กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร

กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร

‘เกี๊ยว-กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์’ ทายาทรุ่นที่ 3 คณะสิงโตมังกรหยกสามพราน หลานสาวคนโตที่ครั้งหนึ่งเคยถูกอากงหมางเมินเพราะเป็นหญิง วันนี้เธอก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เพศสภาพไม่ใช่สิ่งที่จะมาห้ามปรามความฝันของใครได้

KEY

POINTS

  • ‘เกี๊ยว-กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์’ ทายาทรุ่นที่ 3 คณะสิงโตมังกรหยกสามพราน คณะเชิดสิงโตที่อยู่คู่นครปฐมมาไม่ต่ำกว่าแปดสิบปี
  • เธอคือหลานสาวคนโตที่ครั้งหนึ่งเคยถูกอากงหมางเมินเพราะเป็นหญิง ในวันนี้กัญญารัตน์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เพศสภาพไม่ได้เป็นตัวกำหนดทุกอย่างของชีวิต ขอแค่มีใจมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ
  • อนาคตข้างหน้าเธอหวังว่าจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ นั่นคือ คอมมูนิตี้ของคนที่ชอบศิลปวัฒนธรรมเชิดสิงโตหรือวัฒนธรรมจีน จุดศูนย์กลางให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้อย่างอิสระ

เรากำลังเดินทางไปเจอกับสตรีสุดแกร่ง ชื่อเสียงของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสามพราน นครปฐม แน่นอนว่าไม่ใช่แค่บ้านเกิดของเธอเท่านั้น หากแต่ยังเป็นที่ยอมรับไปทั่วประเทศ เธอคือหญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้าที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกหลานชาวจีน รอยสักลายมังกรที่ประทับอยู่บนร่างกายก็ยิ่งชี้ชัดว่า หญิงคนนี้ภาคภูมิในสายเลือดมังกรไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร

‘เกี๊ยว-กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์’ คือชื่อของหญิงสาวที่เราจะเดินทางไปเจอในบ่ายวันหนึ่ง ช่วงเวลาที่เราและทีมนัดหมายกันไว้อย่างดิบดีว่าจะไปเจอเธอตรงเวลาไม่มีบิดพลิ้ว แต่เหมือนโชคชะตาไม่เป็นใจ ระหว่างเดินทางกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

เรากดโทรศัพท์ต่อสายตรงหากัญญารัตน์ คุยกันเล็กน้อย ก่อนจะวางสายไป

ไม่นานเธอก็โทรกลับมาอีกครั้ง น้ำเสียงเจือไปด้วยความห่วงใย เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของเธอก็ทำให้เราคลายกังวลไปได้มากโข กระทั่งเราและเธอได้เจอกันในอีก 45 นาทีให้หลัง

เธอเดินเข้ามาทักทาย พร้อมรอยยิ้มกว้าง เราเดินตามหลังเธอขึ้นไปยังชั้น 3 ของบ้าน บรรยากาศสบาย ๆ ที่ได้รับ ทำให้ทุกอย่างผ่อนคลายไปหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูขรึมขลัง สิ่งนั่นคือป้ายคณะสิงโตมังกรหยก วางเด่นเหนือทุกสิ่ง ขณะที่ชั้นวางด้านล่างก็เต็มไปด้วยหัวมังกรที่เรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ

มังกรหยก สามพราน คือคณะเชิดสิงโตระดับตำนานอยู่คู่สามพรานมาไม่ต่ำกว่าแปดสิบปี และหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรา เธอคือทายาทรุ่นสาม ผู้เข้ามาสืบทอดกิจการของที่บ้านไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา แม้ในช่วงแรกจะเจอแรงเสียดทานอย่างหนักหน่วง มีแต่เรื่องให้แก้ไขไม่เว้นวัน แถมยังต้องเสียน้ำตาไม่หยุด เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากคนในคณะ เพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง

ผู้หญิงที่เข้ามาทำงานของผู้ชาย

ผู้หญิงที่บังเอิญเกิดมาเป็นลูกสาวคนโต

ผู้หญิงที่โดนหมางเมินจากอากงเพียงเพราะเพศสภาพ

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เธอต้องฝ่าฟันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนถึงวันที่ตัดสินใจได้ว่าจะขอกลับบ้านมาสานต่อสิ่งที่เตี่ยทิ้งไว้ บททดสอบครั้งใหญ่จึงเปิดฉากขึ้น และวันนี้เธอก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เพศสภาพไม่ใช่สิ่งที่จะมาห้ามปรามความฝันของใครได้ ขอแค่มีใจรักและมุ่งมั่นมากพอ เท่านี้ก็สามารถทลายกรอบความเชื่อให้มลายได้ในสักวันหนึ่ง

กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร

หลานสาวคนโปรดของอากง

The People : สถานที่แห่งนี้มีความพิเศษยังไงสำหรับคุณ

กัญญารัตน์ : ณ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ใหม่ มันเพิ่งจะมาในยุคที่เป็นเกี๊ยวมังกรหยกแล้ว แต่ถ้าเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่เราอยู่บ้านตลาดเก่า บรรยากาศในบ้านก็ไม่ต่างจากนี้ค่ะ ก็จะเป็น มีสิงโต มังกรอยู่ในบ้าน เป็นบ้านไม้ริมน้ำ อยู่ที่ริมแม่น้ำตลาดสามพราน ก็จะมีแบบ มีเตี่ย เป็นเจ้าของคณะ ตอนนั้นก็มีความอบอุ่นค่ะในบ้าน มีแม่ มีน้องชาย แล้วก็มีพี่ ๆ ในคณะสิงโต เวลามีงานเชิดสิงโต มันจะครึกครื้นแล้วก็สนุกเป็นพิเศษเลย ซึ่งเกี๊ยวชอบมาก ๆ เวลามีงาน ทุก ๆ คนก็จะมารวมตัวกันที่บ้านของเรา แล้วก็จะครึกครื้น แม่ก็จะทำกับข้าวไว้ให้ทุก ๆ คนกิน แม่ทำกับข้าวอร่อยมาก แล้วก็อีกอย่างนึงที่จำได้ดี เด็กสิงโตทุกคนกินจุมาก ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ ก็อยู่กันอย่างมีความสุขมาก ๆ ค่ะ (ยิ้ม)

 

The People : แต่ว่าด้วยความที่คุณเติบโตมาในครอบครัวคนจีน มันจะมีเรื่องดราม่าเหมือนที่เขาเคยพูดกันหรือเปล่าว่าที่บ้านอยากได้ลูกผู้ชาย

กัญญารัตน์ : ความดราม่าในครอบครัวคนจีน จริง ๆ ก็หนีไม่พ้นจริง ๆ ต่อให้พ่อแม่เราก็รักเราอยู่แล้ว เพราะเราเป็นลูก เราจะเป็นเพศไหนเขาก็รัก แต่ในวงตระกูลอะไรอย่างนี้ อย่าอากงแล้วกันเนอะ อากงเขาก็คาดหวังว่า เขาจะได้หลานชายเป็นคนโต มันก็มีความมอบความรักที่แตกต่างกัน คือตอนที่พี่เกี๊ยวเกิด แม่ก็เล่าให้ฟังว่า อากงเขาก็ไม่ได้ดีใจอะไรมากที่มีเราเป็นหลานสาวคนโต เขาก็คงอยากได้หลายชาย เราเกิดมาเขาก็เฉย ๆ ไม่ได้มีความรู้สึกให้ความรักอะไรที่มากมาย แต่ว่ามันมีข้อเปรียบเทียบที่น้องชายคนกลางเกิด เขาก็จะสปอยล์ ตามใจ อยากได้อะไรได้หมด อยากทำอะไรได้หมด ซึ่งนั่นแหละ มันทำให้เรารู้สึกว่า อ๋อ นี่มันคือข้อแตกต่างระหว่างหลาวสาวและหลานชาย

ตอนในวัยเด็ก เราไม่เคยรับรู้เลย เราไม่รู้เลยว่าที่เขามีให้กับเรามันจะมากหรือน้อยหรืออะไร แต่เราแค่รู้สึกว่า เตี่ยกับแม่เรารักเรา เตี่ยกับแม่เราให้ความอบอุ่นเรา เรามีความสุขมาก ๆ ที่ได้อยู่อย่างนี้ เราเจออากง เราไม่รู้หรอกว่า เขาจะรักเรามากหรือรักเราน้อย เราไม่เคยรู้เลย จนแบบว่า ตอนที่มีน้องแล้ว ถึงจะเริ่มรู้สึกว่า อ๋อ ความแตกต่าง ความรักที่มันแตกต่างกัน มันเป็นแบบนี้นี่เอง แค่นั้นเอง แต่ว่าเราไม่ได้รู้สึกขาดอะไร เพราะว่าเตี่ยก็ให้ความรักที่ดีกับเรา แม่ก็ให้ความรักที่ดีกับเรา

 

The People : ตอนที่คุณแม่อุ้มท้องคุณอยู่เหมือนกับว่าทุกคนก็ลุ้นกัน เพราะว่าคุณแข็งแรงมาก เตะต่อยท้องคุณแม่บ่อย ๆ เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่าเตี่ยเขารู้สึกยังไงบ้าง

