‘ไมเคิล เบรกเกอร์’ ไททันแห่งเทเนอร์แซ็กโซโฟน

‘ไมเคิล เบรกเกอร์’ ไททันแห่งเทเนอร์แซ็กโซโฟน

‘ไมเคิล เบรกเกอร์’ ไททันแห่งเทเนอร์แซ็กโซโฟน ผู้ร้อยเรียงพลังวินัยเข้ากับจิตวิญญาณแห่งการทดลอง จนก่อรูปเป็นหนึ่งในเสียงดนตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของศตวรรษ เขาเติบโตจากบ้านที่อบอวลด้วยเสียงเครื่องดนตรี สู่นักแซ็กโซโฟนผู้ยกระดับมาตรฐานแจ๊สร่วมสมัย ด้วยการเดินทางที่ผสานพรสวรรค์ ความเพียร และแรงผลักดันที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อความธรรมดา

KEY

POINTS

เรื่องราวการเดินทางของ ‘ไมเคิล เบรกเกอร์’ (Michael Brecker 1949–2007) นับเป็นอีกหนึ่งมหากาพย์ของนักดนตรีที่มุ่งมั่นแสวงหาและมีวินัยอย่างสูงสุด เขาก้าวข้ามขีดจำกัดทางเทคนิคของเทเนอร์แซ็กโซโฟน ไปสู่สถานะของ ‘ไททัน’ ผู้กำหนดมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการแจ๊สร่วมสมัย

ชีวิตของเขาคือบทเรียนที่บอกเราว่า อัจฉริยภาพที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มาจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่มาจากรากแก้วแห่งชีวิตที่แข็งแกร่ง และแรงขับเคลื่อนที่ไม่ยอมจำนนต่อความธรรมดา

เสียงดนตรีไหลเวียนในสายเลือดของตระกูลเบรกเกอร์ สืบทอดมาตั้งแต่คุณปู่ที่เป็นนักร้อง และคุณตาที่เป็นนักไวโอลิน โดยมีผู้สร้างสภาพแวดล้อมทางดนตรีอันเข้มข้น คือ ‘บ๊อบบี เบรกเกอร์’ ผู้เป็นพ่อ ซึ่งถึงแม้จะมีอาชีพเป็นนักกฎหมาย แต่ก็ยังเป็นนักเปียโนที่เปี่ยมด้วยรักในดนตรี ขณะที่คุณแม่ ‘ซิลเวีย’ เป็นทั้งนักเปียโนและจิตรกร

บ้านที่เมืองเชลเทนแฮม เพนซิลวาเนีย จึงมีสภาพไม่ต่างจากห้องทดลองและห้องซ้อมที่มีเครื่องดนตรีหลายชนิดตั้งอยู่ทั่วห้องนั่งเล่น บ๊อบบี จัด Jam Session เป็นประจำ ไมเคิล จึงเติบโตมาภายใต้บรรยากาศที่มีดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

‘แรนดี เบรกเกอร์’ ผู้เป็นพี่ชายและนักทรัมเป็ต คือมาตรฐานแรกที่ ไมเคิล พยายามไล่ตาม แรนดี ช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ เริ่มจากการทดลองซ้อมดนตรีในห้องน้ำ เพื่อใช้เสียงสะท้อน (Echo) ในการสร้างมิติใหม่ ๆ ให้แก่ดนตรี หรือแนะนำเทคนิคอันชาญฉลาด ในการใช้ ‘ถังขยะทองคำ’ (ถังขยะโลหะสีทองในห้องนั่งเล่น) ให้เป็นห้องรีเวิร์บส่วนตัว เพื่อฟังสำเนียงของตัวเอง

ในวัยเยาว์ ไมเคิล เริ่มต้นจากคลาริเน็ต เคยพยายาม ‘ทรานสไครบ์’ ท่อนโซโลของ ‘จิมมี กุฟเฟร’ (Jimmy Giuffre) แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้น เมื่อ ‘วินซ์ ทรอมเบตตา’ (Vince Trombetta) ครูสอนแซ็กโซโฟนได้สังเกตเห็นบางอย่างที่ไม่ธรรมดา จึงแนะนำให้ ไมเคิล เปลี่ยนไปเล่นเทเนอร์แซ็กโซโฟน 

