งานสู้ชนะความจน ครั้งที่ 2 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้

งานสู้ชนะความจน ครั้งที่ 2 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้

บพท. ระดมสมองภาคีเครือข่ายนักวิจัยมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ตอบโจทย์รัฐบาลอนุทิน มุ่งแสวงหาคำตอบแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ ภัยความมั่นคงชายแดน และภัยสังคม

การชุมนุมภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศร่วมกับ บพท. ระดมชุดข้อมูลจากงานค้นคว้าวิจัย เสนอชุดคำตอบเชิงนโยบาย ตอบโจทย์ประเทศและตอบสนองนโยบายสำคัญของรัฐบาล พลเอกอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี

ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บรรยายพิเศษสถานการณ์ความยากจนและการสร้างโอกาสเพื่อยกระดับสถานะทางสังคม ในงานสัมมนา “สู้ชนะความจน ครั้งที่ 24 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้ บนฐานบูรณาการข้อมูล เทคโนโลยี และภาคีความสัมพันธ์” ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว

โดยระบุว่า ฐานข้อมูลครัวเรือนยากจนปี 2566 ที่เกิดจากการสังเคราะห์ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงการสอบทานข้อมูลครัวเรือนยากจน โดยคณะวิจัยกว่า 1,000 คน ร่วมกับนักศึกษา 20,000 คน และภาคีเครือข่ายอีก 5,000 ภาคี พบว่ามีจำนวนคนจนรวมกัน 4.37 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.74 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนคนจนสูงที่สุด ร้อยละ 10.45 รองลงมาคือภาคใต้ ร้อยละ 8.32 ภาคกลาง ร้อยละ 7.19 ภาคเหนือ ร้อยละ 6.18 และกรุงเทพมหานครมีสัดส่วนคนจนต่ำสุด ร้อยละ 1.85

ดร.กิตติ รายงานว่า ข้อมูลการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นถึงมูลเหตุแห่งความยากจนในสังคมไทย ได้แก่ ร้อยละ 41 มาจากการขาดเงินออมเนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ร้อยละ 20 มาจากปัญหาหนี้สิน ร้อยละ 17 มาจากการขาดที่ดินทำกิน ร้อยละ 12 มาจากการขาดทักษะด้านอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ และร้อยละ 10 มาจากการเข้าไม่ถึงสวัสดิการจากรัฐ อีกทั้งครัวเรือนยากจนมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซาก

“บพท. ได้ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยและภาคีในพื้นที่ทำงานวิจัยแก้ปัญหาความยากจน ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา และได้ออกแบบโมเดลแก้จนที่สอดคล้องกับบริบทภูมิ-สังคมในพื้นที่ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้แล้วกว่า 200 โมเดล ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้งยังสร้างนักจัดการพื้นที่เพื่อทำหน้าที่วิทยากรให้คำแนะนำแก่ชุมชนในการปรับใช้”

งานสู้ชนะความจน ครั้งที่ 2 พลังปัญญาชนะจน พ้นหนี้ เพิ่มรายได้

โมเดลแก้จนดังกล่าวถูกนำไปใช้ในหลายจังหวัด อาทิ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง กาฬสินธุ์ เลย นครราชสีมา อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด ลำปาง พิษณุโลก และแม่ฮ่องสอน

ดร.กิตติ กล่าวต่อว่า ผลจากการดำเนินงานวิจัยแก้จนอย่างต่อเนื่อง ยังนำไปสู่การก่อเกิดกองทุนแก้จนกว่า 40 กองทุน ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำปาง มุกดาหาร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร ยโสธร ชัยนาท พัทลุง อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา ปัตตานี และยะลา รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์วิจัยแก้จนขึ้นใน 3 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี พัทลุง และยะลา

นอกจากนี้ ภาคีเครือข่ายนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ยังร่วมกันเสนอแนวนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชน รวมถึงแก้ปัญหาภัยพิบัติ ภัยความมั่นคงชายแดน และภัยสังคม เสนอต่อรัฐบาลรวม 9 ประการ ได้แก่

  1. กำหนดให้ปัญหาความยากจนเป็นวาระแห่งชาติ และมีกลไกระดับชาติขับเคลื่อนต่อเนื่อง
  2. มีกลไกความร่วมมือระดับจังหวัดแก้ไขปัญหาแบบองค์รวม
  3. พัฒนาระบบคัดกรองและชี้เป้าครัวเรือนยากจน โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลจากหลายแหล่งให้เป็นเอกภาพ
  4. ให้อุดมศึกษาในพื้นที่เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการข้อมูลเพื่อออกแบบมาตรการแก้จนเชิงรุก
  5. แก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำผ่านแพลตฟอร์มระดับจังหวัด
  6. มีกลไกส่งต่อความช่วยเหลือคนจนทุกระดับ
  7. สนับสนุนองค์กรปกครองท้องถิ่นให้เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดทำยุทธศาสตร์แก้จน
  8. สนับสนุนให้นายอำเภอติดตามในระดับอำเภอ และบรรจุเป็นนโยบายศูนย์ขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย อย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
  9. สร้างนโยบายเชิงรุกด้านสวัสดิการมุ่งเป้าครอบคลุมทุกมิติ

พร้อมกันนี้ นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 16.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ 90.6 ซึ่งหากเกิน 80% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์อันตราย

ทั้งนี้ แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะมีแนวโน้มลดลง แต่ปัญหาแท้จริงยังไม่หายไป เนื่องจากรายได้ของครัวเรือนยังไม่เพียงพอ ทำให้ต้องกู้ยืมเพิ่ม ภาระหนี้จึงทับถมต่อเนื่อง รายได้ไม่สัมพันธ์กับหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ครัวเรือนจำนวนมากต้องแบกภาระดอกเบี้ยสูง

“จากข้อมูลภูเขาหนี้ของคนช่วงอายุ 30–49 ปี พบว่ามีการใช้จ่ายด้วยการซื้อก่อนไทยทีหลัง จนกลายเป็นหนี้เสียรวมกว่า 1.25 ล้านล้านบาท คิดเป็นบัญชีหนี้เสียร้อยละ 12.7”