กัญญารัตน์ : เตี่ยเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนเกี๊ยวอยู่ในท้อง เตี่ยเขาก็ลุ้น เพราะว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้มีอัลตร้าซาวด์หรืออะไร หรือเขาไม่ได้อัลตร้าซาวด์ก็ไม่รู้ เขาก็จะไม่รู้ว่าเราเกิดมาเป็นเพศอะไร เขาก็แค่ลุ้นทุก ๆ วัน เตี่ยเหมือนชอบคุยกับท้องของแม่ เขาคุยทุกวันเลยว่า ลูกชาย ๆ เพราะเราต่อยมวยเก่งมาก มันออกมาเป็นมือ เป็นเท้า เป็นนู่น เป็นนี่ เขาก็มีความสุข แล้วเขาก็คิดว่า เกิดออกมา ต้องเป็นลูกชายแน่ ๆ เลย แต่พอตอนที่เกิดมาแล้วเป็นลูกสาว แม่บอกว่า เตี่ยก็คงจะเหมือนผิดหวังนิดนึง เพราะก็คาดหวังไว้เยอะว่าลูกชายแน่นอน 100%

แต่ว่าพอเป็นลูกสาว เขาก็อาจจะมีผิดหวังบ้าง แต่ยังไงก็เป็นลูกของเขา เขาก็เลยเลี้ยงดูพี่เกี๊ยวแบบกึ่งลูกผู้ชายนิดนึง ก็จะไม่ได้แบบว่า เล่นตุ๊กตา ไว้ผมยาว ส่วนแม่ เขาอยากให้เราเป็นเด็กสาวตามวัย สระผม ถักเปีย แต่ไม่เคยมีฟีลนั้น เพราะว่าเตี่ยก็คือ จับขี่คอ ไปตัดผมร้านแบบว่า ร้านตัดผมชายอะ จะไม่ใช่ร้านเด็กผู้หญิงที่ได้เข้า เราก็จะโดนตัดผมรองทรงตลอด แล้วก็ขี่คอกลับมาบอก แม่เป็นไง ลูกชายฉันหล่อไหม อะไรฟีลนี้อะค่ะ แต่เขาไม่เคยบังคับว่าเราจะต้องชอบหรือไม่ชอบอะไร เราก็เหมือนใช้ชีวิตปกติเลยในวัยเด็ก อยากให้เตี่ยซื้ออะไรให้ แต่เราก็ไม่เคยร้องของซื้อตุ๊กตาสักเท่าไหร่

 

The People : ในฐานะที่คุณเป็นพี่สาวคนโต แล้วยังเป็นผู้หญิงอีก คุณได้รับความกดดันด้านไหนมากเป็นพิเศษมั้ย

กัญญารัตน์ : ถ้าในวัยเด็ก ไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย แต่รู้สึก proud มากกว่าที่แบบ ฉันคือเจ่เจ๊คนโต และก็มีน้องสมุน 2 คน น้องชายที่แบบว่าเวลาเราจะเล่นอะไร เขาต้องตามเรา เจ๊จะพาทำอะไรก็คือทำ เพราะว่าเขาเด็กกว่า แล้วเขาก็ เออ มีเจ้เจ๊ มีเจ๊พาทำนู่นทำนี่ เล่นอะไรก็เล่น เวลาโตกว่าก็แบบแบ่งพรรค แบ่งพวก เอกจะอยู่กับฝั่งพี่หรืออ๊อฟ เรามีพวกอยู่ตลอดเวลา น้อง ๆ ก็น่ารักค่ะ อยู่เล่นกันตลอด 3 คนพี่น้อง ตอนเด็ก ไม่เคยกดดันอะไรเลย สิ่งที่กดดัน เหมือนมันจะเป็นช่วงที่แบบ ช่วงวิกฤตของชีวิต ก็คือช่วงที่เตี่ยเสียนั่นแหละค่ะ มันเหมือนแบบว่า ทำให้เราต้องคิดอะไรเยอะขึ้น ตอนที่ยังมีเตี่ยอยู่ ไม่เคยคิดอะไรเลย ใช่ชีวิตเหมือนมนุษย์ผู้หญิง เหมือนเด็กผู้หญิงคนนึงที่แบบ เติบโตมา เรียน ม.ต้น ม.ปลาย เข้ามหาวิทยาลัย

 

The People : หลังจากเรียนจบ ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง วันที่ตัดสินใจกลับบ้าน แต่มันก็ยังมีอีกหลายคนที่กลัวการกลับบ้านอยู่ คุณมีอะไรอยากจะบอกเขาไหม

กัญญารัตน์ : ชีวิตตอนที่อยู่กรุงเทพฯ กับตอนที่กลับมาอยู่ที่สามพราน มันแตกต่างกันเลย เพราะว่าชีวิตในกรุงเทพฯ อะ มันเหมือนกับเราทำงานเสร็จ เราไม่ได้อยากอยู่ห้อง ก็ต้องออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน ใช้ชีวิตแบบไม่ได้คิดอะไรมาก เหนื่อยก็ไปดื่ม ไปกินกิน เสร็จ กลับมาพัก เช้าตื่นไปทำงาน ก็จะเป็น routine ประมาณนี้ แล้วงานของพี่เกี๊ยวก็มีการเดินทางออกต่างจังหวัด เพื่อที่จะไปดู shop ต่าง ๆ ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับว่า นึกถึงตัวเองจนมาเกินไป แล้วเรากลับมานึกถึงว่าที่บอกว่า วันที่กลับมาบ้าน แล้วเราเห็นแม่ที่แก่ลงทุกวัน แล้วเราก็มานึกย้อนว่า วันที่ไม่มีเตี่ย มันเสียใจขนาดไหน

แล้ววันนี้ แม่เขายังอยู่ เราไม่อยากจะกลับมาอยู่กับแม่เหรอ คือเพื่อนอะ เรามีเวลา เรายังคงนัดเจอะไรกันปกติ บังคงได้เจอ ยังคงได้ไป hang out หรืออะไรอย่างนี้อยู่ แต่หลัก ๆ ในชีวิตอะ เราก็รู้สึกว่า ตรงนี้แหละ มันคือเราจริง ๆ วันที่กลับมา มันอาจจะต้องปรับตัว อะไรอย่างนี้บ้าง แต่ว่าพอวันที่มาอยู่แล้วจริง ๆ มันรู้สึกโคตรสบายใจเลย เฮ้ย นี่มันแบบ เรานี่แหละ เราต้องการสิ่งนีั้แหละ มันคือความสบายใจ มันคือความรัก และมันก็สามารถที่เงินให้เราได้ด้วย ทุกอย่างมันไปพร้อม ๆ กันได้อย่างดีอะค่ะ ทุกอย่างมันช่างลงตัวเหลือเกิน รู้สึกว่า ถ้าวันนั้นไม่ได้ตัดสินใจในสิ่งนี้ วันนี้มันคงจะเสียใจ แล้วมันคงไม่ได้มีเกี๊ยวมังกรหยกในวันนี้

บางคนอาจจะกลัวการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ตัวเกี๊ยวเอง จะบอกว่า เจอการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตเยอะมาก เหมือนแบบขึ้นอะไรที่มันแบบ พอจะสงบ ๆ ก็เจอ อะไรอย่างนี้ อาจจะอยากบอกว่า บางอย่าง เราอย่าไปกลัวอะไรเกินเหตุ หนึ่งสิ่ง ถ้าอยากจะกลับไปที่บ้าน มันอาจจะต้องมีเป้าหมายสักเป้าหมายนึงว่าแบบ เรากลับมา จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายของเรา มันคืออะไรก่อน บางคนอาจจะคิดว่าการกลับไปบ้านในครั้งนี้ มันจะไปรอดหรือเปล่า หรือเราอาจจะกลับไปทำอะไร

แต่เข้าใจ ยุคนี้ ทุกคนต่างปากกัดตีนถีบอะ ทำมาหากิน แต่ถ้าวันที่เรากลับไปบ้าน แล้วเราอาจจะมีอะไรที่อยู่ในบ้านของเรา แต่เรายังหาไม่เจอหรือเปล่า หรือความสามารถของเราที่มันยังอยู่ลึก ๆ ที่เรายังไม่ได้หยิบขึ้นมาใช้ เกี๊ยวว่า อย่างแรกอาจจะต้องค้นใจตัวเองก่อน ค้นใจตัวเองว่า เรายังมีความสามารถ ศักยภาพ หรือความชอบก็ได้ค่ะ เราอาจจะไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด ยกตัวอย่างตัวเองแล้วกัน ไม่เคยเก่งอะไร แต่พอมันมีความตั้งใจ พอมันมีความตั้งใจ มันก็จะมีความอยากรู้อะ อยากศึกษาอะ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ คุณอาจจะไม่ต้องเก่งมาเลยก็ได้ คุณอาจจะแค่มีความตั้งใจมาก่อน แล้วคุณศึกษามัน ที่คุณอยากจะทำในสิ่งนี้ที่บ้านเกิดของคุณ

