยเด็กเมื่อ 29 ปีที่แล้ว มาจนถึงวันที่เปลี่ยนสถานะเป็นแม่อย่างเต็มตัว

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร

29 ปีที่แล้วคุณแสดงเป็นปี๋หรือก็คือตัวเอกในวัยเด็ก มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษไหมว่าทำไมถึงตัดสินใจกลับมารับบทนี้อีกครั้ง

ก็จริง ๆ คือเป็นละครที่คนดูติดตาม แล้วคนนิยมมาก ๆ อยู่แล้ว ตั้งแต่รอบก่อนตอนเวอร์ชันแรก ใคร ๆ ก็รู้จักเรื่องนี้ ถ้าเกิดทันนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นใคร ๆ ก็รู้จัก จริง ๆ หยาดจะไม่รับละครผีเลย เพราะหยาดเป็นคนกลัวผีมาก แต่เรื่องนี้ก็คือมันพิเศษ เพราะหยาดเคยเล่นละครเรื่องนี้เมื่อ 29 ปีที่แล้ว แล้วหยาดก็เล่นเป็นตัวนี้เลย (ปี๋) แล้วเขาก็เลือกให้หยาดกลับมาเล่นตอนโตอีกครั้งหนึ่ง 

หยาดรู้สึกว่ามันอะเมซิ่งมาก มันไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง ผ่านไป 29 ปีได้กลับมาเล่นเป็นคนเดิม แล้วบทบาทมันก็ยิ่งน่าสนใจ มันท้าทายมาก ๆ เพราะว่าหยาดไม่เคยรับบทเป็นผีหัวขาด มันค่อนข้างท้าทายอย่างหนักหน่วงในเรื่องทักษะการแสดงของเราค่ะ

คุณกลัวผีมากขนาดนี้ แล้วตอนเด็ก ๆ ที่เลือกรับบทรู้ไหมว่าละครเรื่องนี้น่ากลัวจนทำให้เป็นที่พูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง

ตอนเด็กก็คือรู้นะคะว่าเล่นเป็นอะไร หรือเวลาเล่นต้องเล่นยังไง แต่เหมือนกับว่าเราไม่ค่อยรู้หรอกว่าละครมันน่ากลัวขนาดไหน เพราะว่าเด็ก ๆ เราไม่ได้ดูตอนที่ฉาย แต่ว่าทุกคนจะพูดถึงละครเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในละครที่หลอนในตำนาน คือหยาดก็จะจำได้ว่าเล่นเรื่องนี้แล้วมันอยู่ในละครท็อปต้น ๆ ของความหลอน แต่หยาดไม่ได้ดู ภาคก่อนหยาดไม่ได้ดูค่ะ

อยากดูไหม

อยากดูเหมือนกันตอนเด็ก ๆ มีก่อนที่จะเล่นไปเสิร์ชยูทูบดู แต่ว่าเจอพี่คนที่เขาเล่นเป็นปี๋ตอนโต แต่ไม่เจอตัวเอง (หัวเราะ) ไม่รู้ตัวเองออกมาตอนไหน ก็เลยยังไม่ได้เห็นตัวเองตอนเด็กค่ะ แต่ว่าทางทีม ผู้กำกับเอาภาพมาให้ดูเหมือนกัน ว่าตอนที่เล่นเป็นตัวนี้ตอนเด็กหน้าตาเป็นยังไง

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร

เชื่อเรื่องผีไหม

เราเชื่อว่ามี แต่ว่าเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คือก็ไม่เคยเห็นอะไรเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่าเชื่อไหม โดยส่วนตัวนะ เป็นความเชื่อส่วนตัวนะ คิดว่ามีนั่นแหละ ไม่งั้นทุกคนจะเจอกันเยอะแยะเหรอ มันต้องมีแหละ แต่ว่าก็ไม่รู้ ไม่เคยเจอ แต่ก็นั่นแหละ ก็ยังไม่ได้เห็นอะไรค่ะ แต่แค่แบบมีเรื่องนี้แหละ

เคยเจออะไรแปลก ๆ ไหมในกอง

ในกองไม่เจอค่ะ แต่ว่าบรรยากาศการถ่ายทำค่อนข้างน่ากลัว ยิ่งมีหัวปลอมของหยาด ที่มันจะตั้งอยู่ตามมุมต่าง ๆ คนที่เขาทำงานเป็นพร็อพอะ เขาเห็นมันเป็นวัตถุ เป็นของสิ่งหนึ่งที่ใช้ในการทำงาน เขาก็ชอบไปตั้งอยู่มุมพื้นบ้าง หรือว่าในหลืบ ๆ แล้วหัวมันก็จะเป็นสังกะตัง ปิดหน้าปิดตา ตั้งอยู่ในมุมมืดอะ (หัวเราะ) 

บางทีเดินไปแล้วมันมืด ๆ แล้วมันก็ ฮึ่ย! นึกออกมั้ยมันมีหัววางอยู่ แล้วมันก็น่ากลัว บางทีแบบ คือตอนถ่ายแรก ๆ มันก็ยังอยู่สภาพดีอยู่นะ พอถ่ายเริ่มนาน มันเริ่มสภาพเยิน แล้วมันน่ากลัวเข้าไปอีก วางหงายอยู่อย่างนี้ ทิ้งอยู่ตามพื้น ในซากป่าดงดิบ โห เดินผ่านทีคือแบบหลอนเหมือนกัน