นี่คือคำทำนายที่แม่นยำเกี่ยวกับเส้นทางในอนาคต  เมื่อได้เครื่องดนตรีคู่ใจอย่าง เทเนอร์ แซ็กโซโฟน มาอยู่ในมือ วินัยของ ไมเคิล ก็พุ่งทะยานสู่ระดับที่ไม่ธรรมดา เขาผ่านตำราฝึกหัด อย่าง Labanchi และ Bossi-Clavello Studies ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความมุมานะที่เพื่อนร่วมวงการต่างลงความเห็นว่า เป็น ‘วินัยที่บ้าคลั่ง’ 

ตำราเหล่านี้เป็นแบบฝึกหัดทางเทคนิคขั้นสูง (Advanced Technical Etudes) ที่ใช้สำหรับเครื่องเป่าลมไม้ (Woodwind Instruments) เน้นการฝึกฝนความคล่องแคล่วของนิ้ว (Fingering Dexterity) และความแม่นยำในการใช้ลิ้น (Tonguing Accuracy) ซึ่งต้องอาศัยการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงและสม่ำเสมอ การที่ ไมเคิล สามารถ ‘ผ่าน’ แบบฝึกหัดเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว จึงบ่งบอกถึงรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับการด้นสด (Improvisation) ที่ไร้ขีดจำกัดในอนาคต

และแล้ว... การตัดสินใจอุทิศทั้งชีวิตให้แก่ดนตรีก็ถูกผนึกไว้ในคืนเดียว!

คืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ปี 1966 ไมเคิล ได้ร่วมชมคอนเสิร์ตของ ‘จอห์น โคลเทรน’ (John Coltrane) ที่มหาวิทยาลัยเทมเปิล (Temple University) สำหรับเด็กหนุ่มวัย 17 ปี ประสบการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นการ ‘ตื่นรู้’ ทางจิตวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตไปตลอดกาล เขาบรรยายถึงดนตรีของโคลเทรนว่า “ทรงพลังทางอารมณ์... มีคุณภาพทางจิตวิญญาณ ลึกลับ มืดมิด แต่สวยงามอย่างหรูหรา” 

การเผชิญหน้ากับความยิ่งใหญ่นี้เอง ไมเคิล ได้ค้นพบ ‘การเรียกขาน’ (a calling) ผ่านดนตรีของ จอห์น โคลเทรน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา การเป็นนักแซ็กโซโฟนก็คือพันธกิจเดียวในชีวิตของเขา

ห้องทดลองในยุคลอฟต์แจ๊ส

ไมเคิล เบรกเกอร์ ตัดสินใจเดินทางมายังมหานครนิวยอร์กในปี 1969 นั่นเป็นเวลาสองปีหลังจากที่ จอห์น โคลเทรน นักดนตรีผู้เป็นแรงบันดาลใจสูงสุดได้จากโลกไป (กรกฎาคม 1967) ทว่า จิตวิญญาณแห่งดนตรีของ โคลเทรน ยังปรากฏในทุกร่องรอยของถนนทุกสายในนิวยอร์ก

ไมเคิล ก้าวเข้าสู่บรรยากาศทางดนตรีที่เข้มข้นของ ‘ลอฟต์แจ๊ส’ (Loft Jazz) ซึ่งในเวลานั้นเป็นเสมือนขบวนการใต้ดินทางดนตรีที่เกิดขึ้นในช่วงราวปี 1970–1975 กระแสนักดนตรีแจ๊สรุ่นใหม่ต่างมองหาพื้นที่ทดลองใน ‘ลอฟต์’ หรือโกดังเก่าที่ว่างเปล่า ในย่านอุตสาหกรรมราคาถูกของแมนฮัตตัน สถานที่เหล่านี้เปิดโอกาสให้นักดนตรีสามารถสร้างสรรค์งานได้ โดยไม่มีข้อจำกัดเชิงพาณิชย์ นี่คือสภาวะแห่ง ‘อิสรภาพทางดนตรี’ ที่สมบูรณ์แบบ สำหรับศิลปินที่ต้องการทดลองแนวทางดนตรีใหม่ ๆ ทั้งฟรีแจ๊ส (Free Jazz) และ ฟิวชั่น (Fusion) 