มันอาจจะยากในช่วงแรกอะค่ะ มันไม่มีอะไรราบรื่น มันยากแน่นอน เกี๊ยวก็ยากมาก กว่าที่มันจะคงที่ขนาดนี้ มันเหนื่อยแน่นอน คุณต้องยอมรับ แน่นอนว่าคุณกลับมาคุณอาจจะเหนื่อย แต่ว่าความเหนื่อยอันนั้นมันอาจจะคุ้มค่าในบั้นปลายชีวิตของคุณก็ได้ แต่อย่างแรกที่อยากฝากก็คือ ลอง ลองค้นใจตัวเองดู ลองดึงอะไรลึก ๆ ในในที่แบบว่า ใจมันอยากจะทำอะ มันเป็นแบบ อะไรที่เราคิดว่า มันอาจจะยาก แต่เราลองไปศึกษามัน เราลองเอาใจเราเข้าไปใช้กับมันและความอดทน ต้องมีความอดทนเยอะนิดนึงในช่วงแรก ๆ ที่เราอาจจะไปสู้กับอะไรก็แล้วแต่ อาจจะเหนื่อย เราพักได้ค่ะ แต่อย่าเพิ่งท้อ คุณเองก็ทำได้ เกี๊ยวเชื่อว่าแบบนั้น

  กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร The People : มีเพื่อนที่มีธุรกิจที่บ้าน แต่อยากมาสู้ที่กรุงเทพฯ มันจะมีคำพูดประมาณว่า ไม่อยากไปทำที่บ้าน เพราะมันเหมือนไม่ได้ประสบความสำเร็จที่ตัวเอง

กัญญารัตน์ : รู้สึกยังไงกับประโยคนี้ใช่ไหม บางคนอาจจะคิดว่า ถ้ากลับมาทำที่บ้าน มันเหมือนเป็นธุรกิจของที่บ้าน เราอย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะมันเป็นยุคของเราแล้ว มันเป็นโอกาสของเราแล้ว ถ้าบางคนยิ่งมีธุรกิจของที่บ้าน ยิ่งดี คุณต่อยอดธุรกิจในแบบของเราเอง อยากจะบอกว่า มังกรหยกเป็นรุ่นของอากงก็จริง มังกรหยกก็คือชื่อมังกรหยก มันเป็นรุ่นของอากงมาเตี่ย แต่มังกรหยกในรุ่นนี้ ความแตกต่างคืออะไร ผลงานที่ทุกคนได้เห็นไง มันไม่ใช่ว่า มันประสบความสำเร็จจากธุรกิจเก่า ไม่เลย ทุกวันนี้เราก็ภูมิใจในแบบของตัวเองได้ เพราะว่าโชว์ทุกโชว์ อุปกรณ์ทุกแบบ หรืออะไรต่าง ๆ นานา เราใส่ตัวตนของเราเข้าไปในผลงานนั้น ๆ แล้ว

หรือว่าอาจจะเป็นบางธุรกิจ คุณอาจจะแตกปลีกย่อยออกมาก็ได้ ดีไซน์หรืออะไรใหม่ ๆ ในตัวของเราอะ ใส่ตัวของเราลงไปในธุรกิจนั้น ๆ เราว่ามันก็เป็นเราแล้ว เราก็อย่าไปยึดติดว่านี่คือธุรกิจที่บ้าน ไม่ นี่ไม่ได้มองว่าเป็นธุรกิจที่บ้าน มันมองว่า มันคือสิ่งที่เราทำแล้วมัน success เว้ย แล้วมันก็เป็นมังกรหยกในแบบของเกี๊ยวมังกรหยกไปแล้ว อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าจะพูดยังไง คือว่าจริง ๆ อะ เข้าใจว่าบางคนอะ มันเป็นธุรกิจที่บ้าน แล้วพอไปทำ เหมือนทำต่อที่บ้านใช่ไหม แต่จริง ๆ อะ มันเป็นการทำที่เป็นในแบบของเรา เราอาจจะมีแบบ ไอเดีย หรือรูปแบบการทำงานในแบบใหม่ ทีอาจจะดีกว่าคนยุคเก่าที่เคยทำแน่นอน

อันนี้จากที่เห็นเลยนะคะ ก็คือบางคนที่เป็นแบบ เปิดร้านอาหารแล้วกัน อธิบายง่ายดี เหมือนเปิดร้านอาหารในยุคของพ่อแม่ พ่อแม่เขาก็ทำเหมือนเดิม โต๊ะเหมือนเดิม อะไรเหมือนเดิมทุก ๆ อย่าง แต่ว่าความอร่อยอะ มันเป็นความอร่อยจากฝีมือที่เขามีเคล็ดลับ เราอาจจะมีเคล็ดลับตรงนี้ แล้วเราก็มาต่อยอดธุรกิจ ทำร้านใน concept ของเราก็ได้ หรือว่าไอเดียที่จะเป็นการบริหารต่าง ๆ ในแบบของเรา มันก็คือเราแล้วอะ เราก็ควรภูมิใจแล้วว่าสิ่งนี้มันปรับเปลี่ยนจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่เป็นเหมือนเดิม ตะโกนเรียก โต๊ะ 1 โต๊ะ 2 เราอาจจะทำใหม่ บริการแบบใหม่ หรือว่ารูปแบบร้านที่เป็นแบบใหม่ มันก็คือเราแล้วอะค่ะ

 

The People : เหมือนสถิติที่ทายาทมาสืบทอดต่อกิจการ ส่วนใหญ่มันจะจบที่รุ่น 3 คุณกลัวไหม

กัญญารัตน์ : ถามว่ากลัวมังกรหยกจะจบที่รุ่น 3 ไหม เพราะด้วยสถิติหลาย ๆ อย่างเนอะ มันส่วนมาจะจบที่รุ่นนี้ เรากลับมองว่า เราไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวแล้ว เพราะว่าสิ่งที่กลัวมันได้ผ่านพ้นไปทั้งหมดแล้ว วันนี้มันเป็นวันที่เราทำไดีที่สุดแล้ว แล้วเราก็ยังจะส่งต่อสิ่งสิ่งนี้ให้กับรุ่นต่อ ๆ ไป ซึ่งวันนี้ ทางบ้านยังไม่มีใครมีลูก มีหลานเลย ก็เลยยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง แต่ว่า ณ วันนี้ ไม่อยากจะไปห่วงถึงอนาคตข้างหน้าว่า มันจะจบที่เราไหม อะไรอย่างนี้ แต่เราแค่คิดว่า วันนี้ก็ควรจะทำทิ้งไว้ให้ดีที่สุด ในวันที่เราไม่อยู่แล้วอะ มันก็ยังจะคงมีสิ่งที่เป็นตัวแทนของเรา เอาไว้ให้เขาได้ทำต่อจากเราได้ ก็วันนั้น คงจะเป็นลูกหรือหลานสักคนที่จะมี passion หรือมีเลือดมังกรใครตัวเองแล้วจะทำได้อย่างที่พี่เกี๊ยวเคยทำค่ะ

 

The People : เห็นแววใครบ้างไหม

กัญญารัตน์ : ตอนนี้ลูกยังไม่มา หลานยังไม่มีเลยค่ะ

 

ในวันที่เตี่ยจากไป

กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร The People : วินาทีที่รู้ว่าเตี่ยจากไปแล้ว ช่วงนั้นสภาพจิตใจของคุณและครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง

กัญญารัตน์ : ช่วงที่เตี่ยเสีย มันเป็นช่วงที่กำลังเข้ามหาลัยปี 1 ค่ะ มันเป็นช่วงที่ เหมือนกำลังจะตามหาฝันของตัวเอง แล้วดันแบบว่า เตี่ยมาจากไปอย่างกะทันหัน โดนที่ไม่ได้ป่วยเจ็บไข้อะไรมาก่อน ไม่ได้นอนโรงพยาบาล เช้าวันที่เตี่ยเสีย จำได้เลยว่า เตี่ยโทรมาหาเรา แล้วก็บอกว่า กำลังทำอะไรเหรอลูก แต่ตอนนั้นพี่เกี๊ยวเรียนมหาลัยเอกชนแห่งหนึ่งแล้วกันนะคะ ตอนนั้นเรียนวารสารศาสตร์ เพราะว่าเตี่ยเขาเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ ประจำท้องถิ่น เป็น ขทร. ไทยรัฐ อะไรอย่างนี้ แล้วก็เราก็มีความฝันที่อยากจะเป็นเหมือนเตี่ย เราก็เลยไปเรียนวารสารศาสตร์

