“จับปลาให้น้อย แต่ได้เงินมาก” ชุมชนม่องล่าย จ.ประจวบฯ กับบทเรียนความยั่งยืน

“จับปลาให้น้อย แต่ได้เงินมาก” ชุมชนม่องล่าย จ.ประจวบฯ กับบทเรียนความยั่งยืน

เมื่อ “จับปลาน้อยลงแต่ได้เงินมากขึ้น” กลายเป็นคำตอบใหม่ของความยั่งยืน บทเรียนจากม่องล่าย ที่เปลี่ยนการอนุรักษ์ให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจและศักดิ์ศรีของชุมชน

KEY

POINTS

ระหว่าง ปูท้อง 3 ตัว กับเงิน 3,000 บาท จะเลือกอะไรดี?

นี่คือคำถามที่ชาวประมงม่องล่ายเคยเผชิญ เมื่อครั้งจับปลาได้จำนวนหนึ่ง กับปูท้องอีก 3 ตัว 

เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่ชุมชนแห่งนี้เลือกที่จะเปลี่ยนคำถาม จาก “จับหรือปล่อย” เป็น “ทำอย่างไรให้ไม่ต้องเลือก”

คำตอบที่พวกเขาพบ ไม่ได้อยู่ใน ‘ทะเล’ แต่อยู่บน ‘โต๊ะอาหาร’

ทะเลคืออนาคต 

“ทะเลคืออะไร?”  คำถามเสียงดังเจือน้ำเสียงจริงใจของ ‘จำเริญ นาคนงนุช’ ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านชุมชนม่องล่าย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เล่นเอาเราตั้งตัวไม่ทัน เพราะตั้งใจไปทำหน้าที่ ‘คนถาม’ แต่กลับโดน ‘คนตอบ’ ตั้งคำถามกลับ 

ระหว่างที่เราอึกอัก ไม่รู้จะตอบยังไง พี่จำเริญชิงตอบคำถามนั้นเองว่า 

“สำหรับผม ทะเลคืออนาคต” 

หลังจากนั้นจึงขยายความต่อว่า “เด็กทุกคนใน 23 จังหวัดที่อยู่ติดชายทะเล พ่อแม่หากินกับทะเล อนาคตของลูกก็เหมือนพ่อแม่”

เขาเชื่อมั่นว่า ถึงแม้อาชีพประมงจะเหนื่อย แต่ทุกงานก็ล้วนมีความเหนื่อยเหมือนกัน 

“งานไหนไม่เหนื่อยบ้าง งานบริษัทก็เหนื่อย งานราชการถ้านายไม่รักก็เหนื่อย แต่งานแบบนี้(ประมง) มันไม่เหนื่อยใจ งานทะเลเป็นงานอิสระ เราไม่เป็นลูกจ้างใคร ถ้ามีเรือของตัวเอง” 

“จับปลาให้น้อย แต่ได้เงินมาก” ชุมชนม่องล่าย จ.ประจวบฯ กับบทเรียนความยั่งยืน

นี่คือเสน่ห์ของอาชีพที่ทำให้พี่จำเริญมีแนวคิดว่า ทะเลคืออนาคต “แล้วถ้าเราไม่ดูแลอนาคตของเราให้มันดี เด็กจะทำยังไง”

เมื่อชาวประมงเป็น ‘นายธนาคาร(ปู)’

กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรประมงม่องล่าย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2555 มีสมาชิก 84 คน จากครัวเรือนชาวประมงทั้งหมด 200 กว่าครัวเรือน การรวมตัวกันนี้เกิดจากความเข้าใจที่ว่า ถ้าไม่ดูแลทะเลตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้อาจจะไม่มีปลาให้จับ

‘สายพิณ ภู่ระย้า’ ประธานชุมชนวัย 45 ปี ที่ออกเรือมาตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบ เธอรู้ดีว่าทะเลเปลี่ยนไปมากแค่ไหน นั่นจึงเป็นที่มาให้ชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรในพื้นที่อย่างสุดกำลัง หนึ่งในนั้นคือการเกิดขึ้นของ ‘ธนาคารปู’ 

“ถ้าไม่มีธนาคารปู ปูก็จะหายากขึ้น แต่พอเรามีธนาคารปูขึ้นมา เราก็หาปูได้ทุกปี” พี่สายพิณกล่าว