ไมเคิล เช่าลอฟต์ในย่านเชลซีไว้เป็นพื้นที่สำหรับการซ้อมดนตรีแบบมาราธอน เขาถูกจดจำในฐานะนักดนตรีที่มีวินัยเหล็ก โดยเพื่อนร่วมงานมักจะเล่าขานว่า เขา “ฝึกซ้อมเหมือนปีศาจอยู่ตลอดเวลา”

นักแซ็กหนุ่มแบ่งการศึกษาออกเป็นสองมิติเพื่อความเชี่ยวชาญสูงสุด ด้านหนึ่งคือมิติทางวิชาการเพื่อการประพันธ์ และอีกด้านเป็นมิติทางเทคนิคขั้นสูง เขาศึกษา Schillinger System เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบดนตรีเชิงระบบ ทำความเข้าใจรากฐานการประพันธ์ในเชิงวิชาการ และอีกด้านหนึ่ง เขามุ่งเน้นพัฒนาทักษะการเล่นให้ไร้ข้อบกพร่อง โดยเรียนกับ ‘โจ อัลลาร์ด’ (Joe Allard) อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับปรุงเทคนิคการใช้ลิ้น และลดความตึงเครียด (tension) 

ด้วยความมุ่งมั่นนี้ ทำให้ ไมเคิล หลอมรวมสำเนียงที่ดูขัดแย้งกันให้เป็นสไตล์ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งความซับซ้อนเชิงฮาร์โมนีแบบ จอห์น โคลเทรน, ความดุดันในแบบ ‘โจ เฮนเดอร์สัน’ (Joe Henderson) และความยืดหยุ่นทางจังหวะของศิลปิน R&B อย่าง ‘คิง เคอร์ทิส’ (King Curtis) 

การก้าวสู่แสงไฟ

ในปี 1970 ไมเคิล ร่วมก่อตั้งวง ‘ดรีมส์’ (Dreams) วงดนตรีแจ๊ส-ร็อกที่บุกเบิกการผสมผสานดนตรีอย่างกล้าหาญ โดยมี ‘แรนดี เบรกเกอร์’ และ ‘บิลลี ค็อบแฮม’ (Billy Cobham) เป็นสมาชิก วงนี้กำเนิดขึ้นจากความจำเป็นทางยุคสมัยที่ดนตรีร็อกกำลังได้รับความนิยมอย่างสูง และนักดนตรีแจ๊สต้องการแนวทางการหลอมรวมอย่างชาญฉลาด ไมเคิล มีบทบาทสำคัญในฐานะ ‘อาวุธลับสุดยอด’ ผู้เติมเต็มความซับซ้อนและจินตนาการทางโซโลที่เหนือชั้น

ต่อมาในปี 1975 หลังจากการสลายตัวของ Dreams ไมเคิล และ แรนดี ยกระดับความสำเร็จด้วยการก่อตั้ง The Brecker Brothers วงนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ครอสโอเวอร์ (crossover hit) จากซิงเกิล ‘Sneakin’ Up Behind You’ ที่โดดเด่นด้วยเสียงเทเนอร์แซ็กที่เฉียบคม ผสมผสานกับไลน์ทรัมเป็ตที่แม่นยำของแรนดี จนเกิดเป็นซาวด์ Funk-Fusion ที่เข้มข้นและรัดกุมอย่างเหลือเชื่อ

เทเนอร์ไททันในกระแสหลัก

นอกเหนือจากบทบาทในวงดนตรีของตนเองแล้ว ไมเคิล ก้าวสู่สถานะ ‘first-call session player’ (นักดนตรีรับจ้างระดับแถวหน้า) ที่ถูกเรียกตัวมากที่สุดในนิวยอร์ก ผลงานของเขาครอบคลุมทุกแขนงดนตรี ความสามารถในการสร้าง Solo สั้น ๆ ที่สมบูรณ์แบบในเพลงป๊อป/ร็อก ทำให้เขากลายเป็นผู้กำหนดมาตรฐานใหม่ของยุคสมัยไปโดยปริยาย

การทำงานในเซสชันเหล่านี้ ทำให้เสียงแซ็กของเขาสามารถเข้าถึงผู้คนจำนวนมหาศาล ไลน์โซโลของเขาในเพลง ‘Don't Let Me Be Lonely Tonight’ (James Taylor, 1972) หรือในเพลง ‘Still Crazy After All These Years’ (Paul Simon, 1975) ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบทเพลงที่มีการบรรเลงโซโลที่ดีที่สุด เท่าที่เคยถูกส่งผ่านเข้าสู่ชีวิตประจำวันของคนอเมริกัน ซึ่งเป็นการยืนยันว่า การด้นสดของเขาสามารถสร้างสรรค์ ‘อัญมณีแห่งท่วงทำนอง’ ได้ แม้ในเพลงป๊อปที่ถูกจำกัดด้วยเงื่อนเวลา