เช้านั้นเตี่ยก็โทรมาหา แล้วก็บอกว่า ทำอะไรอยู่ลูก เราบอก อ๋อ กำลังจะไปมหาลัย แล้วเขาก็บอกว่า ตั้งใจเรียนนะ เราก็งง อะไรวะ แล้วโทรมาทำ อ๋อ โทรผิด โทรผิด เขาจะโทรไปหาใครสักคนนึง จำไม่ได้ แล้วเขาก็บอกว่า มีอะไรก็บอกแม่นะ เราก็ อะไรวะ ก็ไม่ได้อะไร ก็โอเค วางสายไป ก็นั่งรถไปมหาลัย ยังไม่ถึงมหาลัย ระหว่างทาง แม่โทรมา เกี๊ยวอยู่ไหนลูก กลับบ้านด่วนเลย บอก อะไร มีอะไร เตี่ย ๆ แล้วแม่ก็เหมือนว่าไม่ไหวแล้ว เตี่ยป่วยลูก เป็นอะไรไม่รู้ กลับมาเลย ๆ เตี่ยเพิ่งโทรหาเกี๊ยวเองนะแม่ บอก ใช่  เขาก็เพิ่งจะเป็น แล้วก็วางสายไป

แล้วก็โทรมาอีกทีนึง เตี่ยไม่อยู่แล้วนะลูก เตี่ยไม่อยู่กับพวกเราแล้ว แล้วนี่ก็ร้องไห้ งงมาก แบบ เฮ้ย อะไรวะ แม่งอะไรวะ เฮ้ย ตลกหรอ ก็บอกว่า แม่อะไรวะ แบบไม่เชื่อ เตี่ยไม่อยู่แล้วนะลูก มาที่โรงพยาบาล มาลงรถที่นี่ แล้วก็ร้องไห้ตลอดทางที่อยู่บนรถ แล้วก็นั่ง taxi พี่ taxi ก็แบบว่า ขับแบบเร็วมาก พี่คะไปตรงนี้ ไปถึงโรงพยาบาล แม่ก็ร้องไห้ วิ่งมา แล้วก็กอด เราก็แบบ ทุกอย่างมันเหมือนแบบ มันงงมากเลยอะ เมื่อเช้าเพิ่งจะได้ยินเสียงเตี่ยอยู่เลย แล้วเขาก็ไปแล้ว วันนั้นก็คือแบบ เหมือนมันแบบ เล่าแล้วก็ยังนึกถึงตลอดเลย มันก็แบบ เศร้าใจมาก ๆ ที่เตี่ยจากเราไป แบบไม่ทันตั้งตัวเลย

พอหลังจากทำพิธีงานนู่นนี่นั่น ตลอดเวลานั้นก็ได้แต่คิดกับตัวเองว่า เฮ้ย ทำคนเรามันจากกันไปได้แบบ ง่ายขนาดนี้ เกี๊ยวเองอะ มีปัญหา ตอนที่กลับมาบ้านวันเสาร์ อาทิตย์กับเตี่ยนิดนึง มันเลยเป็นปัญหาในใจว่าแบบ เตี่ยชวนกินข้าว แล้วด้วยความเด็กวัยรุ่นอะไรอย่างนี้ อยากมีโลกส่วนตัว ก็เลยไม่ค่อยสนใจเขา เออ เตี่ยกินไปเลย เกี๊ยวไม่อยากกิน เกี๊ยวกินมาแล้ว เกี๊ยวอิ่มแล้ว ขึ้นห้องไป แล้วไม่ได้ใช้เวลาที่ ก็คือไม่คิดว่ามันจะมีเวลาน้อยขนาดนี้ ก็เลยแบบ รู้สึกทุก ๆ ครั้งที่แม่เรียกกินข้าวทุกวันนี้ จะกินตลอด ต่อให้อิ่มก็จะกิน จะแบบ ใช้เวลากับเขา คือไม่คิดว่าคนเรามันจะแบบ มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยมาก ๆ

เตี่ยเขาเป็นโรคหัวใจเฉียบพลันอะค่ะ ถ้าเป็นสมัยนี้ คงทำบอลลูน เขาเรียกอะไร หัวใจ ขยายหลอดเลือด น่าจะโอเค แต่ว่าตอนนั้นน่ะ แล้วเตี่ยอยู่กับแม่สองคน แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น แม่ก็ทำอะไรไม่ถูก แล้วก็คนแถวบ้านก็รีบช่วยเรียก มีคลินิกตรงปากทาง เขาก็ไปเรียกคุณหมอมาช่วยดู ปั๊มหัวใจ นู่นนี่นั่น แต่ว่าคุณหมอเพิ่งมาบอกทีหลังว่าเขารู้แล้วว่าเตี่ยเสียตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่บ้านแล้ว แต่เขาไม่พูดเพราะว่ากลัวแม่สติหลุด วันนั้นเขาก็เลยให้เรียกรถพยาบาล เพื่อมารับเตี่ยไปที่โรงพยาบาล แล้วเตี่ยก็เสียที่บ้าน

ถามแม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยังไง คือวันนี้เป็นวันที่เตี่ยกำลังจะไปประชุมนักข่าว เพิ่งอาบน้ำเสร็จ แล้วเขาก็รู้สึกว่าแน่นหน้าอก เขาก็เลยมานั่งที่เตียง แล้วเขาก็แบบว่า แม่ก็เอาน้ำร้อนให้เขาดื่ม แล้วเตี่ยเขาก็เรียกแม่ว่าใหเมานั่งด้วยกัน แล้วแม่บอกว่า แม่มานั่ง แล้วเตี่ยค่อย ๆ แบบลงไปที่เขาเลย อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่มันเป็นเรื่องที่แบบว่า เขาเรียกว่าอะไร มันผ่านไปนานแล้วแหละค่ะ แต่ว่านึกถึงเขาในสิ่งที่ดีค่ะ แค่นึกว่าน่าจะได้คุยอะไรกันเยอะกว่านั้น อะไรอย่างนี้ แล้วก็ไม่ได้กินข้าว แล้วทุกครั้งที่เห็นต้มยำ ก็จะนึกแบบว่า เขารู้ว่าเป็นของโปรดที่นี่ชอบกิน ตอนใช้เวลากับคนรักให้เยอะที่สุดนะคะ

 

The People : ตกตะกอนได้ช่วงนั้นเลย

กัญญารัตน์ : ใช่ค่ะ แล้วพอหลังจากเหตุการณ์ของเตี่ยไป มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราเหลือแค่แม่ ทุกวันนี้ ถ้าแม่อยากจะไปไหน อยากกินอะไร อยากจะทำอะไร จะทำให้ จะไม่ติดค้างในใจกัน ทุกวันนั้นติดค้างมในใจที่ยังไม่ค่อยได้ทำอะไรให้เตี่ย ก็เลย สิ่งนี้มันก็เลยเป็นแรงบันดาลใจด้วยนะ ที่ผลักดันให้เราได้ทำและได้มีเอาไว้เป็นตัวแทนของเขาอะค่ะ

  กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร The People : เหตุการณ์อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจกลับบ้านมาสานต่อธุรกิจ

กัญญารัตน์ : คณะสิงโตมังกรหยก มันเป็นอะไรที่เรารักมาตลอดอยู่แล้ว เราเกิดมาในคณะสิงโต เราเห็นสิงโตมันกรในบ้าน เรามีบรรยากาศที่ครึกครื้นตลอดเวลาที่เรามีงาน แล้วมันซึมซับในใจของเรามาตลอดอยู่แล้วแหละ แล้ววันที่เตี่ยจากไปแล้ว คณะมันเหงาลง ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมในที่นี้ก็คือ งานที่เราเคยมีเยอะ ๆ หรือว่าอะไรอย่างนี้ มันก็กลายเป็นว่าลดน้อยลง คนอาจจะไม่ได้เชื่อมั่น

คนอาจจะไม่ได้เชื่อมั่นในวันที่เตี่ยจากไปแล้ว แล้วเราไม่ได้ขึ้นมาดูแลอย่างเต็มที่ เพราะว่าตัวพี่เกี๊ยวเองก็เรียนไปด้วย แล้วเวลามีงานเราก็กลับมาช่วยแม่ด้วยตลอด ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่แม่ประคับประคองแหละ แล้วก็พี่ ๆ ที่เขาเคยเชิดสิงโตอยู่ เวลามีงาน เขาก็มาช่วยเราเนอะ มันก็เลยเหมือนว่า ทำไปเหมือนเดิมอะ เหมือนว่าที่เคยทำไปแบบไหนก็ทำไปแบบนั้น ในช่วงที่เตี่ยจากไปอะ มันก็จะเป็นแบบนี้ แล้วมันก็เริ่มตกลงไป แบบนี้ค่ะ เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรเพิ่มขึ้น แต่เราทำเหมือนเดิมที่เคยเป็น แล้วของที่เราใช้ มันก็เริ่มเก่าขึ้น เราไม่ได้มีคนที่มาดูแล มามองถึงตรงนี้ว่า เฮ้ย จะทำยังไงให้มันไปต่อได้ เราแค่ทำเฉย ๆ อย่างนั้นน่ะ ที่ว่าเหมือนเราเคยทำอะค่ะ