ศีรษะมารทั้งสองเวอร์ชันมีความแตกต่างกันอย่างไร

คือจริง ๆ หยาดค่อนข้างจำเวอร์ชันเก่าไม่ค่อยได้แล้ว แต่สำหรับเวอร์ชันใหม่นี้ คือถ้าพูดถึงเวอร์ชันใหม่จะเน้นไปทางเกี่ยวกับการทดลองและวิทยาศาสตร์ด้วยค่ะ คือความหลอน ความน่ากลัว มันน่ากลัวอยู่แล้ว เพราะว่ามันคือคนคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว แล้วมีการฟื้นคืนชีพขึ้นมา แต่ว่ามันจะเป็นการที่เข้ากับยุคกับสมัยมากขึ้น มีความสมจริงมากขึ้น เพราะว่ามันเกี่ยวกับการทดลองสิ่งต่าง ๆ เชื้อโรค หรืออะไรที่แบบมันทำให้ร่างกายเราเน่าเปื่อย แล้วก็จะมีเรื่องของฆาตกรรม การสืบสวนสอบสวน แล้วก็ภาคนี้จะเน้นเรื่องเกี่ยวกับความรักเยอะว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมที่จะตายไป เพราะจริง ๆ ผู้หญิงคนนี้รักผู้ชายคนนี้มาก เลยอยากจะยังมีชีวิตอยู่ ก็เลยต่อสู้ที่จะเอาร่างคนอื่นมาใส่ไว้เรื่อย ๆ

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร ที่คุณบอกว่ากลัวผี คุณกลัวมากขนาดไหน

หนักมาก ก็กลัวมากค่ะ กลัว… คือหยาดเป็นคนที่แบบกลัวผีหนักที่สุด คือหยาดไม่สามารถไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง หยาดต้องเปิดไฟสว่างทั้งห้อง แต่ถึงจะเปิดไฟสว่างแล้วก็ยังนอนไม่ได้ หยาดต้องเปิดไฟไว้เพื่อไม่ให้ผีมา ขี้กลัวหนักมาก เป็นคนไม่ดูหนังหรือละครผีเลย ตั้งแต่เด็กมา ไม่ดู ไม่เคยดู 

แต่จะดูเรื่องนี้เพราะว่าตัวเองเล่น ก็คือพอมาเล่นก็กลัว ตอนแรก ๆ ที่ถ่ายก็จะมีฉากพีค ๆ ฉากค่อนข้างน่ากลัว ก็จะไม่ค่อยกล้าดูตัวเอง เช่นฉากที่คอขาด แล้วเราจะต้องไปถ่าย ในเรื่องเราต้องเดินลากหัวตัวเอง แล้วเลือดก็หยดเป็นทางในป่า สถานที่ถ่ายก็น่ากลัว 

แล้วตอนถ่ายก็ดึกแล้วด้วย ก็พอถ่ายเสร็จคัทก็คือไม่ดู เพราะว่าบรรยากาศมันวังเวง กลัวมันติดตา หรือเวลาแต่งเอฟเฟกต์ที่คอขาด ก็ไม่ค่อยกล้าส่องกระจก วันนั้นทั้งวันก็จะไม่ค่อยกล้าส่องกระจก เข้าห้องน้ำก็มองผ่าน ๆ ไป (หัวเราะ) เหมือนกลัวตัวเอง

นับว่าเป็นบทบาทที่ทำให้คุณรู้สึกกลัวตัวเองมากที่สุดบทหนึ่งเลยหรือเปล่า

ก็กลัว แต่ว่าเราไปหลอกเขา เราไปทำเขาไง ถ้าเกิดเราไปเล่นเป็นคนที่ถูกผีหลอก เราก็กลัวอีกแบบหนึ่ง

ตั้งแต่แสดงมาคุณคิดว่าบทบาทไหนที่ท้าทายมากที่สุด

จริง ๆ มันก็มีความท้าทายเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับช่วงที่เราอยู่ในวงการ อย่างบางช่วงเรื่องที่มันท้าทายเรา แต่เรื่องศีรษะมารมันแปลกใหม่มาก ไม่ว่าจะเป็นตัวบทที่เรารับที่เราไม่ใช่คน แล้วเทคนิคการถ่ายทำ หรือว่าเป็นละครรีเมคที่คนตั้งตาดู อันนี้มันค่อนข้างท้าทายหยาดในจุดนี้ที่มันแตกต่างจากเรื่องอื่น

ทราบมาว่าขั้นตอนการทำเอฟเฟกต์หัวขาดมีความยุ่งยากมาก เล่าให้ฟังได้ไหมว่ามีขั้นตอนอะไรบ้าง

ขั้นตอนเยอะมากค่ะ เพราะต้องหล่อใหม่หมด คือใช้ช่างเทคนิคพิเศษที่เป็นช่างเอฟเฟกต์ในการที่จะหล่อหัวขึ้นมาใหม่ แต่หัวอันนั้นไม่ได้เอามาใช้เล่นแทนนะคะ คือหัวหยาดเล่นเองจริง ๆ เวลาลอยไปลอยมาอะไร หยาดก็เล่น 

หัวนั้นจะเอามาใช้เวลาซ้อม ซ้อมตำแหน่ง หรือว่ามาใช้ในการวางมาร์คกิ้ง เพราะว่าเวลาถ่ายทำมันค่อนข้างมีเทคนิคพิเศษเยอะค่ะ ต้องมีคนเชี่ยวชาญพวก CG มาดู มีทีม หัวหน้าทีมกล้องเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคพิเศษที่ต้องมาวางจุด แล้วก็ไหนจะต้องนำมาถ่ายกับกรีนสกรีนอีก 

ไหนจะต้องใส่ชุดที่เหลือแต่หัวเล่นรอบหนึ่ง แล้วใส่คลุมหน้าที่มองไม่เห็นอะไร เหลือแต่ตัว เล่นตัวด้วย อะไรอย่างนี้ค่ะ ก็มีเทคนิคเยอะที่เวลาถ่ายทำต้องใช้เวลาถ่ายทำนานเหมือนกัน

คุณทำการบ้านเพิ่มเติมเพื่อมาเป็นผีหัวขาดในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง

จริง ๆ ไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับการไปศึกษาเรื่องผีเยอะ ผีหัวขาด หรืออะไรเพราะว่ากลัวมาก ไม่กล้าดูหนังผีไง (หัวเราะ) ก็จะใช้วิธีทำการบ้านด้วยการที่คุยกับผู้กำกับเยอะ ๆ อ่านบทเยอะ ๆ แล้วก็ตีความตัวละครตัวนี้ในมุมของเขา พยายามตีความตอนที่เขายังไม่ตาย กับตีความตอนที่เขาตายแล้ว แล้วก็หยาดพยายามที่จะใส่ความว่าเขาไม่ใช่แบบผีที่ไม่มีความรู้สึก จริง ๆ มันเหมือนเป็นร่างที่มันกำลังจะเน่า แต่มันยังมีความรู้สึกข้างในเยอะอยู่ถึงไม่ยอมที่จะตาย

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร แล้วอย่างนี้คุณมีการแบกอารมณ์กลับบ้านไหมหลังถ่ายละครเสร็จ

ก็จริง ๆ แล้วจะไม่ได้ติดกลับไปเยอะค่ะ เพราะว่าเราค่อนข้างชินกับการทำงานตรงนี้ แต่มันจะมีความแบบเหมือนอย่างเวลาที่หยาดเล่น หยาดจะเปลี่ยนคาแรคเตอร์ให้มันดูสมจริงกับบทนี้ เช่น เรื่องศีรษะมารมันก็จะต้องดูแบบเป็นคนที่ดูน่ากลัว เป็นคนที่ข้างในน่ากลัวพร้อมปะทุ หรือว่าสายตา บางทีกลับบ้านไปมันก็จะติดเหมือนกัน มันก็จะมีติดบ้าง เช่น เวลามองหรืออะไรอย่างนี้มันก็จะมีความดุดันออกมา

คนอื่นรับรู้ไหมว่าตอนนี้คุณกำลังอินอยู่กับบทบาทอยู่ ทำให้สายตาหรือท่าทางการแสดงออกของคุณเปลี่ยนไป

มีบ้างค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการที่กลับบ้านไปกลัวมากกว่า กลัวมีอะไรตามกลับบ้าน (หัวเราะ) เพราะว่าสถานที่ถ่ายมันน่ากลัว น่ากลัวมากเลยแต่ละที่ แล้วมันก็จะเป็นสถานที่จริงทั้งนั้นเลย เวลาไปเข้าถ้ำก็ไปเข้าจริง ๆ ไปถ่ายป่ารกร้างข้างทาง ฉากรถคว่ำอะไรอย่างนี้ แล้วก็จะมีไปโรงพยาบาลร้าง หรือว่าบ้านที่ถ่ายทำรอบบ้านก็ป่าร้างหมด 

หยาดก็กลัว บางทีก็รู้สึกว่าเวลาหยาดเล่นจะมีใครตามหยาดกลับบ้านหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ ก็มีกลับบ้านก็จะมีการเช็กเหมือนกัน ว่าแบบหมาที่บ้านเห่าหรือเปล่า หรือว่าส่องกระจกก็ไม่ค่อยกล้าส่อง 

บางทีแต่งหน้ามา หน้าแบบกำลังจะเน่านะ ตาดำ ๆ โบ๋ ๆ อะแล้วหยาดก็กลับไป หยาดก็ขึ้นลิฟต์เพราะหยาดอยู่คอนโดฯ คนเขาก็จะงง เขาก็จะมองว่าเป็นอะไร รปภ. เขาก็จะมองว่าทำไมวันนี้ดูไม่ค่อยแฮปปี้ บางทีเลือดซึม ๆ ตรงคอ เลือดปลอมติดอยู่ ก็กลับทั้งอย่างนั้น ล้างไม่หมด เพราะว่าดึกแล้ว ขี้เกียจล้าง 

มีวันหนึ่งขึ้นลิฟต์กับฝรั่งคนหนึ่ง เขาก็คงไม่รู้ว่าเราเป็นนักแสดง เขาหันมา เขาก็ตกใจ แล้วหน้าเราเหมือนโดนซ้อมมา เป็นรอยแดง ๆ แล้วก็รอยที่คอ เขาก็ตกใจ เราก็บอกว่าไม่เป็นไรค่ะ (หัวเราะ)

การกลับมารับบทบาทเดิมอีกครั้ง คุณคิดว่าตัวเอกในเรื่องอย่าง ‘ปี๋’ สอนบทเรียนอะไรให้คุณบ้าง

จริง ๆ ปี๋นี่เขาก็สอนหลายเรื่องนะ อย่างเช่น อย่างแรกต้องมีความปล่อยวาง ถ้าไม่ปล่อยวางยังไงชีวิตก็ไม่มีความสุขแน่นอน ถ้าจะสอนอย่างหนึ่งคือต้องแก้ปัญหาให้ถูกต้อง คือปี๋เขาอาจจะโชคไม่ดีที่ไปเจอกับอะไรที่มันพลิกชีวิตไป แต่เขาแก้ปัญหาไม่ถูกจุด พอแก้ไม่ถูกจุด มันก็ทำร้ายคนอื่น หรือมีผลกระทบในแง่ลบเรื่อย ๆ ค่ะ แล้วยิ่งพอไม่ปล่อยวาง ไม่มีสติในการใช้ชีวิตมันก็ถลำลึกไปเรื่อย ๆ อันนี้สอนคนดูได้ว่า จริง ๆ แล้วก็คือทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นโชคชะตาที่เราอาจจะต้องยอมรับมัน หรือเราอาจจะต้องแก้ปัญหาในทางที่ถูกต้องกว่านี้

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร คุณเคยอยู่ในจุดที่เป็นเหมือนช่วงพลิกชีวิตไหม

