30 มิ.ย. 2566 | 10:19 น.
The Momentum ร่วมกับ SF Cinema จัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์สุดคลาสสิกเรื่อง ‘รักแห่งสยาม’ พร้อมเสวนาหัวข้อ ‘Empower Your Pride’ ที่ชวนถกประเด็นความหลากหลายทางเพศในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ทั้งในแง่อดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต รวมถึงประเด็นความเท่าเทียมทางเพศของคนในกองถ่ายทำภาพยนตร์ เพื่อเฉลิมฉลองในเทศกาล Pride Month
โดย ‘รักแห่งสยาม’ ถือเป็นภาพยนตร์ไทยไม่กี่เรื่อง ที่เล่าถึงความรักของเพศเดียวกันอย่างตรงไปตรงมา ทั้งการยอมรับ เคารพ และแสดงออกในอัตลักษณ์และรสนิยมทางเพศของตนเอง
สำหรับบรรยากาศภายในงานกิจกรรม ณ โรงภาพยนตร์เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ คับคั่งไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผู้เข้าร่วมงาน โดยเฉพาะกลุ่ม Miss and Mister Surgery Thailand 2022 ที่แต่งตัวจัดเต็ม พลางโบกสะบัดธงรุ้งสร้างสีสันได้เป็นอย่างดี ก่อนที่วงสนทนาจะเกิดขึ้นเมื่อ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์รักแห่งสยาม, จีน-ธัญวรัตน์ สมบัติวัฒนา ตัวแทนสหภาพแรงงานสื่อสร้างสรรค์ และครูธัญ-ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ว่าที่สมาชิกผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล ได้ขึ้นเวทีมาแบ่งปันเรื่องราวและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาข้างต้น
ประเด็นเสวนาแรกว่าด้วยการเปรียบเทียบบริบทการทำสื่อกับความหลากหลายทางเพศในช่วงสร้างภาพยนตร์เรื่องรักแห่งสยาม ชูเกียรติเล่าว่า ช่วงเวลาดังกล่าวการนำเสนอความหลากหลายทางเพศผ่านงานภาพยนตร์ ยังทำด้วยความยากลำบากและการตอบรับจากผู้รับชมแตกเป็นสองเสียง แต่ปัจจุบัน สื่อสามารถนำเสนอ ‘คู่จิ้น’ หรือที่นิยมเรียกว่า ‘คู่วาย’ ได้มากขึ้น มิหนำซ้ำยังสร้างมูลค่าให้แก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย จนอาจกล่าวได้ว่าสังคมเปิดรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น
ต่อมาสปีกเกอร์ทั้งสามคนช่วยกันให้ความเห็นในประเด็นที่ว่า เพราะเหตุใดซีรีส์วายจึงยังมีความหลากหลายไม่มากพอ เช่น ในแง่ของเนื้อเรื่องและตัวบทที่มักนำเสนอในแง่มุมและประเด็นเดิมๆ และมักใช้นักแสดงนำที่เป็นผู้ชายตรงเพศที่ตรงตามบรรทัดฐานความงามในสังคม ซึ่งส่งผลไปถึงภาพจำของผู้มีความหลากหลายทางเพศไปสู่สังคมเพียงไม่กี่แบบ โดยผู้กำกับเรื่องรักแห่งสยามให้เหตุผลว่า เพราะการสร้างภาพยนตร์แต่ละเรื่องต่างยึดโยงทุนสร้างและมูลค่าการตลาด ฉะนั้น เนื้อเรื่องแบบใดที่ขายได้ก็จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ เพราะตอบโจทย์ทั้งในแง่บทและนักแสดง อย่างไรก็ดี ธัญวัจน์อธิบายว่า ความลื่นไหลทางเพศในภาพยนตร์อาจไม่เท่ากับชีวิตจริง พร้อมตั้งคำถามกลับถึงค่านิยมมาตรฐานความงามในวงการสื่อว่าถ้าหากกะเทยไม่สวย ผู้ชายไม่หล่อ จะเป็นนักแสดงนำได้หรือไม่
สมาชิกผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล อธิบายถึงสาเหตุของปัญหาข้างต้นว่า ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะภาครัฐไม่ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเท่าที่ควร ทำให้คนผลิตสื่อมีรายได้ไม่พอเลี้ยงปากท้องจนต้องหันหน้าพึ่งพางบประมาณสนับสนุนจากเอกชน
ประเด็นต่อมาคือแนวโน้มการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยควบคู่กับความหลากหลายทางเพศในอนาคต ชูเกียรติมองว่า ภาพยนตร์ที่มีชาว LGBTQIA+ รับบทนำ ควรถูกจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกับภาพยนตร์แนวอื่น ไม่ว่าจะดรามา แอ็กชัน พีเรียด ฯลฯ เพื่อไม่ให้เกิดความแปลกแยก และความเป็นจริงคือวงการสื่อล้วนขับเคลื่อนด้วยผู้มีความหลากหลายทางเพศมาตลอดทั้งในส่วนเบื้องหลังและผู้บริหาร แต่พวกเขาต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อพิสูจน์ตนเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
ประเด็นสุดท้าย ในส่วนนโยบายการพัฒนาสวัสดิภาพชีวิตคนทำงานกองถ่าย ธัญวรัตน์เสนอว่ามี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. สนับสนุนให้คนทำงานมีชีวิตที่ดีเพื่อที่จะได้สร้างสรรค์ผลงานอย่างเต็มที่และออกมาได้ดีมากขึ้น
2. การพัฒนาบุคลากรในวงการ เพื่อสนับสนุนงบประมาณในการผลิต และเปิดโอกาสให้ผลงานใหม่ๆ มีการทดลองสร้างมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโนยบายการสนับสนุน Soft Power
3. สร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดความเข้าใจและเข้าถึง เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้เรื่องการเคารพทรัพย์สินทางปัญญา
นอกจากนี้ ตนและพรรคก้าวไกลยังพร้อมนำเสนอนโยบายที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมที่โอบรับคนทุกประเภทอย่างสง่าผ่าเผย