‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม

‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม

เสวนา ‘ได้’ หรือ ‘เสีย’ เปิดทุกมุมมอง ตอบทุกประเด็น โครงการผันน้ำยวม หวังเป็นเวทีกลางเปิดกว้างพร้อมรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ จากทุกภาคส่วน ทั้งนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากสาขา ตัวแทนจากภาคเกษตรกร พร้อมถ่ายทอดผ่านออนไลน์ให้ประชาชนร่วมรับชมได้อย่างทั่วถึง

กรมชลประทาน จัดงานเสวนา ‘ได้’ หรือ ‘เสีย’ เปิดทุกมุมมอง ตอบทุกประเด็น โครงการผันน้ำยวม ในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลา 10.30 - 12.00 น. ณ หอประชุมชูชาติ กำภู สถาบันพัฒนาการชลประทาน กรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เป็นเวทีกลางในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล หรือโครงการผันน้ำยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ว่าจะสามารถช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยอย่างไร รวมทั้งยังเป็นเวทีในการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน พร้อมทั้งได้มีการตอบข้อห่วงกังวลต่าง ๆ ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ เพื่อได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนและถูกต้อง โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์ให้ประชาชนสามารถร่วมรับชมได้อย่างทั่วถึง 
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม

โดยในเวทีเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และตัวแทนภาคเกษตรกรมาร่วมให้ความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับโครงการนี้ ได้แก่ รศ. ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต, รศ. ดร.บัญชา ขวัญยืน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, รศ. ดร.เดช วัฒนชัยยิ่งเจริญ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยและพัฒนาบูรณาการเกษตรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร, คุณพรชัย กันสิทธิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มพื้นที่เฉพาะและโครงการสำคัญ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และ คุณศรชัย สิบหย่อม ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม

รศ. ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) กล่าวว่า มีการคาดการณ์ว่าอีก 3 - 4 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤตภัยแล้งต่อเนื่องหลายปี อีกทั้งยังมีโอกาสเกิดน้ำท่วมใหญ่ เราต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้น ซึ่งโครงการผันน้ำยวมเป็นอีกหนึ่งแนวทางรับมือจัดการ แต่สุดท้ายต้องกลับมาดูว่าผลผลิตทางการเกษตรที่ได้จากโครงการดังกล่าว ต้องมีการปรับตัวเพื่อให้คุ้มค่ากับการลงทุนมากที่สุด เราต้องมีมาตรการที่จะรองรับความผันผวนของสภาพภูมิอากาศในอนาคต และจะต้องมีการเตรียมตัวเพื่อปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้โครงการผันน้ำจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม
คุณพรชัย กันสิทธิ์ ผู้อำนวยการกลุ่มพื้นที่เฉพาะและโครงการสำคัญ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวถึงนโยบายในการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยว่า เฉลี่ยในแต่ละปีมีการเก็บกักน้ำได้ประมาณ 8.2 หมื่นล้านลูกบาศก์เมตร หรือเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำในแต่ละปี แต่ความต้องการใช้น้ำจริงมีมากกว่านั้น ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา การบริหารจัดการน้ำในช่วงที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าหลายปี โดยการผันน้ำข้ามลุ่มเป็นอีกนโยบายที่จะช่วยให้ประเทศมีความมั่นคงทางด้านน้ำ
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม
รศ. ดร.บัญชา ขวัญยืน อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ที่ได้รับรางวัล ผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านน้ำ ประจำปี 2564 จากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล มีการผันน้ำอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมไม่เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ของน้ำท่า จึงไม่ทำให้สมดุลของน้ำเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ความคุ้มค่าของต้นทุนน้ำที่ผันโดยเฉพาะกับภาคการเกษตรที่ต้องปรับวิธีทำการเกษตรใหม่เพื่อให้ผลผลิตที่ได้มีมูลค่าสูงขึ้น 
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม
คุณศรชัย สิบหย่อม
ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร กล่าวว่า ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่ได้มีการปรับรูปแบบการทำเกษตรกรรมให้เป็นไปตามปริมาณน้ำที่ทางกรมชลประทานแจกจ่ายมาในแต่ละปี เลยมีความคาดหวังว่าเมื่อโครงการผันน้ำยวมแล้วเสร็จจะช่วยให้มีปริมาณน้ำสำหรับทำการเกษตรเพิ่มมากขึ้น