ไมเคิล ยังมีส่วนร่วมในการบันทึกเสียงอัลบั้มชิ้นสำคัญของ ‘สตีลี แดน’ (Steely Dan) อย่าง Gaucho (1980) ซึ่งเป็นงานที่ต้องการความสมบูรณ์แบบทางเทคนิคและฮาร์โมนีในระดับสูง รวมถึงการทำงานกับ ‘บรู้ซ สปริงสทีน’ (Bruce Springsteen) ในอัลบั้ม Born to Run (1975) และกับ ทอดด์ รันด์เจรน (Todd Rundgren) ในอัลบั้ม Something/Anything? (1972) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นทางดนตรีของเขา

บทบาทของเขาในฐานะผู้สร้าง Horn Section ที่มีพลัง เป็นสิ่งที่วงดนตรี Funk/Soul ยุคบุกเบิกขาดไม่ได้ เขาร่วมงานกับ ‘เจมส์ บราวน์’ (James Brown) ในอัลบั้ม Get on the Good Foot (1972) และมีบทบาทสำคัญในเพลงของ Parliament และ Average White Band (AWB) ซึ่งทำให้สุ้มเสียงแบบ Funk-Fusion ของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการเพลงเต้นรำในยุคนั้น แม้แต่ในช่วงปลาย เขาก็ยังคงสร้างสรรค์ผลงานในเพลง R&B/Pop อย่าง ‘Candy’ ของ Cameo และ ‘Cherish Forever More’ ของ ‘Ashford & Simpson’

ความสามารถที่โดดเด่นทำให้เขาได้รับความไว้วางใจให้ร่วมงานกับศิลปินหลากหลายแนว ตั้งแต่การเล่นให้วงร็อก อย่าง ‘แอโรสมิธ’ (Aerosmith) ในอัลบั้ม Get Your Wings (1974) ไปจนถึงนักร้องระดับตำนานอย่าง ‘ไดอานา รอสส์’ (Diana Ross) และการบันทึกเสียงร่วมกับ ‘แฟรงค์ สินาตรา’ (Frank Sinatra) ภายใต้การเรียบเรียงของ ‘ควินซี โจนส์’ (Quincy Jones)

ไมเคิล เบรกเกอร์ หลอมรวมความสุดยอดทางเทคนิคจากโลกแจ๊ส ไปสู่การสร้างสรรค์ความไพเราะและเสน่ห์ในโลกของดนตรีป๊อปอย่างไม่มีใครเทียบได้

จุดหักเหในชีวิต

แม้ภายนอก ไมเคิล เบรกเกอร์ จะดูเป็นนักดนตรีผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงยุค 1970s ที่มีงานสตูดิโอเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แต่เบื้องหลังความเร่าร้อนของดนตรีฟิวชั่น มีความจริงอันมืดมิดที่กลืนกินเขาไปพร้อม ๆ กับศิลปินแจ๊สอีกหลายคน ในช่วงเวลานั้น ไมเคิล เริ่มใช้เฮโรอีน 

ทั้งนี้ แรงจูงใจในการใช้ยาเสพติดนั้นค่อนข้างซับซ้อน เพื่อนร่วมวงอย่าง ‘วิลล์ ลี’ (Will Lee) เล่าว่า ไมค์ เคยเรียกเฮโรอีนว่าเป็น ‘โน้ตตัวที่แปดที่สมบูรณ์แบบ’ (perfect eighth notes) มันไม่ใช่เรื่องของการมึนเมาอย่างเดียว แต่เป็นความเชื่อที่ว่ายาเสพติดช่วยให้เขาสามารถรักษาสมาธิอันสูงลิ่วและลดความกังวลจากการฝึกซ้อมอย่างหนักลงได้ 

