25 มิ.ย. 2568 | 23:34 น.
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้มีความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ วิกฤติสุขภาพโลก
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ กระทรวงการคลังจึงเป็นกลไกหลักที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจไทย
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หัวใจหลักของการแก้ปัญหาประเทศและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งทางการเงินทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ หากเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีประชาชนมีความมั่งคั่งจะส่งผ่านมาที่รัฐบาลเพิ่มฐานการจัดเก็บภาษี และลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจได้
สำหรับบทบาทของกระทรวงการคลังในการเตรียมความพร้อมประเทศให้มีความพร้อมรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในอนาคต 6 ปัจจัย ดังนี้
กระทรวงการคลังถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทในการปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญในการพัฒนาประเทศ ระบบภาษีที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้รัฐบาลมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่จำเป็น
นอกจากนี้ การออกแบบระบบภาษีที่เป็นธรรมยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการกระจายรายได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาภาษีเงินได้ติดลบ หรือ “NIT”เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการเก็บภาษี ควบคู่ไปกับการปรับปรุงการให้สวัสดิการกับผู้มีรายได้น้อย
การควบคุมระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของกระทรวงการคลัง ที่ดำเนินการผ่านคณะกรรมการนโยบายการเงินกรคลังของรัฐ และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) โดยต้องคำนึงถึงดุลยภาพระหว่างการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาวินัยทางการคลัง ซึ่งการบริหารหนี้สาธารณะที่มีประสิทธิภาพจะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและตลาดการเงิน
ขณะเดียวกันการระดมทุนผ่านตราสารหนี้และพันธบัตรรัฐบาลเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจระยะยาว เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ และสร้างรากฐานมั่นคงสำหรับการเติบโตในอนาคต
สำหรับการเพิ่มเพดานหนี้่สาธารณะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ระดับไม่เกิน 70% ของจีดีพีเพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นข้อเสนอของภาคเอกชนที่เสนอให้เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ขณะที่จากภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น กระทรวงการคลังที่มีหน่วยจัดเก็บรายได้และกรมภาษี จำเป็นที่จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง เช่น เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ การเก็บภาษีจากเศรษฐกิจดิจิทัล
รวมทั้ง เพื่อให้รัฐมีฐานรายได้ที่มั่นคงและเพียงพอต่อการใช้จ่ายในอนาคต ซึ่งประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ที่จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง จนกระทบรายได้ของรัฐบาลในอนาคต จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และภาษีมากขึ้น
กระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการการสร้างระบบประกันภัยทางเศรษฐกิจเพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการและประชาชนในกรณีเกิดภัยพิบัติหรือวิกฤตการณ์ทางการเงิน โดยกระทรวงการคลังสามารถกำหนดนโยบายให้กับหน่วยงานในสังกัดคือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมการทำประกันภัยของประชาชน
ทั้งนี้จะช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งอาจกระทบกับสถานะทางการเงินของครัวเรือน หรือกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมได้ ทั้งนี้การการทำประกันภัยจะช่วยลดความเสี่ยง และเป็นการส่งเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบเศรษฐกิจสามารถรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังมีบทบาทในการสนับสนุนให้มีการตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว โดยสนับสนุนมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจในการออม
การลงทุนระบบการศึกษาและการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการเตรียมความพร้อมของแรงงานสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต กระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัล
รวมทั้งบทบาทนี้ยังเป็นการส่งเสริมการสร้างงานในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยี AI และเศรษฐกิจดิจิทัล จะช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว โดยที่ผ่านมามามีมาตรการทางภาษีในการลดหย่อนภาษีเมื่อมีการอบรมเพิ่มทักษณะของแรงงานให้มีทักษะเพิ่มขึ้นก็สามารถยื่นขอลดหย่อนภาษีและหักค่าใช้จ่ายได้
กระทรวงการคลังมีหน้าที่สำคัญในการปรับนโยบายการคลังให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ การใช้นโยบายการคลังแบบยืดหยุ่น (Flexible Fiscal Policy) จะช่วยให้รัฐบาลสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงที
ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติทีหลายมาตรการ ที่อยู่ในความเช่น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ การลดภาษี หรือการให้เงินอุดหนุนแก่ภาคธุรกิจและประชาชน จะช่วยบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน การลดการใช้จ่ายในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวเกินควร จะช่วยป้องกันภาวะเงินเฟ้อและการเกิดฟองสบู่ทางเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเตรียมแผนรองรับกรณีเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่แน่นอน โดยจะมีบทบาทจัดหาแหล่งเงินกู้ฉุกเฉินในรูปแบบพระราชกำหนด หรือกฎหมายพิเศษเพื่อใช้ในยามจำเป็น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจสะดุดจากแรงกระแทกโดยไม่จำเป็น โดยในอดีตได้เคยมีการออกกฎหมายเงินกู้โดยให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขและฟื้นฟูวิกฤต เช่น วิกฤติมหาอุทกภัยปี 2554 และวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563-2564