แนวคิดของธนาคารปูคือการนำแม่ปูมาเพาะแล้วปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ เพื่อให้มีปูอย่างต่อเนื่อง โดยต้องเป็นแม่ปูที่อยู่ในระยะเหมาะสมตามวงจรชีวิต

หลังจากมีธนาคารปู ชาวบ้านสามารถมีรายได้ตลอดทั้งปี ไม่เหมือนในอดีต ที่ชาวประมงต้องกลับเข้าฝั่งโดยไม่มีปูติดมือมา

แต่เป้าหมายของธนาคารปูไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ในระยะยาว ชาวประมงที่จับได้แม่ปู ต้องเลือกปล่อยบางส่วนคืนสู่ทะเลด้วยตัวเอง เพื่อให้ปูขยายพันธุ์ต่อไป 

นอกจากรายได้แล้ว ชุมชนยังได้รับความสนใจจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่พาคนมาดูงานเรื่อย ๆ ทำให้ชุมชนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลที่โดดเด่น

“จับปลาให้น้อย แต่ได้เงินมาก” ชุมชนม่องล่าย จ.ประจวบฯ กับบทเรียนความยั่งยืน

ไม่ใช่แค่ธนาคารปู ชุมชนชาวประมงแห่งนี้ยังมี ‘โครงการบ้านปลา’ ซึ่งเป็นการสร้างบ้านปลาจากไม้ไผ่และยางรถยนต์ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือปลาชุกชุมมากขึ้น ขณะที่ชาวบ้านก็เห็นคุณค่าและร่วมกันดูแลต่อเนื่อง 

เมื่อคนนอกมองเห็นสิ่งที่คนในมองข้าม

‘ดรณภา สุกกรี’ หรือที่คนในชุมชนเรียกอย่างสนิทสนมว่า ‘พี่ดาว’ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร ‘แมสต์ ฮิวแมน’ (MAST Human) มองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในชุมชนม่องล่าย 

ด้วยความที่ แมสต์ ฮิวแมน เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมแบบไม่แบ่งปันผลกำไร เพื่อการปกป้องผู้เปราะบางและทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล การได้พบกับชุมชนม่องล่าย พี่ดาวจึงมองว่า “นี่คือโอกาส”

“ที่นี่เป็นชุมชนที่อยู่ในอำเภอเมือง(ประจวบคีรีขันธ์)ก็จริง แต่ไม่เหมือนอำเภอเมืองที่อื่น ที่อื่นในเมืองจะเจริญ แต่ที่นี่เหมือนโดนมองข้าม”

พี่ดาวสังเกตว่า “คนในชุมชนนี้ก็เกินความคาดหมาย เขาดูแลทรัพยากร เป็นชุมชนประมงที่มีความชาเลนจ์แบบเมืองระดับนึง แต่เขาก็รวมกันได้ ทำให้เราเกิดความประทับใจ”

สิ่งที่พี่ดาวมองเห็นคือ “ความที่เขาอยู่ในเมือง การสนับสนุนที่เขาได้รับ บางทีก็น้อยกว่าที่ที่อยู่ห่างไกล เลยมองว่ามันเป็นช่องว่างเล็ก ๆ ที่เราน่าจะช่วยเติมเต็มได้”

แนวคิดของ แมสต์ ฮิวแมน ไม่ใช่การเข้าไปช่วยเหลือแบบให้เปล่า แต่เป็นการให้ ‘กำลังใจ’ และ ‘สนับสนุน’ ในสิ่งที่ชุมชนทำอยู่แล้ว “เราอยากจะให้กำลังใจเพื่อให้เขาไม่หมดกำลังใจ เพราะชุมชนม่องล่ายต่อสู้โดยที่คนอื่นไม่เห็น เขาทำของเขาเงียบ ๆ ทุกคนทำมาเป็น 10 ปีแล้ว เราเป็นคนนอกที่มองเห็น แล้วก็อยากให้เขาทำต่อ”

“จับปลาให้น้อย แต่ได้เงินมาก” ชุมชนม่องล่าย จ.ประจวบฯ กับบทเรียนความยั่งยืน

บทเรียนจาก ‘ความไม่ยั่งยืน’

ก่อนมาที่ชุมชนม่องล่าย พี่ดาวเคยช่วยหาเงินสนับสนุนธนาคารปูที่อีกชุมชนหนึ่งมาก่อน แต่พบว่าเพียงไม่นานเงินก้อนนั้นก็หมดลง เพราะน้ำหนักปูลดลง

