ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ และนัสรี พุ่มเกื้อ ตัวแทนเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน กล่าวถึงการจัดกิจกรรม “Run2Free | วิ่งเพื่อเสรีภาพ” ว่า “การวิ่งครั้งนี้เป็นการย้ำว่าประชาชนจะยังยืนยันในหลักการและส่งเสียงถึงผู้มีอำนาจว่า ร่างนิรโทษกรรมจะต้องครอบคลุมประชาชนทุกคน ในทุกคดี รวมถึงร่างนิรโทษกรรมจะเป็นร่างใดก็ได้ ขอเพียงให้รวบรวมทุกคน ทุกคดี ไม่มีการละเว้น การวิ่งในกิจกรรม Run2Free ครั้งนี้จึงเป็นการไปบอกผู้มีอำนาจและยืนยันว่าการนิรโทษกรรมจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอีกแล้ว”
            
            
             ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติ “ไม่รับหลักการ” ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมคดีการเมือง ฉบับพรรคประชาชน และฉบับเครือข่ายภาคประชาชน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้พิจารณาอีก 3 ร่าง ซึ่งมีเนื้อหากำหนดเงื่อนไขห้ามนิรโทษกรรมคดีตามมาตรา 112 ส่งผลให้ร่างพระราชบัญญัติ “สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …” ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กลายเป็นร่างหลักในการพิจารณา
        ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติ “ไม่รับหลักการ” ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมคดีการเมือง ฉบับพรรคประชาชน และฉบับเครือข่ายภาคประชาชน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้พิจารณาอีก 3 ร่าง ซึ่งมีเนื้อหากำหนดเงื่อนไขห้ามนิรโทษกรรมคดีตามมาตรา 112 ส่งผลให้ร่างพระราชบัญญัติ “สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …” ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กลายเป็นร่างหลักในการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรได้มีการโหวตไม่รับหลักการว่าด้วยการนิรโทษกรรมคดีการเมืองทุกมาตรา ซึ่งการเคลื่อนไหวของเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนเกิดขึ้น เพื่อสะท้อนเสียงของประชาชนที่ต้องการเห็นการนิรโทษกรรมที่ “ครอบคลุมทุกคดีอย่างแท้จริง” รวมถึงไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ตัดบางคดีออกจากความยุติธรรม โดยเฉพาะคดีมาตรา 110 และ 112 ที่ยังคงมีผู้ถูกคุมขังรอการพิจารณาในชั้นศาล
            
            
             ในวันเดียวกันนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้ลงคะแนนเห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายในร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม 271 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง และพิจารณาต่อในวาระ 3 โดยในที่ประชุมสภาได้มีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข ด้วยเสียงเห็นชอบ 280 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง จากนั้นได้ส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาร่างกฎหมายแบ่งเป็น 3 วาระเช่นเดียวกันกับสภาผู้แทนราษฎร โดยจะต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วันตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 136 หากไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดจะถือว่าวุฒิสภาได้เห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว สำหรับร่างพระราชบัญญัตินี้พบว่าจะไม่นิรโทษกรรมในคดีมาตรา 112 มาตรา 110 และคดีมาตรา 112 ของเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี
        ในวันเดียวกันนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้ลงคะแนนเห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายในร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม 271 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง และพิจารณาต่อในวาระ 3 โดยในที่ประชุมสภาได้มีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข ด้วยเสียงเห็นชอบ 280 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง จากนั้นได้ส่งต่อให้วุฒิสภาพิจารณาร่างกฎหมายแบ่งเป็น 3 วาระเช่นเดียวกันกับสภาผู้แทนราษฎร โดยจะต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วันตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 136 หากไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดจะถือว่าวุฒิสภาได้เห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว สำหรับร่างพระราชบัญญัตินี้พบว่าจะไม่นิรโทษกรรมในคดีมาตรา 112 มาตรา 110 และคดีมาตรา 112 ของเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี
            