ของหยาดจริง ๆ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการแสดงเรื่องงานอะไร แต่ถามว่ามันมีช่วงอิ่มตัวมั้ย มันจะมีช่วงนั้น มันจะมีช่วงแบบว่าเล่นมาเกือบทุกบทแล้ว พอมีคนให้บทมามันก็จะไปซ้ำกับเรื่องที่เราเคยเล่น ๆ มา แบบแนวทางเดียวกันอะไรอย่างนี้ค่ะ 

เหมือนมันจะมีช่วงก่อนที่หยาดมารับบทค่อนข้างเป็นตัวร้าย ช่วงที่หยาดเป็นนางเอกมานาน ๆ มันก็จะเป็นบทเดิม ๆ เช่น ต้องกลับไปใส่ชุดเด็กมหา’ลัย กับนางเอกแสนดีอีกแล้ว หรือว่าเรื่องนี้รับบทพระเอกเป็นทหารเรือ อีกเรื่องเป็นทหารอากาศ อีกเรื่องพระเอกเป็น ตชด. อีกเรื่องหนึ่งพระเอกเป็นตำรวจอีกแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ 

แล้วมันก็จะเป็นฉากเดิม ๆ เช่น เราจะเล่นเป็นพ่อเป็นคนใหญ่คนโต พระเอกยศรองลงมา มาจีบ สุดท้ายก็อะไรอย่างนี้ มันก็จะวน ๆ แล้วมันก็จะเป็นช่วงเบื่อของเรา เราก็ลองไปขอผู้ใหญ่ว่าขอเล่นบทร้ายบ้างได้มั้ย จากที่เล่นเป็นนางเอกมาตลอด ขอเล่นเป็นบทร้ายบ้างได้มั้ยที่ไม่ใช่นางเอกอะ อยากลองเปลี่ยนดู 

เวลาไปทำงานมันได้เจออะไรใหม่ ๆ ท้าทาย แล้งก็ชอบจริง ๆ นะ สนุกดี แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาเล่นเป็นนางเอกอีกเลย (หัวเราะ) น่าจะเล่นดีมั้ง (หัวเราะ) มันก็ร้ายมาจนถึงทุกวันนี้เลย

หรือจริง ๆ แล้วการเป็นตัวร้ายจะเข้ามือมากกว่า

ใช่ มันสนุกค่ะ แล้วก็มันค่อนข้างท้าทาย จริง ๆ ตัวร้ายมันไม่ได้ร้ายแค่มิติเดียว มันก็จะมีลึก ๆ แล้วทำไมถึงร้าย หรือว่ามันจะร้าย มันเป็นช่วงอายุด้วย อย่างเช่นเล่นเป็นตัวร้ายที่โตหน่อยมันก็จะนิ่งหน่อย หยาดว่ามันท้าทายดี แล้วก็สนุกด้วย

หลังจากเป็นนักแสดงอยู่ในสังกัดมาโดยตลอด การที่คุณตัดสินใจออกมาเป็นอิสระ คิดว่าการเลือกรับงานในฐานะนักแสดงอิสระแตกต่างจากเดิมไหม

ก็ตั้งแต่เป็นอิสระมา ก็คือเลือกอย่างเดียวเลยก็คือเลือกบทที่อยากเล่นแค่นั้นค่ะ คือหยาดไม่ได้ดูอะไรเยอะ เพราะหยาดเชื่อว่าคนที่จะมาทำงาน ผลิตละครขึ้นมาเรื่องหนึ่งในช่องที่ทุก ๆ คนรู้จัก มันต้องมืออาชีพอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างบางทีหยาดก็ชอบที่จะได้ทำงานกับคนใหม่ ๆ 

บางทีเราไม่ได้ศึกษาว่าคนนี้ทำอะไรมาบ้างถึงเลือกเล่นกับเขา คือบางทีเรารู้สึกว่า เราลองบ้างก็ดี เราจะได้มีมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงาน เพราะว่าบางคนเขาก็จะเก่งคนละอย่าง ไปลองดูบ้าง เราจะได้ฝึกของเรา แล้วก็เลือกแค่บทที่อยากเล่น สมมติอ่านเรื่องไหนแล้วเราชอบ ก็รับเล่น

สนใจแนวไหนเป็นพิเศษ

หยาดก็แล้วแต่เรื่องเลย แต่ว่าหยาดก็จะรู้สึกว่าส่วนใหญ่จะเป็นบทดราม่าแหละที่ส่งมาให้หยาด

อยู่ในวงการบันเทิงมานานขนาดนี้ คุณยังมีบทไหนที่อยากลองเล่นอีกไหม

หยาดอยากลองเล่นเป็นโจร อยากลองเล่น ไม่เคยเล่น เคยเล่นเป็นแต่ตำรวจ แล้วเล่นเป็นตำรวจคือเหนื่อยมาก มันวิ่งจับโจรทั้งวันเลย แล้วก็สู้กับโจรจนแบบบอกตัวเองว่าเรื่องเดียวในชีวิต บอกกับตัวเองว่าจะเล่นเป็นเรื่องเดียวเลยตลอดชีวิต ไม่เอาแล้ว วัน ๆ ไม่ทำอะไรเลย ถ่ายแต่คิวบู๊ เหนื่อยมาก (เน้นเสียง) แต่ว่าหยาดอยากเล่นเป็นโจร แต่เป็นโจรเท่ ๆ ที่แบบกระโดดข้ามตึก หรือว่าปีนตึกแล้วก็ชนะตำรวจ อะไรแนวนี้ไม่เคยเล่น

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร 30 ปีที่ผ่านมาคุณเห็นพัฒนาการอะไรในอุตสาหกรรมบันเทิงไทยบ้าง

มันดีกว่าแต่ก่อนเยอะมากเลยนะ เปลี่ยนไปในทางที่แบบมันดูสนุกขึ้น เช่น สมัยก่อนมันจะไม่มีโซเชียลฯ พอสมัยนี้มีโซเชียลฯ มีสื่อเยอะ มันก็เหมือนว่ามีอะไรให้เราทำเยอะขึ้น ให้เราเสพเยอะขึ้น เราได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ เยอะมากขึ้น 