“ปัญหาคือเมื่อซื้อแม่ปูมาไว้ที่ธนาคารปู พอนำแม่ปู(ที่ไข่ฟักแล้ว) ไปขาย น้ำหนักปูก็หายไป จุดนี้แหละที่ทำให้เรารู้ว่าทำแบบนี้จะไม่ยั่งยืน ให้เงินไปเท่าไหร่ก็หมด จึงต้องคิดหาวิธีจนกว่าธนาคารปูจะรันต่อไปได้โดยไม่ต้องไปขอเงินใคร” 

คำตอบที่พี่ดาวค้นพบคือ การสร้างธุรกิจที่ทำให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืนเป็นของตัวเอง 

จับปลาให้น้อยลง แต่รายได้ต้องมากขึ้น

พี่ดาวขยายความว่า “เขาสามารถสร้างรายได้ทางเลือกได้ เป็นรายได้เสริมนอกจากการทำประมง โดยที่ธุรกิจใหม่ต้องไม่กระทบกับวิถีการทำประมงของเขามากจนเกินไป ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องเลิกงานเก่าเพื่อมาทำอันนี้”

แนวคิดสำคัญของพี่ดาวคือ “ทุกครั้งที่ทำเรื่องการอนุรักษ์ เรื่องของชาวประมง พี่มีความรู้สึกว่า ชาวประมงต้องจับปลาน้อยลง แต่รายได้ต้องมากขึ้น”

แล้วจับปลาให้น้อยลงรายได้มากขึ้น จะทำได้อย่างไร? 

“แต่ด้วยเศรษฐกิจตอนนี้ คนก็ไม่อยากซื้อของแพงโดยมีข้ออ้างเรื่องความยั่งยืน หรือสิ่งแวดล้อม มันเป็นไปไม่ได้ในยุคนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องหารายได้เสริมจากสิ่งที่เขามี

“บางชุมชมเขาบอกว่า หมู่บ้านเขาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ แต่ที่ม่องล่ายเขาบอกว่า ไม่ได้ สิ่งที่เขาชอบคือ อาหาร” 

“จุดเด่นของที่นี่คืออาหารทะเลสดใหม่และราคาถูกกว่าที่อื่น” พี่สายพิณยืนยัน บวกกับความพิเศษอีกอย่างคือคนที่นี่ไม่ใช้สารเคมีในการถนอมอาหาร “เพราะว่าเราก็กินเอง เราก็ไม่ชอบของที่ใช้สารเคมี มันมีผลกระทบต่อร่างกาย” พี่สายพิณอธิบายถึงความใส่ใจในคุณภาพอาหารที่นำมาขาย

จากไอเดียสู่ Chef's Table

เมื่อผ่านการพูดคุยกับคนในชุมชนที่ภูมิใจในการนำเสนอ ‘อาหาร’ พี่ดาวจึงได้ไอเดียที่อาจสร้างชื่อชุมชนม่องล่ายให้ดังไกลไปถึงอีกซีกโลก นั่นคือการทำ catering และ chef's table

“เขาทำได้ดีในเรื่องความสดอยู่แล้ว แล้วเขาก็พรีเซ็นต์อาหารได้ดี คือเขามีความจริงใจในเรื่องของตัววัตถุดิบ ถ้าไม่สดเขาไม่อยากให้เรา มันมีความจริงใจตรงนี้ เขาก็จะทำอาหารอร่อยในแบบของเขา” พี่ดาวเล่าให้เห็นภาพ เพื่อแชร์ไอเดียการเผยแพร่วัฒนธรรมการกินในแบบชาวม่องล่าย 

พี่ดาวเล่าถึงงานแรกที่ทดลองเชิญแขก 25 คน มารับประทานอาหารที่ชุมชน ปรากฏว่าผลลัพธ์เกินความคาดหมาย “เขาทำได้ดีมาก วันนั้นทุกคนประทับใจในเรื่องของความสด ความสะอาด ความใส่ใจ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า เขามี potential”