จนวันนึงที่ ต้องเล่าอย่างนี้ก่อนเนอะ ระหว่างที่เรียนก็ยังมาเชิดสิงโตตลอด เวลาที่แม่เรียก มีงาน เราก็ยังมาทำ พี่เกี๊ยวเป็นคนขับรถ พาทีมไปอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ถึงเวลาไปเรียน เราไปเรียน เรียนจบ textile design ออกแบบแฟชั่นสิ่งทอ ก็ไปทำงานเป็น visual merchandiser เป็น designer ตามแบรนด์ ก็ไปใช้ชีวิตของตัวเอง ก็เคยบอกกับแม่ว่า แม่ เกี๊ยวจบแล้ว เกี๊ยวไปทำงานของตัวเองก่อนนะ เกี๊ยวจะต้องอยู่นู้น อย่างนี้ จะไม่ได้อยู่บ้าน อะไรอย่างนี้ แม่บอก ไปลูกไป ไปทำอย่างที่ตัวเองอยากทำ ไปลองดู ไปลองสู้ดูนอกบ้าน อะไรอย่างนี้ ก็ไปทำค่ะ ทำ ไปใช้ชีวิต ไปเจอบรรยากาศข้างนอก ไปอยู่ที่ไม่ได้อยู่บ้าน แต่ว่าก็กลับบ้านเวลามีเวลาว่าง

จนวันนึงที่เราได้ทำอะไรตามใจของตัวเอง จนไปถึงประมาณ อาจจะแบบ มันอิ่มในสิ่งนี้แหละที่ทำ มันก็มีวันที่กลับมาบ้าน แล้วก็มองแม่อย่างเนี้ย อยู่คนเดียวอะ แก่ลงทุกวัน สิงโต มังกรแม่งก็แขวน หยากไย่ ของวางเรียงระเกะระกะ ไม่เป้นระเบียบ มันก็เหมือนแบบ บางอย่างมันคงดลใจเราด้วย ก็เลยคิดว่า ทำไมไม่กลับมาสิงโตวะ เออ วันนั้นที่กลับบ้านอะ แล้วก็ยังมาทำงานใช่ไหม ช่วงนั้นแม่งคิดตลอดเวลาว่า คิดถึงเรื่องว่า อยากทำสิงโตต่อ ช่วงนั้นก็จะทำงานไปด้วย แล้วก็วางแผนไปด้วยว่า อยากจะทำสิงโตแบบจริง ๆ จัง ๆ ระหว่างทำงานไปก็คิดแผนที่สองไปด้วยว่า จะยังไง จะเริ่มกลับมาทำแบบไหน จะเริ่มต้นแบบไหนให้มันไปต่อได้ อะไรอย่างนี้ค่ะ

ก็เริ่มคิด จนมาเริ่มปรับปรุง ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีทุนมาก ก็ปรับเปลี่ยน อะไรมันเก่า เราก็เปลี่ยน อันไหนมันพัง เราก็ซ่อมไปเองก่อน แล้วก็เริ่ม connection ลูกค้า ตามสมุดจดของเตี่ยอะค่ะ เขามีเบอร์โทรศัพท์สมัยก่อนเนอะ ยังดีนะที่มันเป็นลายมือจด แล้วก็โทร contact กับลูกค้าว่าแบบ ตอนนี้เกี๊ยวจะกลับมาทำคณะสิงโตนะคะ ถ้าเฮียมีงานนู่นนี่ อะไรอย่างนี้ ก็ติดต่อเกี๊ยวได้เลยนะ ก็เริ่ม contact ลูกค้าเก่าของเตี่ย จนแบบ เริ่มมีงาน เราจะมาขอหยุดงานบ่อย ๆ ก็ไม่ได้ เราต้องเลือกแล้วตอนนี้ มันต้องตัดสินใจแล้วว่า จะทำอะไร วันที่ตัดสินใจก็ คิดเลย เพื่อนก็บอกว่า เฮ้ย แต่ต้องมีคนท้วงนะ มึงออกไปแล้วสิงโตมันอยู่ได้เหรอวะ มันจะมีงานทุกวันเหรอวะ เราแบบ เฮ้ย กูมั่นใจว่ะ กูจะทำให้มันไปได้ ในเมื่อเตี่ยยังเคยทำได้เลยนะเว้ย แบบคิดว่าจะทำให้ได้ อะไรอย่างนี้

พอวันที่ตัดสินใจลาออก เจ้านายก็น่ารักนะคะ มันเป็นเรื่องเงินเดือนหรือเปล่าคุณเกี๊ยว อะไรอย่างนี้ เขาก็แบบ เพิ่งเงินเดือนให้ได้ เราก็ถือว่าเป็นลูกน้องที่ดีคนนึงของเจ้านาย ทุกวันนี้เจ้านายก็ยังเป็นเพื่อนใน Facebook แล้วก็คือแบบ เขาก็เห็นเราเติบโต เขาก็ดีใจกับเราที่แบบ เกี๊ยวมีวันนี้ แล้วเขาก็แบบ เหมือนกับว่า เขาก็มองคนไม่ผิด ที่ว่า เห็นเราทำงานได้ดี ก็คิดว่าไปเติบโตในเส้นทางของตัวเอง อะไรอย่างนี้ค่ะ จนแบบ วันที่ตัดสินใจ เราก็กลับมาทำจริงจัง แบบ full time ทำสิงโต ทีนี้ เราเล่น ๆ ไม่ได้แล้ว เราก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เราอยู่ได้ เพื่อให้เรามีงาน

กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร อย่างแรกก็เริ่มปรับเปลี่ยนพวกสิ่งที่ของในคณะก่อนค่ะ สิงโตที่เคยมีใช้ มันอาจจะเก่า เราก็เปลี่ยนใหม่ ขนไหมมันดำ เราก็เปลี่ยนให้มันขาวขึ้น เรื่องเสื้อผ้า สกรีน เรามีความรู้เรื่องสกรีน ก็ไปยิงบล็อกมาสกรีนเสื้อเอง ไปเหมาเสื้อโบ๊เบ๊มา เสื้อยืด อะไรก็แล้วไป ก็มาสกรีนทำ ประหยัดอันไหนได้ก็ประหยัด เราเย็บหางได้ เราไม่ต้องจ้าง แล้วก็ประหยัดเงิน แล้วก็ไปซื้อผ้าที่พาหุรัด เปลี่ยนพวกผ้าที่เป็นผ้าธรรมดา ซื้อแบบ ให้มันดู luxury ขึ้น ใช้ผ้าไหมจีนที่มันดูสวย ดูอะไร มาทำแพทเทิร์น เรามีความรู้ความสามารถตรงนี้ แล้วก็ดึงตรงนี้มาใช้ ก็มาวางแผน วางแบบ แม่มีความรู้ในการเย็บมาตั้งนานแล้ว เราก็ปรึกษาแม่เรา อะไรอย่างนี้ แม่ อันนี้เย็บแบบนี้ ๆ ได้ไหม เราก็ช่วยกันทำในครอบครัว อะไรอย่างนี้

อ้อ แต่ก่อนออกมาก็คือบอกแม่ก่อนด้วยนะคะว่า แม่ จะลาออกจากงานประจำนะ แม่จะโอเคไหม อะไรอย่างนี้ แม่ก็บอก แล้วแต่เกี๊ยวเลย เกี๊ยวตัดสินใจในสิ่งที่เกี๊ยวชอบ เกี๊ยวเลือกแล้ว เกี๊ยวทำเลย ถ้ามันจะต้องพังหรือยังไง มันก็เป็นสิ่งที่เกี๊ยวเอง ลองดูลูก แม่คิดว่าเกี๊ยวทำได้ นั่นแหละ มันก็เป็นคำพูดของแม่ ที่ทำให้เรามีกำลังใจ วันนั้นอะ เกี๊ยวทำเลย มันดีแน่นอน 100% มันมีแค่แม่คนเดียวที่เห็นว่า เกี๊ยวทำได้ลูก แต่คนอื่นก็มีแบบ เหมือนเขาเป็นห่วงว่ามันใช้ชีวิตกับการเชิดสิงโตตลอดชีวิตได้เหรอ

ก็เริ่มทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ ใช้ความรู้ความสามารถที่มี แล้วก็ประหยัดเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่ต้องซื้อ ต้องจ้าง สกรีนเสื้อคณะ เราไปไปหาที่แขวน ทำอะไรไป สกรีนเสร็จ อะไรไป มีเสื้อใหม่ แบบใหม่ ดูสวยงาม ดูแบบ เขาเรียกว่า ลูกค้าเห็นก็ โอเค ดูใหม่ขึ้น ดูอะไรอย่างนี้ ก็เริ่มวาง package ให้ลูกค้า เมื่อก่อนไม่มี package เท่านี้บาท เท่านี้บาท ไม่ได้บอกลูกค้าได้อะไร ไม่ได้อะไร ลูกค้าก็จะไม่รู้ มทีนี้ เราก็คิดว่า มันต้องเริ่มทำเหมือนเป็น presentation ลูกค้าจะได้สิงโตสีนี้ เริ่มทำให้มันเป็นรูปร่างมากขึ้น เริ่มทำเป็น ABC มี package ราคาเล็ก กลาง แล้วก็ราคาสูง เราก็เริ่มทำไปเรื่อย ๆ ทีละนิดค่ะ ไม่ได้ทำแบบ ทีเดียวแล้วตู้มเลย ค่อย ๆ ทำ ไปเรื่อย ๆ เริ่มจากอุปกรณ์ภายนอก เสื้อผ้า

จนมันเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ มองกลับมาที่ตัวเอง ถ้ามันจะต้องมีงานมากกว่า ทีมจะต้องมีอะไรที่เป็น signature มากกว่านี้ ที่เหมือนแบบ ลูกค้าทำไมต้องเลือกมังกรหยก เกี๊ยวต้องไปทำข้อนี้ให้ได้ก่อน ว่าอะไร ทีมสิงโตมีเยอะมาก มีเป็นสิบ เป็นร้อย จะทำยังไงที่จะบอกลูกค้าคนนี้ว่า มีมังกรหยกเท่านั้นนะ ที่ถ้าคุณเลือกแล้วคุณจะได้รับสิ่งนี้ เกี๊ยวก็เลยมองว่า ตัวเราไง ตัวเรานี่แหละ ที่จะเป็นสินค้าที่ดีที่สุดในคณะมังกรหยก งั้นเราก็ต้องเริ่มไปฝึกฝนตัวเอง อะไรไม่เป็น เราก็ไปฝึก อันไหนเราไม่มีความรู้ เราก็ไปศึกษาข้อมูลได้ อะไรอย่างนี้

ก็เริ่มไปฝึกฝนจาก ไม่ได้เคยเชิดสิงโต ก็เริ่มมาฝึกซ้อมเชิดสิงโตค่ะ เชิดสิงโตมันก็ดูเป็นความแปลกใหม่ที่แบบ เฮ้ย ผู้หญิงเชิดสิงโตเว้ย เออ เราก็อยากเปลี่ยนภาพลักษณ์อะ คณะสิงโต ทำไมต้องมีแต่ผู้ชาย แล้วทำไมผู้หญิงจะเป็นเจ้าของคณะสิงโตไม่ได้ มันผิดตรงไหน ถ้าเรามีความตั้งใจ เคยแบบ มีคนพูดว่า ผู้หญิงไม่ควรเชิดสิงโต เกี๊ยวก็บอกเขาไปว่า แล้วถ้าแบบ มีแต่ลูกชาย มีลูกชาย 4 คน มีลูกสาวคนนึง ลูกชาย 4 คนไม่อยากสืบทอดกิจการ แล้วลูกสาวคนนี้มีความตั้งใจมาก ๆ มีความแบบ ศึกษาหาความรู้ ตั้งใจแบบเต็ม 100% เพื่อที่จะสืบสานกิจการของครอบครัว แล้วเขาผิดอะไร แค่เขาเกิดมาเป็นผู้หญิง แค่นั้นหรอ อะไรอย่างนี้

เราก็เลยรู้สึกว่า เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ทำให้คณะสิงโตดูเสื่อมเสีย แค่เราเป็นผู้หญิงแค่นั้นหรอ ที่จะบอกว่าเราเชิดสิงโตไม่ได้ ก็เลยแบบ ไม่ได้สนใจตรงนี้ ตรงคำพูดของคนคนนึง อะไรอย่างนี้ เราก็ตั้งใจทำต่อไป เราไม่ได้คิดว่าทำให้สิงโตเสื่อมเสีย แต่เราแค่คิดว่า เราเพิ่มมูลค่าให้กับคณะสิงโตซะมากกว่า พี่เกี๊ยวก็เริ่มฝึกซ้อมค่ะ ให้น้อยชายช่วยด้วย ทางพี่ ๆ ในคณะหรือ ก็เริ่มฝึกซ้อมค่ะ แล้วก็หาความรู้ในเรื่องของสีหรือความหมายต่าง ๆ ของหัวสิงโตด้วย ไม่ใช่แค่เราเชิด เราทำคณะสิงโต เราต้องรู้ความหมายต่าง ๆ ในคณะสิงโตว่าคืออะไร ก็หาความรู้ต่าง ๆ ทั้งจากอาจารย์ที่เป็นเพื่อนของเตี่ย ทั้งจากใน google หรืออะไรต่าง ๆ หรือบางทีเราออกไปนอกสถานที่ ไปหา inspiration เราก็หาความรู้ต่าง ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ มันก็สะสมมาเรื่อย ๆ มันก็ทำให้เรามีความประสบการณ์

ถามว่าความผิดพลาดมีไหม มีแน่นอน มันไม่มีอะไรราบรื่น 100% เคยทำผิด เคยเสียใจ ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ที่ดี มันเหมือนเป็นบทเรียนที่ดีให้กับเรา เราจะได้รู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ดีนะ หรือ มันก็จะทำให้เราแบบว่า เก่งขึ้น สะสมพลังไปเรื่อย ๆ ๆ ทุกอย่างในข้อผิดพลาดในชีวิต มันก็คือเหมือนบทเรียน แล้วไม่ได้รู้สึกว่าอยากกลับไปแก้ไขอะไร วันนั้นรู้สึกดีแล้วที่ทำแบบนั้น ถ้าไม่ทำแบบนั้นจะไม่รู้เลยว่า นั่นแหละ มันคือสิ่งที่ผิด อะไรอย่างนี้ค่ะ ทุกอย่างก็คือแบบ เหมือนเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับพี่เกี๊ยวมาก ๆ

  กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร

The People : ย้อนกลับไปนิดนึง การที่คุณเข้ามารับช่วงต่อ ภาพจำของคนในคณะ มองคุณเป็นยังไง

กัญญารัตน์ : สำหรับในทีมครอบครัวมังกรหยก ภาพจำของพี่ ๆ  เขาแค่มองว่า เราเหมือนเด็กถือพานส้มในคณะมาตั้งแต่เด็ก เพราะตั้งแตเด็ก ไปกับเตี่ย คือถือพานส้ม แล้วก็อวยพรลูกค้า คอยเก็บอั่งเปาจากทุก ๆ คน ไม่ได้เคยแสดงศักยภาพที่มีในตัวในเขาเห็นเลย เขาก็มองเราเหมือนเด็กผู้หญิงคนนึงที่ถือพานส้ม เก็บเงิน พาไปงาน แค่นั้นเอง มันก็คือ ทีนี้มันก็เกิดอีโก้ขึ้น ในความรู้สึกเขาก็ต่อต้านแหละว่า แล้วเกี๊ยวจะมาดูแลคณะสิงโตได้ไง เห็นมาก็คือทำอะไรไม่เป็นเลย แล้วจะมาดูแลคณะมังกร เป็นไปไม่ได้ เขาก็มอง แค่เห็นผู้หญิงคนนึงที่ถือพานส้มมาตลอดเวลา ตลอดชีวิต

จนวันที่เราแสดงศักยภาพให้เขาเห็น ที่เราไปทุ่มเทในการซ้อมหรืออะไร วันที่ on stage แล้วเขาได้เห็นเราอยู่บนเวทีนั่นแหละ พอลงเวมีมา พี่ ๆ ทุกคนเดินมาแล้วแบบ เกี๊ยว เอ็งแม่งสุดยอดเลยว่ะ เอ็งแม่งทำได้จริง ๆ เลือดมังกรนี่หว่า อะไรอย่างนี้ เราก็แบบ มันอยู่ในสายเลือดเว้ย มันรอวันที่เฉิดฉายอยู่ ทุกวันนี้ เวลาเรามีการแสดงหรือมีโชว์อะไรใหม่ ๆ ก็มาคุยกันได้ เขาก็ไอเดีย เราก็มีไอเดีย มาช่วยกัน มันก็เลยทำให้แบบ โชว์ของเรา มาจากทุก ๆ คน ไม่ใช่จากพี่เกี๊ยวคนเดียวแล้ว

  กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร The People : มีประสบการณ์ไหนที่คุณรู้สึกว่า ทำไมคนในทีมถึงเลือกปฏิบัติกับเราแบบนี้

กัญญารัตน์ : เอาเป็นงานที่พีค ๆ ที่สุด รู้สึกใจหายแล้วอยากร้องไห้มาก ๆ คือ มันเป็นงาน event แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคของเตี่ยและยุคที่พี่เกี๊ยวจะขึ้นมาทำ มันเป็นการปรับเปลี่ยนที่กะทันหันมาก ๆ มันเป็นการปรับเปลี่ยนที่ดีแหละค่ะ แต่เขายังคงปรับตัวไม่ทันในสิ่งที่เราเปลี่ยนใหม่ อย่างสมัยก่อนอย่างเนี้ย งานที่เราได้รับ ส่วนมากจะเป็นงานศาลเจ้าหรือโรงเจ แล้วในการที่เราไปแสดง อะไรแย่างนี้ มันจะไม่ได้มีแพทเทิร์นว่า จะกี่นาที 5 นาที 10 นาที 15 นาที ไม่ได้มีคิวว่า คุณจะต้องต่อโชว์ที่ 1 โชว์ที่ 2 โชว์ที่ 3 มันเป็นว่า เหมือนกับว่า ได้เวลาปุ๊บ ตีกลองได้เลย จะแพทเทิร์นไหน จัดการเลย คณะสิงโต คุณโชว์แบบไหน คุณโชว์ได้เลย