หยาดว่าดีค่ะ แล้วก็มันเป็นแบบพื้นที่ให้คนได้แสดงความสามารถ หยาดรู้สึกว่ามันดีกว่าสมัยก่อน คือสมัยก่อนนี่แค่จะไปกองถ่ายคือต้องส่งแฟกซ์อะ (หัวเราะ) รู้จักแฟกซ์ปะ ไม่มีโทรศัพท์ แม้แต่โนเกียก็ยังไม่ผลิต ไม่มี GPS นะ วาดแผนที่แล้วก็ส่งแฟกซ์ 

คือถ้าใครมาสายโทรฯ ตามไม่ได้ เพราะสมัยนั้นมีแค่โทรศัพท์บ้าน ถ้าใครไม่มีก็นั่งรอไป โห หยาดผ่านมาตั้งแต่ยุคนั้นอะ พอมายุคนี้มันก็แบบสนุกค่ะ ทุกอย่างมันรวดเร็ว มีอะไรให้เราเสพเยอะมากค่ะ

คุณคิดว่าอุตสาหกรรมบันเทิงส่งผลกระทบต่อสังคมมากน้อยแค่ไหน

จริง ๆ หยาดว่ามันก็มีผลแหละ มีผลกระทบ เพราะหยาดก็รู้สึกว่าบางที คือต้องบอกก่อนว่าทุกคนเขาแยกแยะได้อยู่แล้ว แต่บางทีถ้าเราดูอะไรบ่อย ๆ มันอาจจะซึมซับก็ได้ 

ไม่รู้นะสำหรับหยาด หยาดรู้สึกว่าถ้าเราดูอะไรที่ใช้แต่ความรุนแรง ทุกวัน ๆ หรือบ่อย ๆ เราอาจจะซึมซัมไปว่าอันนั้นเป็นเรื่องธรรมดาก็ได้นะ อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่เคยคิดอะไรแบบนี้ แต่พอมีลูกขึ้นมาก็เลยเริ่มคิดเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกว่ามันอาจจะส่งผลกระทบเหมือนกัน 

แต่ว่ามันแบบว่าก็เราอาจจะต้องดูด้วย วิเคราะห์ หรือว่าเราอาจจะต้องเสพอะไรที่มันไปในทิศทางบวกมากกว่าทิศทางลบ เพราะว่ามันเหมือนกับคนเป็นซึมเศร้าเยอะ บางทีมันอาจจะดูหม่น เพราะว่าเราอาจจะเสพอะไรในแง่ลบเยอะเกิน 

บางทีหยาดก็จะบอกกับตัวเองว่าภายในหนึ่งวัน พยายามเลื่อนฟีดเฟซบุ๊ก หรือเสพอะไรที่ไปในทางบวกมากกว่าลบ เพราะขนาดเราเอง บางทีมันยังกระทบเราเลยนะบางทีอะ เรารู้สึก โห ทำไมมันมีแต่เรื่องเศร้า

พูดถึงความเศร้า ได้ข่าวว่าคุณเคยมีอาการซึมเศร้าหลังคลอด

มีบ้างค่ะ แต่ก็ มันก็จะเป็นเรื่องฮอร์โมน ที่คุณหมอเขาก็จะเตือนเอาไว้อยู่แล้ว ของหยาดก็มีบ้าง มันอาจจะด้วยหนึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้เจอใครเลย อยู่ในคอนโดฯ ประมาณ 6 เดือน ไม่ออกไปเจอใครเลย นอกจากโรงพยาบาลนะ 6 เดือน ไม่กล้าเจอใครเลย

เพราะว่าหนึ่งคือติดโควิด-19 ตอนท้อง แล้วหมอไม่การันตีว่าคลอดออกมาจะเป็นยังไง เพราะตอนนั้นใหม่มากเลย ยังไม่ค่อยมีคนท้องติด หมอก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน เพราะโควิด-19 เพิ่งมีมาปีกว่า ก็เลยยังไม่มีผลวิจัยว่าเด็กที่ติดโควิด-19 ตอนอยู่ในท้องจะเป็นยังไง อีกสามปีห้าปีจะเป็นยังไง ระบบการหายใจไม่รู้ เพราะว่าหยาดลงปอดด้วย 

หยาดก็เครียด พอคลอดออกมาก็เลยต้องห้ามติดอีก เพราะถ้าติดอีกจะไปติดลูก เพราะว่าเราได้ยาตอนที่เราท้อง เขาก็ได้ยาเราไปด้วย เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไง แล้วตอนที่เขาคลอด เขาคลอดก่อนกำหนดด้วยค่ะ แล้วก็ต้องดูแลเป็นพิเศษตอนนั้น ต้องระวังอย่างดี คือหยาดติดโควิด-19 ตอนท้องได้สี่เดือน ห้าหกเจ็ดแปด สี่เดือนก่อนคลอดไม่ออกไปไหนเลย ไม่ออกไปไหนแล้ว 

พอคลอดแล้วอีกสามเดือน ไม่ออกไปไหนเกือบเจ็ดเดือนไม่เจอใครเลย แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่เจอ ไม่เจอเลย ใครจะมาเยี่ยมก็คือใช้วิธีใส่หน้ากาก แล้วก็คุยที่ล็อบบี้ อยู่อย่างนี้ มันก็เลยอาจจะด้วย แล้วก็คลอดลูกด้วย เลี้ยงลูกด้วย อะไรหลาย ๆ อย่างก็เลยมีบ้างฮอร์โมน จริง ๆ อาจจะแบบแค่อยากออกจากบ้านบ้างอย่างนี้ แต่ก็กลัว

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร ช่วงที่คุณรู้สึกว่าเข้าข่ายเป็นซึมเศร้าหลังคลอด ตอนนั้นอยากทำอะไรเป็นพิเศษไหม