การเล่นแซ็กโซโฟนอย่างรุนแรงและยาวนานในวงที่มีเครื่องดนตรีไฟฟ้าเสียงดัง อย่าง Dreams ทำให้เขาต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บทางกายภาพ คือโรคกล่องเสียงแตก (herniated larynx) เป็นอาการบาดเจ็บของกล่องเสียงจากแรงดันลมขณะเป่า จนต้องเข้ารับการผ่าตัดในปี 1973 และต้องใช้สายรัดคอ (Velcro support belt) บรรเทาอาการในระหว่างการแสดง สุขภาพกายที่ทรุดโทรมจากการฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง และความบกพร่องทางเคมีจากการเสพติด ทำให้ชีวิตของเขาต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่

จุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตเกิดขึ้นในปี 1981 เมื่อ ไมเคิล ตัดสินใจเข้ารับการบำบัดที่ Palm Beach Institute แรงผลักดันที่เด็ดขาดมาจากความจริงของชีวิต เขายอมรับกับตัวเองว่า “ถ้าผมเลิกยาไม่ได้... ผมก็จะต้องเลิกเล่นดนตรี" สำหรับชายผู้ค้นพบ ‘การเรียกขาน’ ผ่านดนตรีของ โคลเทรน การต้องเลิกเล่นดนตรีจึงเป็นจุดต่ำสุดที่เขาต้องเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ

การกลับมาของ ไมเคิล หลังการบำบัดนั้น มีความน่าทึ่งยิ่งกว่าทักษะทางเทคนิคของเขา การกลับมาพร้อมสมาธิที่เข้มข้น และ ‘เป็นอิสระ’ (liberated) มากกว่าเดิม แต่สิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่าคือการเปลี่ยนตัวเองจาก ‘ผู้ป่วย’ ไปเป็น ‘ผู้ให้’ ไมเคิล กลายเป็นผู้ให้คำปรึกษาและสปอนเซอร์ให้แก่เพื่อนนักดนตรีคนอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาเรื่องยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็น ไมค์ สเทิร์น (Mike Stern), เดวิด แซนบอร์น (David Sanborn) หรือแม้กระทั่ง เจมส์ เทย์เลอร์ (James Taylor) ศิลปินชื่อดังที่เขาเคยร่วมงานด้วย

ยุคแห่งความเป็นผู้นำ

หลังจากก้าวข้ามเงามืดได้สำเร็จในช่วงต้นยุค 1980s ไมเคิล เบรกเกอร์ กลับมาพร้อมวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม นำพาเขาเข้าสู่การเป็นผู้นำวงและนักประพันธ์เพลงอย่างเต็มตัว

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง ในฐานะนักดนตรีรับจ้างและสมาชิกวง The Brecker Brothers แต่ ไมเคิล ไม่เคยรีบร้อนที่จะออกอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง เขามองว่า “การแต่งเพลงไม่เคยเป็นสิ่งที่ผมชอบเลยเมื่อผมเริ่มเป็นนักดนตรีอาชีพ”  แต่ความจำเป็นในการสร้างสรรค์ดนตรีสำหรับวงพี่ชายและวิสัยทัศน์ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เขาเริ่มหันมาศึกษาการประพันธ์ดนตรีอย่างจริงจัง

เขาเลือกเรียนกับ ‘เอ็ดการ์ด กรานา’ (Edgar Grana) ซึ่งเป็นนักทฤษฎีดนตรีและนักเรียบเรียงเพลง ที่ไม่ใช่นักดนตรีแจ๊สโดยตรง เพราะต้องการเข้าใจหลักการประพันธ์เพลง (Compositional Principles) อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะด้านการประสานเสียง (Harmonization) และการเรียบเรียงสำหรับวงดนตรีขนาดใหญ่ (Arrangement for Large Ensemble) ไมเคิล พบว่าการประพันธ์เพลงเป็น ‘งานฝีมือ’ ที่ต้องอาศัยการทำงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งแตกต่างจากการด้นสด (Improvisation) ที่เขาเชี่ยวชาญ

ในที่สุด ในปี 1987 ขณะอายุ 37 ปี และอยู่ในช่วงเวลาที่โฟกัสที่สุดของชีวิต เขาเปิดตัวอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในชื่อ Michael Brecker ผลงานที่สะท้อนถึงวุฒิภาวะทางดนตรีที่สมบูรณ์แบบของเขา