แม้ว่าโครงการนี้จะมีประชาชนที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมมากมาย แต่เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ จึงมีผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาจึงได้มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมทุกด้าน แต่ยังมีประชาชนในพื้นที่บางส่วนได้รับผลกระทบจากโครงการนี้ ซึ่งยังคงมีข้อห่วงกังวลในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรการชดเชยให้กับประชาชนที่สูญเสียที่ดินทำกิน ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของผู้คนที่อยู่อาศัยโดยรอบพื้นที่โครงการที่อาจเปลี่ยนไป ความคุ้มค่าในการลงทุนไปจนถึงความโปร่งใสในเรื่องการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการ
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม
รศ. ดร.เดช วัฒนชัยยิ่งเจริญ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยและพัฒนาบูรณาการเกษตรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงข้อกังวลต่าง ๆ ว่า ได้มีมติคณะรัฐมนตรีชดเชยกรณีที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ในโครงการลักษณะใกล้เคียงกับโครงการผันน้ำยวม ข้อกังวลที่เกิดขึ้นจึงอาจมาจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน ทำให้คนในพื้นที่เกิดความเข้าใจผิด ส่วนในเรื่องผลกระทบกับทรัพยากรทางน้ำนั้น ทางกรมชลประทานได้มีมาตรการต่าง ๆ มารองรับทั้งการเพาะพันธุ์ปลาท้องถิ่นร่วมกับกรมประมง และมีการทำทางผ่านปลาที่ออกแบบให้ปลาเล็กและปลาใหญ่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวก
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม
ร.ต.สงัด สมฤทธิ์ ผู้ประสานงานสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 1 กรมชลประทาน ได้เสริมในเรื่องผลประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่โครงการจะได้รับว่า จากการสำรวจของกรมชลประทาน ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อุโมงค์ผันน้ำและอ่างเก็บน้ำยวม ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการปรับพื้นที่เก็บกองวัสดุจากการขุดเจาะอุโมงค์ ให้คนในพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งจะได้รับประโยชน์ร่วมกับการพัฒนาโครงการ ทั้งในเรื่องถนนและระบบไฟฟ้า นอกจากนี้ยังได้มีการสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนในพื้นที่เรื่องการอนุรักษ์แหล่งน้ำเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม
ทางด้าน คุณชูลิต วัชรสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางโครงการ/บริหารจัดการน้ำ บริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้พูดถึงประเด็นข้อกังวลในเรื่องจะมีการเก็บค่าใช้น้ำจากต้นทุนน้ำที่เพิ่มขึ้นหากโครงการแล้วเสร็จว่า โครงการผันน้ำยวมเป็นการผันน้ำมาพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศที่ได้มีการพัฒนาระบบชลประทานที่สมบูรณ์แล้ว ทำให้ต้นทุนน้ำที่ผันมาต่ำ และมีประสิทธิภาพ โดยมีการใช้น้ำหมุนเวียนหลายครั้ง นอกจากนี้โครงการนี้ยังเป็นสวัสดิการที่ทำเพื่อประชาชน ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดให้รัฐต้องสนับสนุนเกษตรกรได้มีน้ำสำหรับการทำเกษตรกรรม โดยจะไม่มีการเก็บค่าน้ำในส่วนนี้ แต่จะไปเก็บค่าใช้น้ำจากหน่วยงานที่ได้นำน้ำไปจำหน่าย หรือหาประโยชน์แทน
‘กรมชลประทาน’ เปิดเวทีเสวนารับฟังความคิดเห็นโครงการผันน้ำยวม ดร.กนก คติการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร จาก บริษัท ปัญญา คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้ให้ข้อมูลในเรื่องความคุ้มค่าของโครงการผันน้ำยวมว่า ต้องมองในหลายปัจจัย ทั้งในเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่โครงการนี้เป็นโอกาสของประเทศไทยถ้ามีการนำพืชที่มีมูลค่าสูงมาเพาะปลูกในพื้นที่เพิ่มเติม และในเรื่องการเสียโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหากเกิดวิกฤตภัยแล้งยาวนานต่อเนื่องหลายปี ทำให้ไม่สามารถปลูกพืชได้ในช่วงนั้น นอกจากนี้ยังต้องมองไปถึงเรื่องความเสถียรของระบบชลประทานที่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรที่จะทำการเพาะปลูกในแต่ละฤดูได้

สำหรับโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล หรือ โครงการผันน้ำยวม มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำปิง และลุ่มเจ้าพระยา แก้ไขและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ตั้งแต่ด้านท้ายเขื่อนภูมิพลในปัจจุบัน และอนาคต สนับสนุนการสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิตตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) โดยสามารถผันน้ำจากแม่น้ำยวมมาเติมอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลได้เฉลี่ยปีละ 1,795.25 ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมจากผลประโยชน์ด้านการเกษตรได้มากกว่า 17,431 ล้านบาทต่อปี 

รวมทั้งยังสร้างประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมอีกมากมาย ได้แก่

  1. การเพิ่มพื้นที่ในการปลูกข้าวในฤดูแล้ง จำนวนกว่า 1.6 ล้านไร่ แบ่งเป็น กำแพงเพชร 286,782 ไร่ และเจ้าพระยาใหญ่ 1,323,244 ไร่
  2. การผลักดันน้ำเค็มในช่วงฤดูแล้ง ลดค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาน้ำเค็ม
  3. เพิ่มการผลิตพลังงานไฟฟ้า ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนภูมิพลเฉลี่ย 417 ล้านหน่วย/ปี และผลิตพลังงานไฟฟ้าท้ายเขื่อนน้ำยวมได้อีก 46.02 ล้านหน่วย/ปี
  4. สร้างอาชีพการทําประมงในอ่างเก็บน้ำ มีการเพาะพันธุ์ปลาและปล่อยปลา ให้ประชาชนในพื้นที่จับปลาไปบริโภคและสร้างรายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น และ
  5. ด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ขยายระยะเวลาการท่องเที่ยวในพื้นที่ทะเลสาบดอยเต่า ซึ่งปัจจุบันสามารถประกอบกิจการแพท่องเที่ยว เฉพาะในเดือนที่มีน้ำเท่านั้น ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - มกราคม แต่เมื่อมีการผันน้ำจะส่งผลให้สามารถประกอบกิจการได้ตลอดทั้งปี ขณะที่บริเวณเขื่อนน้ำยวม - อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล มีการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจทั้งในส่วนของชุมชนและนักท่องเที่ยว