17 ก.ย. 2568 | 10:30 น.
แกร็บ ประกาศเร่งเครื่องเต็มสูบ ผลักดันคนขับที่ให้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชันทำใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะ พร้อมนำรถยนต์-จักรยานยนต์ไปจดทะเบียนเป็นรถรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (รย.18) ตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) อัดอินเซนทีฟ-สิทธิประโยชน์จูงใจคนขับ ประสาน ขบ. ขอทำใบขับขี่-จดทะเบียนนอกเวลาราชการ พร้อมส่งทีมงานช่วยอำนวยความสะดวกทั้งด้านเอกสารและขั้นตอนต่างๆ ที่สำนักงานขนส่งใน 5 จังหวัดหลัก
เผยปัจจุบันมีคนขับในระบบที่มีใบขับขี่สาธารณะพร้อมให้บริการแล้วหลายหมื่นคน ฟากคนขับวอนรัฐบาลใหม่ปรับเงื่อนไขให้เอื้อต่อการจดทะเบียน โดยเฉพาะการผ่อนปรนเรื่องความเป็นเจ้าของรถ ซึ่งจำกัดโอกาสในการสร้างรายได้ แนะพัฒนาระบบจดทะเบียนแบบดิจิทัลเหมือนในต่างประเทศ พร้อมปรับกระบวนการให้ยืดหยุ่นเพื่อช่วยปลดล็อคให้คนขับมาจดทะเบียนได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาปากท้องให้กับคนไทยในช่วงเวลาที่สภาพเศรษฐกิจกำลังซบเซา
จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า “แกร็บได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมคนขับ Grab จดทะเบียนรถรับจ้างสาธารณะผ่านแอป มาตั้งแต่ปี 2565 โดยมุ่งผลักดันให้คนขับที่ให้บริการบนแพลตฟอร์มของเรา ไม่ว่าจะเป็น บริการ GrabCar (รถยนต์) หรือ GrabBike (รถจักรยานยนต์) ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก รวมทั้งประกาศของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ
การทำใบขับขี่สาธารณะ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการขั้นพื้นฐานของการจดทะเบียนเป็นรถรับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาแกร็บได้จัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้คนขับไปทำใบขับขี่สาธารณะและจดทะเบียน รย.18 อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การเปิดรอบพิเศษเพื่อให้คนขับไปยื่นเอกสาร ตรวจประวัติอาชญากรรม เข้าอบรมและสอบข้อเขียน การจัดเจ้าหน้าที่เพื่อให้คำแนะนำด้านเอกสารและอำนวยความสะดวกในทุกขั้นตอนที่สำนักงานขนส่ง โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีคนขับให้บริการเป็นจำนวนมากอย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และขอนแก่น ทั้งยังมีทีมงานจากศูนย์ย่อยของแกร็บ (Mini Grab Center) คอยให้คำแนะนำกับคนขับในจังหวัดอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ เรายังให้อินเซนทีฟและสิทธิประโยชน์อื่นซึ่งมูลค่าสูงสุดถึง 7,000 บาทเพื่อจูงใจให้คนขับเข้าร่วมโครงการ โดยปัจจุบันมีคนขับทั่วประเทศที่มีใบขับขี่สาธารณะแล้วหลายหมื่นคน”
วรวุฒิ วันสูงเนิน คนขับที่ให้บริการเรียกรถผ่านแอป กล่าวว่า “จริงๆ แล้วคนขับส่วนใหญ่ต้องการจดทะเบียนเพื่อเข้าระบบอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถให้บริการผู้โดยสารได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเป็นกังวล แต่ที่ผ่านมาเงื่อนไขและกระบวนการต่างๆ มีความซับซ้อน ทำให้คนขับจำนวนไม่น้อยยังไม่สามารถนำรถไปจดทะเบียนได้ ในฐานะเสียงสะท้อนของคนขับ ผมอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายเวลาในการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็อยากให้มีการทบทวนและปรับเงื่อนไขบางประการเพื่อเปิดทางให้คนขับสามารถให้บริการและหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาแต่ค่าครองชีพกลับสวนทาง ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ”
“หนึ่งในโซลูชันที่จะช่วยแก้ปัญหาให้คนขับและสนับสนุนการทำงานของภาครัฐได้ คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีศึกษาของประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียซึ่งมีความใกล้เคียงในเชิงบริบท โดยกระทรวงคมนาคมของมาเลเซียได้พัฒนากระบวนการจดทะเบียนรถที่จะให้บริการผ่านแอปพลิเคชันโดยใช้ระบบดิจิทัลในทุกขั้นตอน พร้อมปรับกระบวนการต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่นเพื่อส่งเสริมให้คนขับสามารถขึ้นทะเบียนได้ เช่น รหัสประเภทรถ (Vehicle Code) จะไม่ได้ถูกระบุในสมุดคู่มือประจำตัวรถยนต์ แต่ใช้การลงทะเบียนและบันทึกในระบบออนไลน์ของหน่วยงานรัฐ หรือการซื้อขายรถยนต์มือสองจะเป็นไปตามสภาพจริงของรถ โดยพิจารณาจากใบรับประกันการตรวจสภาพรถ (ไม่ใช่มาจากการระบุประเภทรถในสมุดคู่มือประจำตัวรถยนต์) ซึ่งทำให้คนขับกล้านำรถไปจดทะเบียนมากขึ้น”