แต่พอช่วงเปลี่ยนผ่านของพี่เกี๊ยว เรารับงานที่มันเป็น event มันก็จะมีแบบว่า การโชว์ที่ 1 โชว์ที่ 2 และโชว์ที่ 3 อะไรอย่างนี้ใช่ไหมคะ มันก็จะต้องมีการบล็อกกิ้งเกิดขึ้น พี่ ๆ ที่ไม่ได้เคยได้แบบว่า เชิด หรือว่าทำการแสดงอะไรที่เป็นอย่างนี้ เขาก็เกิดความไม่เข้าใจ ที่แบบว่า ทำไมจะต้องซ้อมวะ เชิดมาเป็นพัน ๆ ตีมาเป็นพัน ๆ งานแล้ว มันไม่ได้ต้องทำแบบนี้ มันก็ทำมาได้ อะไรอย่างนี้ เขาก็เลยรู้สึกแบบ เหมือนแบบ เราต้องเป็นคนคอยบอกคิวเขาด้วยว่าแบบ พี่ เดี๋ยวพอเกี๊ยวยกอย่างนี้ปุ๊บ ขอจังหวะจบเลยนะ ครั้งแรกซ้อมก็ไม่เท่าไหร่ ครั้งสองก็ไม่เท่าไหร่ พอครั้งที่สาม เหมือนเขารู้สึกแบบ ซ้อมอะไรเยอะขนาดนี้วะ ทำไมต้องซ้อมเยอะขนาดนี้ เขาก็วางไม้กลองลง แล้วเขาก็บอกว่า ทำกันเองไปเลย ไม่ทำแล้ว แล้วเขาก็เดินจากไปเลย

เราก็ ตรงนั้นหน้างานก็ รีบ มันช็อกแหละ แล้วมันก็อยากร้องไห้ในใจ แต่ว่า มันไม่ได้แล้ว ก็ต้องแบบว่า น้องชายที่เชิดหัวอยู่อย่างเนี้ย เขาตีกลองได้ เราบอก เอก งั้นมาเปลี่ยนหัวก่อน เดี๋ยวพี่เข้าหัวแทนก่อน เราก็ไปครอบหัวสิงโตไว้ รอเรียกเด็กอีกคนว่า เดี๋ยวมาเชิดแทน มันก็ต้องปรับเปลี่ยนหน้างาน ตอนนั้นทำอะไรได้ก็คือต้องทำไปก่อน ต้อง the show must go on ที่สุดแล้ว มันทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะว่างานก็คือ เขาก็จะถึงเวลา จะ on stage แล้ว แต่ว่าช่วงที่บล็อกกิ้ง เขาคือแบบ เหมือนรำคาญ ไม่เข้าใจระบบการทำงาน เขาก็เลยเดินออกไปเลยจากงาน เขาก็กลับไปเลย ไม่ได้กลับพร้อมเราด้วย เขากลับของเขาไปเองเลย

อันนั้นก็คือ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เราว่า มันก็ค่อนข้างแย่มากสำหรับเรา ไม่คิดว่าพี่เขาจะทิ้งเราไปแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาอยู่กับเรามาตั้งนาน แต่ด้วยความที่ไม่เข้าใจ เขาก็ทิ้งเราไปเลย แบบนั้น แต่ว่าหลังจากที่จบงานนั้น เขาก็กลับมาอีกทีนึง เพื่อมาเคลียร์ใจกัน แล้วก็มาคุยกันว่า พี่แม่งทิ้งเราไปอย่างเนี้ย แย่เลยนะ ทำไมทำแบบนี้ เพราะอะไร เกิดอะไรขึ้น ต้องมาเหตุและผล อธิบาย แก้ไขปัญหากัน ก็อธิบายให้เขาฟัง บอก ก็เอ็งอะ สั่งเยอะอะ สั่งอะไรนักหนาวะ ทำ สั่งแล้วสั่งอีก ก็แบบ รู้แล้วว่าต้องทำยังไง เกี๊ยวไม่ได้อยากสั่ง แต่ว่ามันเป็นหน้างาน พี่ก็ต้องฟังเกี๊ยว เพราะเกี๊ยวก็รับบรีฟจากลูกค้ามา

ถ้าเราทำได้ตามที่เขาบอก เราก็จะมีงานที่ง่ายและสบายแบบนี้ตลอดเลย อยู่บนห้างก็เย็นสบาย ไม่เหนื่อย ถ้าเราทำได้ มันก็จะมีงานแบบนี้ต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็อธิบายให้เขาฟังว่ามันแค่นีร้เอง พอหลังจากงาน ก็เป็นน้องเหมือนเดิมแล้ว อยากทำอะไรก็ทำไป ไม่ได้จะต้องมาสั่ง มันแค่หน้างาน แค่นั้นเอง เราก็อธิบายเหตุและผล ใจเย็น อดทน ทุกสิ่งทุกอย่าง พยายามทำให้มันผ่านพ้นวิกฤตช่วงนั้นไป ก็พอหลังจากนั้นเราเข้าใจ เคลียร์ใจกันไปได้ปุ๊บ เขาก็เป็นมือกลองที่สุดยอดที่สุดในใจของพี่เกี๊ยวมาก ๆ เลย

จนวันที่พี่เขาก็จากไปอย่างไม่วันกลับแล้ว ก็ไปตีกลองบนสวรรค์ ตั้งอีกคณะนึงกับเตี่ยเรียบร้อยแล้วค่ะ วันที่เขาจากไปนั้น เขาก็ยังใส่ยูนิฟอร์ม เสื้อที่สกรีนว่ามังกรหยก เกี๊ยวเลยเชื่อว่า เขาอะ จิตวิญญาณของเขา เขารักในคณะมาก ๆ แต่ว่า ช่วงที่มันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างรุ่นเตี่ยและรุ่นเกี๊ยว มันทำให้เขาไม่เข้าใจในระบบการทำงาน มันเลยทำให้เรามีปัญหา แต่หลังจากที่เราเคลียร์ใจกันแล้ว ใจเขามันก็ผูกพันกับใจเรา แล้วมันก็เลยแบบ ไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรคสำหรับเราเลยค่ะ

 

ความอ่อนไหวของผู้นำหญิง

The People : เท่าที่ฟังมา ครอบครัวก็ให้ความรักมาโดยตลอด แต่มันเคยมีสักแวบนึงไหมที่คุณคิดว่า เราผิดอะไรที่เกิดมาเป็นผู้หญิง

กัญญารัตน์ : สักแวบที่คิดว่าเราผิดอะไรที่เราเกิดมาเป็นผู้หญิง อ๋อ มันจะมีที่แบบว่า ช่วงแรกที่คนพูดว่า ผู้หญิงไม่ควรมาทำคณะสิงโต เราไม่เข้าใจว่า ทำไมอะ เราเป็นผู้หญิงแล้วมันผิดตรงไหนที่ทำคณะสิงโต หรือแม้กระทั่งว่า ที่เราขึ้นไปเชิดสิงโตหรือขึ้นที่เราไปเล่นไม้สูง อะไรอย่างเนี้ย เราแค่รู้สึกว่า เราผิดตรงไหน เราแค่เป็นผู้หญิงเอง แต่เรามีความตั้งมาก ๆ ท่ี่เราอยากจะทำสิ่งนี้ เราอยากจะสืบทอดกิจการเชิดสิงโตของเตี่ย ให้มันยังคงอยู่ต่อไป ไม่ใช่แค่ว่ารุ่นนี้ เราไม่รู้เลยว่ามังกรหยกมันจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน

แต่วันนี้มันอยู่ในมือของเราแล้ว เราอยากจะทำให้มันดีที่สุด สุดความสามารถที่แบบ คนคนนึงจะทำได้ เราเสียใจนะ กับคำพูดที่แบบว่า ทำไม่ได้หรอก เราเคยได้ยินด้วยก่อนหน้าที่จะเป็นวันนี้ มันจะมีแบบ โอ้ย ทำไม่ได้หรอก มันทำไม่ได้หรอก มันเป็นเด็กผู้หญิงอย่างเนี้ย มันจะไปทำอะไร เชิดสิงโตมันงานผู้ชาย งานมันหนัก มันทำไม่ได้หรอก ให้มันลองดู เดี๋ยวมันก็รู้ อะไรอย่างนี้ เราก็เคยได้ยิน ซึ่งเราก็ทำมา จนถึงวันนี้ เราก็คิดว่าคนที่พูดคำนั้นเขาก็อาจจะตกใจศักยภาพที่ผู้หญิงคนนั้นที่เขาคิดว่ามันน่าจะทำได้ แต่ว่าวันนี้ก็ทำได้แล้ว ในความรู้สึกของพี่ คิดว่า เพศไม่ได้บ่งบอกถึงอาชีพ เพศไม่ได้บ่งบอกถึงศักยภาพทางใจและกาย อย่างเนี้ย ร่างกายเราอาจจะสู้ผู้ชายไม่ได้ก็จริง แต่มันจะมีวิธีที่เราทำให้ไปถึงอย่างที่ผู้ชายเขาทำได้