ไม่มี มันจะเป็นอารมณ์ที่ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากคุยกับใครเหนื่อย เป็นอารมณ์เศร้า ๆ อยากอยู่คนเดียว แบบไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะทำอะไรแค่นั้นเอง แต่เราก็รับรู้ว่าเราเป็นอะไร เราก็เลยไม่ค่อยเป็นอะไรเยอะมาก เหมือนเรารู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวเราก็หาย หยาดเป็นคนเรื่อย ๆ หยาดก็แบบไม่ค่อยเครียด ไม่ค่อยคิดมาก ก็คือมีอะไรก็ไม่ค่อยเก็บมาคิดเยอะ

การเปลี่ยนบทบาทมาเป็นแม่ ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง 

ก็ตื่นเต้นค่ะ ทุกคนตื่นเต้น แล้วก็เหมือนกับว่า ตอนเด็ก ๆ อะคุณพ่อ คุณแม่ หรือว่าครอบครัวทางฝั่งของแฟนหยาดเขาก็จะตื่นเต้น เพราะว่าไม่เคยมีเด็กเล็ก ๆ เนอะ อยู่ในครอบครัว พอเริ่มโตขึ้นมา 1 ขวบแล้ว เขาก็จะมีความน่ารักของเด็กของเขา ที่เขาจะเริ่มอ้อแอ้ ๆ เราคุยกับเขาก็เริ่มตอบสนองแล้วนะ อะไรอย่างนี้ คือคนก็จะยิ่งชอบ

แล้วทุกคนก็เห่อหมดเลย ตอนแรกหยาดคิดว่าจะไม่เห่อลูก ไป ๆ มา ๆ หยาดก็เห่อลูก คือแบบคุยกับเขาทุกวัน ๆ ก็จะแบบ บ๊ายบาย เมย่า บ๊ายบาย ก่อนออกจากบ้านก็ บ๊ายบาย อยู่ดี ๆ วันหนึ่ง เมื่อ 3 วันที่แล้ว เขาพูดไม่ได้นะคะ แต่เขาพูดออกมาประมาณว่า ‘บาย’ แล้วก็ยกมือขึ้นมา โอ้โห! ตกใจมาก เฮ้ย! พูดได้ไงอะ แล้วก็จะมีวันหนึ่งก็จะแบบ ‘แม่ แม่’ อะไรอย่างนี้ ดีใจมาก 

มันเหมือนจะรู้อยู่ว่าวันหนึ่งเขาจะพูดได้ แต่พอเราได้ยินครั้งแรก ๆ เพราะว่าเราเห็นเขาตั้งแต่แบบยังตัวจิ๋ว หยิบจับอะไรไม่ได้เลย ตัวแค่เนี้ยะ เราก็เลยตื่นเต้น ก็เลยเข้าใจแล้วว่าคนที่เขาเห่อลูกมันเป็นยังไง เมื่อก่อนไม่เข้าใจ ตอนนี้เข้าใจแล้ว

อีกหนึ่งชีวิตที่เข้ามา เขาช่วยเติมเต็มเราอย่างไรบ้าง

ก็ช่วยเติมเต็มเยอะอยู่นะคะ ส่วนหลัก ๆ จะเป็นเรื่องความสุขแหละ เหมือนบ้านก็จะอบอุ่นขึ้น มันจะมีความน่ารักมากขึ้น มีเสียงหัวเราะมากขึ้น แล้วเขาก็จะทำให้เราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น จะตื่นสายไม่ได้อีกแล้ว หรือว่าอาจจะทำได้ แต่ก็ตื่นเช้าดีกว่า หรือว่าอยากจะขี้เกียจก็จะไม่ได้ เพราะว่าเราจะรู้สึกว่าเราอยากพาเขาไปนู่นไปนี่ 

ยิ่งพอเริ่มโต เขาไม่ชอบอยู่บ้านแล้วนะ เริ่มโตก็คือแค่ขวบเดียวเอง (หัวเราะ) เขาเห็นประตูบ้านไม่ได้นะคะ เมื่อก่อนจะออกไปเดินแค่ตอนเย็นหนึ่งรอบ แต่ตั้งแต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เช้า กลางวัน เย็น ต้องออกไปข้างนอกนะ คือแบบไม่ยอมอยู่บ้าน จะชี้ไปที่ประตู แล้วก็จะพูดแต่คำว่าไป ๆ ไป ๆ ไม่พาไปไม่ได้ ร้องไห้ไม่หยุด 

แล้วหยาดก็แบบ โอ้โห คือติดนิสัยแม่มาก แม่เที่ยวเก่งมาก คือเด็ก ๆ แม่ไม่อยู่บ้านเลย แม่เที่ยวตลอด คือไม่อยู่ แล้วไม่มีที่ไหนไปด้วย บางทีเก้าโมงเช้าต้องออกไปเดินเล่นรอบคอนโดฯ มีอยู่วันหนึ่ง หยาดไม่รู้ว่าจะพาลูกไปไหนแล้วจริง ๆ นะ สุขุมวิท 31  หยาดเดินริมถนน วนเข้าสุขุมวิท 35 แล้วก็วนเข้าวนไปออกเพชรบุรี แล้วก็กลับมาที่คอนโดฯ 

เดินอยู่ริมถนน ใช้ชีวิตเหมือนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น อยู่อย่างนี้ แวะเข้าเซเว่น พาลูกไปเข้าเซเว่น เพราะว่าเขาชอบออกจากบ้านมาก แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะพาเขาไปไหนแล้วจริง ๆ ก็พาเขาไปดูบ้านคนอื่น นี่เห็นมั้ยว่าอันนี้บ้าน บ้านสีนี้ รถสีนี้ ๆ เขาก็จะตื่นเต้นแล้ว