            
             บรรยากาศกิจกรรมเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ผู้เข้าร่วมพร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อสีดำ ภายใต้แนวคิด “All Black for Freedom” เพื่อสื่อถึงการรวมพลังของผู้คนที่ยืนหยัดเคียงข้างผู้ต้องขังทางการเมือง แต่ละคนสวมหมายเลข BIB ที่พิมพ์ “ใบหน้าเพื่อนในเรือนจำ” เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ถูกคุมขังทั้ง 57 คน ที่แม้ไม่ได้มาวิ่งด้วยกัน แต่ยังอยู่ในใจของทุกคนตลอดเส้นทาง โดยการวิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 16.00 น. จากสวนจตุจักรมุ่งหน้าสู่รัฐสภา ระยะทางรวมประมาณ 5 กิโลเมตร ก่อนจะปิดท้ายด้วยเวทีพูดคุยและกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อย้ำว่าการคืนความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อสังคมเริ่มต้นจากการ “คืนอิสรภาพให้ทุกคน”
        บรรยากาศกิจกรรมเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ผู้เข้าร่วมพร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อสีดำ ภายใต้แนวคิด “All Black for Freedom” เพื่อสื่อถึงการรวมพลังของผู้คนที่ยืนหยัดเคียงข้างผู้ต้องขังทางการเมือง แต่ละคนสวมหมายเลข BIB ที่พิมพ์ “ใบหน้าเพื่อนในเรือนจำ” เป็นสัญลักษณ์แทนผู้ถูกคุมขังทั้ง 57 คน ที่แม้ไม่ได้มาวิ่งด้วยกัน แต่ยังอยู่ในใจของทุกคนตลอดเส้นทาง โดยการวิ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 16.00 น. จากสวนจตุจักรมุ่งหน้าสู่รัฐสภา ระยะทางรวมประมาณ 5 กิโลเมตร ก่อนจะปิดท้ายด้วยเวทีพูดคุยและกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อย้ำว่าการคืนความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อสังคมเริ่มต้นจากการ “คืนอิสรภาพให้ทุกคน”
            
            
             ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) ระบุว่า ปัจจุบันยังมีผู้ถูกคุมขังในคดีที่มีมูลเหตุจากการแสดงออกทางการเมืองอย่างน้อย 57 คน โดยในจำนวนนี้มีผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีอย่างน้อย 33 คน (คดีมาตรา 112 จำนวน 17 คน และคดีมาตรา 110 จำนวน 5 คน) ผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้วอย่างน้อย 23 คน (คดีมาตรา 112 จำนวน 13 คน) และเยาวชน 1 คนที่ถูกคุมขังในสถานพินิจฯ ตามคำพิพากษาของศาลเยาวชน ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีประชาชนถูกดำเนินคดีทางการเมืองแล้วไม่น้อยกว่า 1,977 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้กฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างต่อเนื่อง
        ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) ระบุว่า ปัจจุบันยังมีผู้ถูกคุมขังในคดีที่มีมูลเหตุจากการแสดงออกทางการเมืองอย่างน้อย 57 คน โดยในจำนวนนี้มีผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีอย่างน้อย 33 คน (คดีมาตรา 112 จำนวน 17 คน และคดีมาตรา 110 จำนวน 5 คน) ผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้วอย่างน้อย 23 คน (คดีมาตรา 112 จำนวน 13 คน) และเยาวชน 1 คนที่ถูกคุมขังในสถานพินิจฯ ตามคำพิพากษาของศาลเยาวชน ขณะเดียวกัน ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีประชาชนถูกดำเนินคดีทางการเมืองแล้วไม่น้อยกว่า 1,977 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้กฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างต่อเนื่อง
            
            
             
        
            
            
             กิจกรรม “Run2Free | วิ่งเพื่อเสรีภาพ” ในครั้งนี้จัดโดยความร่วมมือของภาคประชาสังคมภายใต้ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ได้แก่ iLaw, FreeArts, Amnesty International Thailand, ThumbRights, ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR), Secure Ranger, Human Rights Lawyers Association, แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, DRG, CrCF, คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.), มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.), Tune & Co., สหภาพคนทำงาน และโมกหลวงริมน้ำ ซึ่งร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อยืนยันว่าการเรียกร้องเสรีภาพสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในสนามสังคมและในสนามวิ่ง เพื่อบอกให้สังคมไทยได้ยินว่า “เสรีภาพของเพื่อนเราสำคัญพอที่เราจะยอมเสียเหงื่อให้”
        กิจกรรม “Run2Free | วิ่งเพื่อเสรีภาพ” ในครั้งนี้จัดโดยความร่วมมือของภาคประชาสังคมภายใต้ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ได้แก่ iLaw, FreeArts, Amnesty International Thailand, ThumbRights, ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR), Secure Ranger, Human Rights Lawyers Association, แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, DRG, CrCF, คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.), มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.), Tune & Co., สหภาพคนทำงาน และโมกหลวงริมน้ำ ซึ่งร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อยืนยันว่าการเรียกร้องเสรีภาพสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในสนามสังคมและในสนามวิ่ง เพื่อบอกให้สังคมไทยได้ยินว่า “เสรีภาพของเพื่อนเราสำคัญพอที่เราจะยอมเสียเหงื่อให้”
            
            
             
        
            
            
            