ป.ป.ท. ร้องทุกภาคส่วนร่วมสู้คอร์รัปชัน สร้างเชื่อมั่นนักลงทุน

ป.ป.ท. ร้องทุกภาคส่วนร่วมสู้คอร์รัปชัน สร้างเชื่อมั่นนักลงทุน

ป.ป.ท. ร่วมเสนอแนวทางแก้ปัญหาคอร์รัปชัน เวที "ลดช่องว่าง ลดทุจริต” ย้ำความร่วมมือรัฐ-เอกชน-ประชาชน ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติสร้างความโปร่งใส ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ

วันที่ 5 ก.ย.2568 ในงานเสวนา “ลดช่องว่าง ลดทุจริต” จัดโดยเนชั่นทีวี นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันสะท้อนมุมมองและแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญของประเทศไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ กล่าวในฐานะตัวแทนภาคเอกชนว่า ปัญหาที่ภาคเอกชนประสบอย่างต่อเนื่องคือการถูกเรียกร้องผลประโยชน์ อุปสรรคสำคัญมาจากการที่กฎหมายมีความซับซ้อนในการขออนุมัติอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจ, การขาดระบบบริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) อย่างแท้จริง ซึ่งการที่แต่ละหน่วยงานต่างรักษาอำนาจของตน และช่องว่างในการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ

ป.ป.ท. ร้องทุกภาคส่วนร่วมสู้คอร์รัปชัน สร้างเชื่อมั่นนักลงทุน
นายพจน์ กล่าวว่า สำหรับนักลงทุนต่างชาติ การจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต้องผ่านด่านอนุมัติอย่างน้อย 6 ด่าน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน และกรมศุลกากร เป็นต้น การที่อำนาจกำกับดูแลถูกแบ่งออกเป็นหลายหน่วยงานทำให้เกิดช่องว่างที่อาจนำไปสู่การทุจริตได้

ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบไปด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย จะเริ่มขับเคลื่อนการต่อต้านทุจริตเชิงรุกตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 และจะเริ่มคิกออฟระยะแรกให้มีการตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของทุกหน่วยงานภายในเดือนต.ค.นี้

"กกร.จะไม่ทน โดยภาคเอกชนยินดีร่วมสนับสนุนเต็มที่ และขอเรียกร้องให้ภาคประชาชนเลิกวัฒนธรรม 'จ่าย จบ ครบ เลิก' หรือการซื้อความสะดวก แล้วปรับเปลี่ยนเป็นจิตสำนึกที่ไม่ยอมต่อการทุจริต" นายพจน์กล่าว

นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการ ป.ป.ท. กล่าวว่า สถานการณ์ทุจริตในปัจจุบันมีวิธีการที่แยบยลขึ้นกว่าในอดีต อย่างไรก็ตาม ป.ป.ท. ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานปราบปรามทุจริตอื่นๆ ทั้ง กองบังคับการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ป.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.) เพื่ออุดช่องโหว่และช่องว่างต่างๆ

ป.ป.ท. ร้องทุกภาคส่วนร่วมสู้คอร์รัปชัน สร้างเชื่อมั่นนักลงทุน
นายภูมิวิศาล เปิดเผยถึงมิติใหม่ของการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเชิงรุก ซึ่งถือเป็นการ “ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม" โดย ป.ป.ท. ได้รับอำนาจใหม่ในการตรวจสอบข้าราชการที่ประพฤติมิชอบ หรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งถือเป็นความผิดทางวินัย โดยสามารถดำเนินการทางวินัยและสั่งย้ายได้ทันที เพื่อยับยั้งการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริต

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติและภาคเอกชน ป.ป.ท. ได้จัดตั้ง "ศูนย์ขับเคลื่อนการบริการภาครัฐสำหรับนักลงทุนและชาวต่างชาติ" (ศบช.) เพื่อรับเรื่องร้องเรียน อีกทั้งภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ป.ป.ท. จะร่วมมือกับกรมที่ดินจัดตั้งศูนย์บริการ One Stop Service ที่สำนักงาน ป.ป.ท. จังหวัดชลบุรี เพื่อดูแลพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะ

"เราต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ และเป้าหมายสูงสุดคือทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายสูงสุดของการลงทุน โดย ป.ป.ท. พร้อมรับเรื่องร้องเรียนแม้ผู้แจ้งไม่ประสงค์จะระบุตัวตน และมีมาตรการคุ้มครองพยานเพื่อความปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจว่าปัญหาความเดือดร้อนจะได้รับการแก้ไข" นายภูมิวิศาลกล่าว

ทั้งนี้ การแก้ปัญหาคอร์รัปชันต้องถูกยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติ (National Agenda) โดยต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ การขับเคลื่อนเรื่องนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ซึ่งมีหน้าที่ในการต่อต้านการทุจริต เพราะหากปล่อยไว้ ปัญหาคอร์รัปชันจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจและสังคม จนอาจกลายเป็นวัฒนธรรมที่เลวร้ายของประเทศได้
ป.ป.ท. ร้องทุกภาคส่วนร่วมสู้คอร์รัปชัน สร้างเชื่อมั่นนักลงทุน