เขาจะทำให้เราต้องให้เวลาเขาเต็มที่ เราจะขี้เกียจไม่ได้แล้ว โหย อยากจะนอนดูซีรีส์อะ จะไม่ได้แล้ว น้องเมย่านิสัยเหมือนหยาดมาก รู้เลยว่าได้แม่มาเต็ม ๆ อย่างการชอบเที่ยว เขาจะไม่ค่อยยอม ไม่ค่อยยอมคน คือหยาดจะเห็นลูกเพื่อน เขาจะยอมนะ เวลาพี่เลี้ยงหรือแม่เขาบ่นอะไร เขาจะยอม เมย่าไม่ยอมนะ เมย่าคือเขาจะมีวิธีที่สุดท้ายก็ต้องทำตามเขา เขาไม่ยอม 

เขาก็จะมีความแบบ เขาเรียกว่าอะไรนะ เหมือนเขาไม่กลัวอะไรเลย เวลาเขาเล่น เหมือนหยาดเล่นกัน ของหยาดคือลูกตั้งแต่เด็กเจอดินเจอทรายได้หมด อยู่กับหมา เล่นกับหมาไปเลย นี่งานอดิเรกของเมย่าก็คือคลานเข้ากรงหมา (หัวเราะ) 

เพราะว่ากรงหมามันจะมีตุ๊กตาเยอะมาก ตุ๊กตาตัวเองไม่เอา จะเอาตุ๊กตาของหมาที่บ้าน อะไรอย่างนี้ บางคนเขาก็จะบอกว่าทำไมให้ลูกอยู่กับหมา เราก็จะบอกว่าไม่เป็นไร เพราะว่าหยาดให้เขาอยู่กับธรรมชาติให้เยอะ ๆ แล้วก็ให้ทำเต็มที่ ไปไหนก็ลุย 

หยาดก็จะอุ้มเขาไปไหนก็ลุย อย่างหยาดอยากกินโยเกิร์ตก็อุ้มลูกไปกินโยเกิร์ตตอนเช้าเก้าโมง เดินลงจากคอนโดฯ ก็เดินอยู่ในซอย ไปซื้อกาแฟ พาลูกไปด้วย พาไปหมดเลย แล้วก็จะเสริมด้วยการแบบ เหมือนที่คนอื่นเสริม ไปพวกคลาสที่คนอื่นเขาไปกัน เช่นคลาสฝึกสมองเด็ก ว่ายน้ำ ออกกำลังกาย แต่หลัก ๆ ก็จะให้เขาเจอโลกเยอะหน่อย

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร เคยจินตนาการไหมว่าจะเป็นคุณแม่แบบไหน

ไม่เคยเลยค่ะ (ยิ้ม) แต่หยาดอยากเป็นแม่ที่ไม่ค่อยเครียดเท่าไร เพราะว่าหยาดรู้สึกว่าถ้าหยาดเครียด ลูกก็จะเครียด หยาดก็เลยไม่อยากเครียด พอมีลูกหยาดรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้การเลี้ยงลูกมันมีหลักการเยอะมาก 

จนบางทีเราคิดว่ามันต้องขนาดนั้นเลยเหรอ อย่างยุคสมัยเรา เรายังโตขึ้นมาได้เลย โดยที่เราอยู่กับธรรมชาติเยอะมาก แต่พอมายุคนี้เขามีอะไรหลาย ๆ อย่างที่มันเป็นเทคโนโลยี หยาดก็เลยรู้สึกว่าอยากให้เขาอยู่กับธรรมชาติเยอะหน่อย จะได้ไม่ต้องใจร้อนมาก หรือไม่ต้องเป็นคนที่ติดกับอะไรเยอะเกินไป

อยากเห็นลูกเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน

จริง ๆ แล้ว หยาดอยากให้เขาเติบโตมา ขอแค่อย่างเดียวเลยคือขอให้เขาเป็นคนดีก็แล้วกัน อยากเป็นอะไรก็แล้วแต่เขา ไม่ได้บังคับอะไร แล้วก็อยากให้เขาไม่ต้องเครียดมาก เป็นคนดีก็โอเคแล้ว

ทราบมาว่าคุณทำงานหนักมากจนลูกจำไม่ได้

ใช่ค่ะ มันจะมีช่วงหนึ่งตอนใกล้ ๆ จะจบเรื่องแล้วเราก็กลับไปถ่ายส่วนที่เหลือ แล้วช่วงนั้นมันเป็นฉากแบบพีค ๆ ทั้งนั้นเลย มีไปถ่ายที่บ้านเรือนไทยเก่า ๆ ต้นไม้เยอะมาก หยาดก็ไหว้แล้วนะ แต่ก็กลัวเหมือนกัน แล้วก็เวลาหยาดกลับบ้านไปตอนนั้น เมย่าสามเดือนนิด ๆ ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าหยาดเขาจะกรี๊ด แล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด

ตั้งแต่หยาดกลับมาถ่ายศีรษะมาร ประมาณเดือนนึง เดือนนั้นหยาดอุ้มลูกไม่ได้เลยทั้งเดือน ก่อนหน้าที่จะไปถ่าย เขายังให้หยาดอุ้มอยู่นะ เขาเจอหน้าเขาก็ยังแบบยิ้มเหมือนเห็นเราเป็นปกติ แต่พอเริ่มกลับมาถ่าย กลับไปบ้าน เราถ่าย จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เขาไม่ให้เราอุ้มเลยนะ จันทร์อังคาร พุธ เขาก็จะไม่เจอหน้าเราใช่มั้ย เพราะว่าเราออกเช้าเลิกดึก เขาหลับแล้ว พอพฤหัสฯ เขาเจอหน้าเรา เขาก็จะกรี๊ด แล้วเขาก็จะร้องไห้เหมือนผีหลอก