“จับปลาให้น้อย แต่ได้เงินมาก” ชุมชนม่องล่าย จ.ประจวบฯ กับบทเรียนความยั่งยืน

ข้อตกลงสู่ความยั่งยืน

หลังจากเห็นศักยภาพ พี่ดาวได้คุยกับชุมชน ตกลงกันไว้ว่าถ้ามีรายได้เสริมลักษณะนี้เข้ามา 10% ของรายได้ จะต้องเข้ากองทุนธนาคารปู

พี่ดาวคิดคำนวณว่า “สมมติถ้าเรามากิน 3,000 บาท จะมีเงิน 300 บาทเข้ากองทุน แทนที่จะรอเงินบริจาค เราเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้ ชาวบ้านก็มีรายได้ มีความภูมิใจว่าเขาสามารถที่จะทำเองได้” 

สิ่งสำคัญคือ “ต้องเป็นเรื่องของชุมชนอย่างแท้จริง เราจะไม่ไปก้าวล่วง แต่จะช่วยในสิ่งที่เรามี”

แมสต์ ฮิวแมน ช่วยเหลือในสองเรื่องหลัก ประการแรกคือ know-how ในเรื่องการทำธุรกิจ โดยเฉพาะสถานที่ สุขอนามัย สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ การจัดการอาหารเหลือ ฯลฯ ประการที่สองคือ การช่วยหาพาร์ทเนอร์

พี่ดาวเล่าอย่างตื่นเต้นว่า “เราได้ Master Chef จาก Master Chef World ของสเปน ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Master Chef มาช่วย เพราะเขาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเช่นกัน”

แผนการคือ “เขาจะมาเยี่ยมชุมชน แล้วจะครีเอทเมนูอาหารจากวัตถุดิบที่ชุมชนมีกลายเป็นเมนูเฉพาะให้กับม่องล่าย แล้วม่องล่ายต้องสอนเขาว่าเมนูอาหารของพวกเขาคืออะไร แล้วอันนี้จะเป็นรายการออกทีวีของ Master Chef World”

วัตถุประสงค์ทั้งหมดเพื่อให้เกิด ‘การตามรอย’  

งานที่ Master Chef จะมานี้ไม่ใช่มาเพื่อชุมชนเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการการกุศลใหญ่ที่รวบรวมนักการกุศล นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้วอยากจะทำอะไรเพื่อสังคม “เราจะพาคนเหล่านี้มาประมาณ 30 คน ขับรถมาดูโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทยว่า ประเทศไทยก็มีโครงการที่ทำให้เกิด social impact เหมือนกัน”

ม่องล่ายถูกเลือกเป็น 1 ใน 2 จุดหมายปลายทาง “ม่องล่ายกับบางนางรมเป็น 2 แห่งที่เราเลือก ในงานนี้ Master Chef จะใช้ชื่อเสียง สื่อในมือเขา ช่วยกันไฮไลท์อีเวนต์นี้ขึ้นมาให้คนเห็นว่ามีชุมชนแบบนี้ เพื่อให้มีการตามรอยกัน” 

คาดว่าที่เล่ามานี้จะเกิดขึ้นในช่วงกุมภาพันธ์ ปี 2569 

บทสรุป

การเชื่อมโยงธุรกิจด้านอาหารเข้ากับการอนุรักษ์ทะเล ผ่านข้อตกลงที่รายได้ 10% จะเข้ากองทุนปลูกป่าชายเลน เป็นตัวอย่างของการสร้างความยั่งยืนแบบเป็นระบบ การนำ Master Chef ระดับโลกมาสร้างเมนูพิเศษ ไม่เพียงแต่ยกระดับมาตรฐาน แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักชุมชนในวงกว้าง สร้างโอกาสในการ ‘ตามรอย’

พี่ดาวสรุปแนวคิดทั้งหมดง่าย ๆ ว่า “แค่ทำให้เขาเห็น แล้วให้เขาทำต่อ ความยั่งยืนก็คือการที่เขาทำต่อนั่นแหละ”

นี่คือตัวอย่างของการพัฒนาชุมชนแบบยั่งยืน ที่ไม่ได้มาจากการบอกว่าชุมชนต้องทำอย่างไร แต่มาจากการรับฟัง การมองเห็น และการร่วมกันสร้างทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชน

และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อ Master Chef จากสเปนและนักการกุศล 30 คนจากทั่วโลกมาถึง ชุมชนม่องล่ายจะไม่ใช่แค่หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนที่โลกจะได้เห็นและ ‘ตามรอย’

 

สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า