อย่างที่พี่เกี๊ยวทำมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อย่างเชิดสิงโต ขึ้นไปแสดงบนเสาสูง หรือแบบการต่อตัวใด ๆ ก็แล้วแต่ เราคิดว่า ถ้าใจเรามันมุ่งมั่นที่อยากจะทำอะไรก็แล้ว เราคิดว่าเราจะทำมันให้สำเร็จได้ การฝึกซ้อมเป็นสิ่งสำคัญ ความตั้งใจเป็นสิ่งสำคัญ และการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่มีวันจบสิ้น ตอนนี้อายุ 39 ปี ก็ยังไม่รู้สึกว่า รู้ไม่หมดทุกอย่าง ก็ยังคงต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่งแค่นี้ ยังคงคิดว่าจะทำอะไรต่อไป ให้มังกรหยกเติบโตไปได้อีก ทีละนิด ๆ ไม่ได้อยากก้าวกระโดดค่ะ อยากไปเรื่อย ๆ แบบนี้ มันไม่เหนื่อยดี มันเหมือนแบบ รู้สึกมีความสุขอยู่ในทุก ๆ วัน

บางครั้งก้าวที่มันใหญ่เกินไป มันดีค่ะ มันเจ๋งเวลาที่เราทำได้ แต่เราจะรู้สึกว่า เราจะรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ แต่พอเวลาเราก้าวไปทีละเล็ก ๆ เรารู้สึกว่าระหว่างทางมันสนุกดี มันค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ แล้วพอมันสำเร็จในเรื่องเล็ก ๆ ใจเรามันก็ฟู มันก็เลยทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยท้อมาก แต่ถ้าเราวางสิ่งที่มันใหญ่มาก ซึ่งเคยทำมาแล้ว การวางสิ่งที่ใหญ่ ๆ แต่โชคดีที่มันสำเร็จ มันก็เลยทำให้ใจฟูก้อนใหญ่ แต่ว่าทุกวันนี้ เรารู้สึกว่า เราอาจจะไม่ได้ต้องก้าวใหญ่เท่าเดิม แต่เราก้าวไปอย่างมั่นคง ทีละนิด ๆ แล้วระหว่างทางมันประสบความสำเร็จ มันจะรู้สึกใจฟูเรื่อย ๆ มันจะมีกำลังใจเรื่อย ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นการ แค่ต่อตัวสองขึ้นไปได้ เฮ้ย แม่งแบบ มันสำเร็จ มันทำได้ คือเราก็ไม่คิดว่ามันจะทำได้และสวยงาม วันนั้น ตั้งเป้าเลยว่า เราทำได้ มีโชว์ใหม่ เราดีใจ เราใจฟู เราก็ค่อย ๆ ทำไปทีละนิด ทุก ๆ อาชีพคิดว่า ไม่อยากให้ใครมากำหนดเพศว่าแบบ หญิง ชาย เพศ LGBTQ หรือใด ๆ คิดว่าทำได้หมด ไม่ว่าจริง ๆ คนคนนึง ที่ไม่ได้เป็นผู้หญิงคนนี้หรือจะเป็นเพศอื่นที่อยู่ตรงนี้ ก็คิดว่าเขาทำได้ ถ้าเขาตั้งใจมากพออะค่ะ

  กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร The People : มีเรื่องไหนอีกไหมที่คุณรู้สึกอยากจะลองทำดู

กัญญารัตน์ : สิ่งที่อยากทำอันนึง คือคิดว่าจะทำแน่นอน แต่ก็รอเรื่องของโอกาสด้วย อีกแล้ว และเรื่องของสถานที่ พี่เกี๊ยวเคยคิดอยากจะทำที่ที่เนี่ย เป็นเหมือน community ของคนที่ชอบศิลปวัฒนธรรมเชิดสิงโตหรือวัฒนธรรมจีน อยากจะทำให้มันเป็นจุดศูนย์กลางที่คนจะสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิด ได้มาดูศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ของหัวสิงโต คนอาจจะไม่ได้เคยเห็นใกล้ชิด อาจจะไม่ได้เคยรู้ว่าสิ่งนี้เขาเรียกว่าอะไร เราอยากจะให้ความรู้กับคนรุ่นใหม่ด้วย เพื่อที่จะแบบว่า

อยากให้ความรู้กับคนรุ่นใหม่ด้วยว่า สิงโต มันก็ไม่ใช่แค่มีคำว่าเชิดและโชคดี สิงโตก็ยังมีศิลปะที่สวยงามบนหัวสิงโต อะไรอย่างนี้ อยากจะส่งต่อเรื่องของความสวยงาม ศิลปะ และก็ความหมาย และก็สิ่งต่าง ๆ ที่เอาแชร์กัน มาเรียนรู้กัน วันนั้นอาจจะมีการเชิญผู่ที่มีความรู้ อาจะจารย์หรืออะไรแบบนี้ คลาสทำ workshop กันทุก ๆ อาทิตย์ อะไรอย่างนี้ อยากทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น แล้วก็ขายกาแฟ มีขนม เบเกอรี่ หรือว่าอะไรต่าง ๆ ใน community นั้น ๆ อะไรอย่างนี้ คิดว่า จะได้ทำในบั้นปลายชีวิตแน่นอน เพราะว่าพี่เกี๊ยวจะยังเป็นสาวนักเชิดสิงโตแบบนี้ แล้วก็อาจจะยังเป็นป้าเกี๊ยวในอนาคตที่อาจจะแบบ welcome หลาน ๆ ทุกคน นักศึกษา หรือว่าเด็กนักเรียน หรือเยาวชนต่าง ๆ ที่จะเข้ามาหาความรู้หรือขอความรู้ หรือมาสัมผัสบรรยากาศของคณะ ก็อยากจะทำให้มันเป็นแบบนี้

 

The People : เหมือนไม่ใช่แค่ทำตัวคณะอย่างเดียวแล้ว เรามองถึงสังคมรอบข้างด้วย

กัญญารัตน์ : ใช่ อันนี้คือรู้สึกว่าเราแบบ ได้ take เยอะมากจากคนอื่นที่ให้โอกาส ทุกวันนี้อยากจะ give ให้คนอื่นบ้างแล้วเหมือนกัน อย่างที่เคยให้คนอื่น ที่เล่าว่ามีแม่บ้านที่มาเชิดสิงโต คนอาจจะมอง ทำไมถึงให้มา เพราะเรามองว่า ในคณะสิงโตมันประกอบด้วยหลากหลายหน้าที่ เขาอาจจะไม่ได้เชิดสิงโตได้ แต่เขาทำหน้าที่อื่น ๆ ได้ เราก็ยินดีที่แม่บ้านคนนึงจะอยู่ในทีมคณะเชิดสิงโต เราก็อยากให้โอกาสเขา ที่ถ้าเขาอยากจะอยู่กับเรา ในวันวันนั้นก็รู้สึกว่า มันอาจจะเป็นแบบว่า community ที่แข็งแรงหรือดีขึ้น เราอาจจะแบบ มีการแสดงโชว์ของแต่ละทีม ในแต่ละอาทิตย์ด้วยซ้ำไปที่คุณสามารถมาเลือก shopping ได้ว่า อยากจะได้ concept แบบเดียว อาจจะไม่ใช่แค่มังกรหยดอย่างเดียว แต่ถ้าคุณเลือกแค่มังกรหยก คุณก็จะได้มีเกี๊ยวไปแสดง อะไรอย่างนี้ อยากให้มันเป็นเพื่อสังคมบ้าง ในวันที่เราทำได้แล้ว

 

The People : คุณคิดว่ามังกรหยกเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนนครปฐมในแง่ไหนบ้าง

กัญญารัตน์ : มังกรหยกเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนยังไงบ้างใช่ไหมคะ เรามองว่า เราเป็นคณะเก่าแก่และเป็นคณะชุมชน เราเหมือนเป็นคณะของคนสามพรานที่ดูประสบความสำเร็จในแบบนึง ในเรื่องของการเชิดสิงโตที่สืบทอดเจตนารมณ์หรือสืบทอดคณะเชิดสิงโตของอากงมายังรุ่นของเตี่ย ก็เป็นความภาคภูมิใจของคนสามพรานนิดนึง แล้วเราก็มองว่า สิงโต ทุกวันนี้มันเข้าไปอยู่ในชีวิตของทุก ๆ คน อย่างที่บอกอะค่ะ ไม่ว่าจะเป้นงานบวช งานแต่ง งานรับปริญญา งานที่เฉลิมฉลองทุกอย่างเลยอะค่ะ สิงโตสามารถเข้าไปอยู่ ณ ตรงนั้นได้หมดแล้ว มันก็เลย ทำให้มองว่า สิงโตก็จะอยู่คู่กับคนไทยเชื้อสายจีนหรือคนไทยสายมูไปอีกตราวชั่วที่ทุกคนยังไหว้เจ้า ไหว้พระกันอยู่ตลอดไป

กัญญารัตน์ เกรียงไกรรัตน์ : นางพญามังกรหยก สตรีผู้นำคณะสิงโตสามพรานให้เกรียงไกร เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง

ภาพ : จุลดิศ อ่อนละมุน