เออ หยาดก็เอาละ แน่นอน เพราะแต่ละที่ที่ไปถ่ายนี่ ตอนแรกหยาดไม่คิดอะไร หยาดก็คิดว่าแบบ สงสัยลูกไม่เจอหน้าหลายวัน พอเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่าแบบให้ไปเอาพระมาใส่สิ หยาดก็เอาพระมาใส่ เดือนนั้นใส่พระอยู่ทั้งเดือน สุดท้ายไม่หายนะ ลูกสาวไม่หาย 

ก็เลยไปหาหมอ คุณหมอเขาบอกว่า อ๋อ ไม่เกี่ยว คือเขาลืมหน้า คือเหมือนกับว่าจันทร์ อังคาร พุธ เขาไม่เจอหน้าเราเลย แล้วเราโผล่มาอีกทีวันพฤหัสฯ พอเขากำลังจะปรับตัวได้ วันจันทร์เราไปอีกแล้ว แล้วหยาดบอกว่าแล้วทำไมเขาต้องกรี๊ด เหมือนเขากลัวผีด้วย หมอก็บอกว่าน่าจะเป็นพัฒนาการของเด็กที่อยู่ในช่วงเริ่มกรี๊ด 

แต่จริง ๆ หยาดก็ไม่รู้ว่าลึก ๆ แล้วอาจจะมีก็ได้ เพราะว่าหลังจากปิดกองเรียบร้อยแล้ว ลูกยิ้มให้ทุกวันเลย (หัวเราะ) ลูกไม่มีกรี๊ด ใส่แล้ว หยาดก็เลยคิดว่าจริง ๆ ลึก ๆ แล้วมันอาจจะมีก็เป็นได้ ไม่รู้เหมือนกัน

30 ปีในวงการของ หยาดทิพย์ ราชปาล นางเอกกลัวผี รับบทผีหัวขาดในศีรษะมาร ขอย้อนกลับไปอีกนิด คุณเริ่มรู้สึกตอนไหนว่าต้องสร้างครอบครัวได้แล้ว

จริง ๆ หยาดก็เป็นคนที่ไม่ค่อยซีเรียสเรื่องการมีครอบครัวหรือการแต่งงานที่เป็นพิธีรีตองจริงจัง เป็นคนที่ไม่ได้แบบ ไม่ได้ชอบงานใหญ่ ๆ ไม่ชอบเปลี่ยนหลาย ๆ ชุด เป็นคนที่ค่อนข้างเรียบง่ายเหมือนกัน 

เพราะเมื่อก่อนทำงานใส่ชุดแต่งงานบ่อยมาก แล้วเวลาไปงานแต่งงานจะรู้สึกเลยว่าเจ้าสาวคือเหนื่อยมากเลย คือถ้าใครให้ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวจะแบบบางทีจะรู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก ถ้าไม่สนิทจริง ๆ คือเรารู้สึกว่างานแต่งงานโคตรไม่อยากจัด มันอยู่ในความคิดของหยาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันเป็นงานที่แบบคนเยอะ มันเหนื่อย 

แล้วเราไม่ได้อินกับงานแต่งงานขนาดนั้นด้วยค่ะ แต่ว่าพอวันหนึ่ง พอโตขึ้นมา ว่าเราพร้อมแล้ว เราก็มีลูก พอมีลูกเราก็เหมือนตอนแรกจะจัดงานแต่ง แต่พอติดโควิด-19 ก็เลยไม่ได้จัด ก็เลยยังไม่ได้จัด แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสด้วยอยู่แล้วว่าจะต้องจัด แต่ด้วยอายุด้วยวัย ก็ถึงเวลาแล้วแหละ เพราะว่าก็สามสิบกว่าแล้ว เพราะว่าเป็นวัยที่เหมาะสมแล้วที่จะรับผิดชอบชีวิตอีกคนหนึ่ง

ทุกวันนี้ความสุขของคุณคืออะไร

ทุกวันนี้เหรอ ก็นี่แหละอยู่กับลูกมีความสุข แล้วก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด ตื่นเช้าไปกินกาแฟก็โอเคแล้ว ความสุขของหยาดง่ายมาก เนี่ย เดี๋ยวได้ดูละครของตัวเองก็มีความสุขแล้ว

สุดท้ายแล้ว คุณอยากให้จดจำคุณในฐานะนักแสดงแบบไหน

จริง ๆ แล้วอยากให้จดจำในฐานะว่าเราเป็นนักแสดงที่เขาชอบดูงานของเรา เช่น ชอบดูละครที่หยาดเล่นนะ หรือว่าชอบที่เราแสดงบทบาท สมมติเขาชมว่าเล่นเรื่องนี้สวยจังเลย หยาดก็จะขอบคุณมากเลย แต่จริง ๆ จะชอบมากกว่าถ้าเขาชมว่า โห! เล่นเรื่องนี้น่ากลัวมากเลย เล่นเรื่องนี้ร้ายจังเลย อะไรอย่างนี้ หยาดจะรู้สึกว่าเออ เขาได้เห็นเราในมุมของนักแสดง แล้วเราจะรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพเราที่เราก็ทำได้ดี อะไรอย่างนี้ค่ะ ก็ดีใจค่ะที่คนยังชอบผลงานของเราอยู่ ดีใจค่ะ

ฝากผลงาน

ก็ขอฝากด้วยนะคะ ‘ศีรษะมาร’ เวอร์ชันนี้ก็เป็นเวอร์ชันที่อยากให้ติดตามจริง ๆ เพราะว่าทุกคนตั้งใจทำงานมาก แล้วทุกคนก็เต็มที่กับเรื่องนี้ แล้วหยาดก็รู้สึกว่าละครเรื่องนี้มันน่าติดตามในหลาย ๆ แง่มุม เขาเรียกว่ามันเป็นศีรษะมารในเวอร์ชันที่แบบค่อนข้างไฮเทคนิดหนึ่ง อยากให้คนดูค่ะ แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าหลังจากดูแล้วน่ากลัวขนาดไหน

ภาพ: ณัฐนันท์ วิจิตรบุญชูวงศ์ (The People Junior)