นวัตกรรม EWI และการขยายขอบเขตทางเสียง

ในช่วงเวลาเดียวกัน ไมเคิล ได้ค้นพบเครื่องดนตรีชิ้นใหม่ที่เปิดโลกทัศน์ทางเสียงของเขาให้กว้างขึ้น นั่นคือ EWI (Electronic Wind Instrument) เครื่องดนตรีเป่าอิเล็กทรอนิกส์ ที่ทำงานด้วยการเปลี่ยนลมหายใจและการใช้นิ้วของผู้เล่นให้เป็นสัญญาณดิจิทัล (MIDI) ซึ่งสัญญาณนี้จะไปสั่งงานซินธิไซเซอร์ (Synthesizer) ให้สร้างเสียงได้หลากหลายชนิดอย่างไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นเสียงไวโอลิน เสียงเครื่องสายบรรเลง หรือแม้แต่เสียงจากอวกาศ การใช้ EWI จึงทำให้ไมเคิลสามารถควบคุม ‘ออร์เคสตราส่วนตัว’ ด้วยการเป่าแซ็กโซโฟนเพียงเครื่องเดียว

ไมเคิลไม่ได้เพียงแค่เล่น EWI แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกและพัฒนาเครื่องมือนี้ร่วมกับผู้ผลิต (Steinerphone/Akai) เขาใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และทักษะการโซโลมาประยุกต์ใช้ในการสังเคราะห์เสียง (sound design) เขามองว่า EWI เปรียบเสมือน ‘การเล่นในระบบเทคนิคคัลเลอร์แทนที่จะเป็นขาวดำ’ มันทำให้เขามีความสามารถในการขยายขอบเขตและทำสิ่งอื่นที่เทเนอร์แซ็กโซโฟนแบบอะคูสติกทำไม่ได้ และช่วยลดแรงกดดันทางกายภาพจากการเล่นแซ็กโซโฟนอย่างหนักหน่วงด้วย 

ความอยากรู้อยากเห็นทางดนตรีของเขาไม่เคยหยุดนิ่ง เขายังได้ศึกษา ‘ดนตรีงานแต่งบัลแกเรีย’ (Bulgarian wedding music) ซึ่งเป็นภาษาดนตรีที่มีจังหวะและทำนองที่ซับซ้อนเฉพาะตัว เพื่อนำมาปรับใช้ในงานประพันธ์และสำเนียงการโซโล่ของเขา 

แรงบันดาลใจสำคัญมาจากผลงานของ อีโว ปาปาซอฟ (Ivo Papasov) นักคลาริเน็ตชาวบัลแกเรีย ผู้เป็นตำนานแห่งดนตรีงานแต่งยุคหลังคอมมิวนิสต์ ที่โดดเด่นด้วยจังหวะซับซ้อนแบบ 7/8, 9/8 และ 11/8 ผสมผสานโหมดตะวันออกกลาง (microtonal modes) กับพลังการด้นสด 

เสียงดนตรีของปาปาซอฟ ซึ่งทั้งดิบ เฉียบ และมีชีวิตชีวา ได้เปิดโลกทัศน์ให้ ไมเคิล เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของการ ‘พูด’ ด้วยเครื่องเป่าที่ไม่ถูกจำกัดด้วยระบบตะวันตกแบบดั้งเดิม เขานำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในโซโล่ที่มีโครงสร้างจังหวะซับซ้อนและการเลื่อนสำเนียง (metric displacement) ที่กลายเป็นลายเซ็นในยุคหลังของเขา

การพัฒนาแนวทางการโซโลและการลดความซับซ้อน

เป็นที่ยอมรัยบว่า อิมโพรไวเซชันของของ เบรกเกอร์ นั้นโดดเด่นด้วย ‘ความรู้สึกทางสถาปัตยกรรม’ (sense of architecture) เป็นการสร้างโซโลที่ “สมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์” ไม่ใช่แค่การเล่นโน้ตจำนวนมากอย่างไร้ทิศทาง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังของชีวิต ไมเคิล ได้เริ่มค้นหาวิธีการเล่นแบบใหม่ที่เน้นความเรียบง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากบันทึกเสียงอัลบั้ม Nearness of You: The Ballad Book (2001) เขาพยายาม “พูดด้วยโน้ตที่น้อยลง” เพื่อให้แต่ละโน้ตมีน้ำหนักมากขึ้น และพยายามเล่นในแบบ ‘แนวนอน’ (horizontal) มากกว่า ‘แนวตั้ง’ (vertical) ซึ่งเป็นการเดินทางกลับสู่แก่นแท้ของทำนองเพลง

ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกที่ ไมเคิล มีต่ออิทธิพลทางดนตรีก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เมื่อ โจ เฮนเดอร์สัน นักแซ็กโซโฟนอีกคนกล่าวหาว่า เบรกเกอร์ ‘ขโมยสำนวน’ ในการโซโล่ ทำให้ เบรกเกอร์ วิตกกังวลและกลับไปวิเคราะห์การเล่นของตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สำเนียงที่คล้ายคลึงกันมากเกินไป โดยเขาแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยการให้เกียรติ โจ เฮนเดอร์สัน ในทุกบทสัมภาษณ์ เป็นการเยียวยาความรู้สึกผิดของตนเอง

ปฏิสัมพันธ์กับนักดนตรี และวงการดนตรีสู่ความสำเร็จ

แม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ (genius) ผู้ปฏิวัติวงการเทเนอร์แซ็กโซโฟน แต่สิ่งที่เพื่อนร่วมงานของ ไมเคิล เบรกเกอร์ จดจำได้มากที่สุดคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เกินจริง  ไมเคิล มักจะถ่อมตัวอย่างมากจนถึงขั้น "ตำหนิตัวเอง" (self-deprecation) แม้ว่าเขาจะบรรเลงโซโลออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมก็ตาม

เดวิด แซนบอร์น นักแซ็กโซโฟนชื่อดังที่ร่วมงานกับเขามาอย่างยาวนาน ถึงกับกล่าวอย่างติดตลกว่า “บางครั้งผมไม่เชื่อเลย! การดูถูกตัวเองและความสามารถของเขาเกือบจะเป็นอาการทางประสาทเลยทีเดียว” 

ไมเคิล มักจะเลือกนักดนตรีที่ ‘ผลักดันเขา’ ให้ก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นมือกลองอย่าง เจฟ์ ‘เทน’ วัตต์ส (Jeff ‘Tain’ Watts) ที่นำพาพลังงานใหม่ ๆ เข้ามาในวง หรือความร่วมมือกับศิลปินระดับตำนาน อย่าง ‘เฮอร์บี แฮนค็อก’ (Herbie Hancock), ‘แจ็ค เดอจอห์นเน็ตต์’ (Jack DeJohnette) และ แพท เมธินี ซึ่งแต่ละคนต่างก็เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ที่เด่นชัดในดนตรีแจ๊สร่วมสมัย

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000s ไมเคิล ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเป็นนักประพันธ์เพลงและผู้นำวง ด้วยการบุกเบิกงานวงใหญ่ผ่านอัลบั้ม Wide Angles (2003) อัลบั้มนี้ใช้การประสมวงแบบ ควินเดกเทท (Quindectet วงดนตรีขนาด 15 ชิ้น) และได้รับรางวัลแกรมมี สาขา Best Large Jazz Ensemble Album แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านการประพันธ์ที่ซับซ้อนและน่าทึ่งของเขา

ทว่า ในปี 2004 ชีวิตของไททันผู้นี้ก็ถูกท้าทายด้วยโรคร้าย เมื่อเขาได้รับการวินิจฉัยว่า เป็น Myelodysplastic Syndrome (MDS) ซึ่งต่อมานำไปสู่ลูคีเมีย แม้จะเป็นคนที่ไม่ชอบเปิดเผยเรื่องส่วนตัว แต่ ไมเคิล ตัดสินใจเปิดเผยอาการป่วยของตนเองสู่สาธารณะเพื่อรณรงค์การบริจาคไขกระดูกทั่วโลก 

สำหรับ ไมเคิล การตัดสินใจนี้เป็นไปเพื่อ “เพิ่มจำนวนผู้บริจาค ซึ่งจะเพิ่มความเป็นไปได้ที่คนอื่น ๆ จำนวนมากจะได้พบผู้บริจาคที่มีศักยภาพสำหรับพวกเขา” 

มรดกสุดท้ายและชัยชนะทางจิตวิญญาณ

ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ไมเคิล ได้บันทึกอัลบั้มชุดสุดท้ายที่มีชื่อว่า Pilgrimage (2007)  ในปี 2006 ขณะที่ร่างกายอ่อนแอมากจนแทบจะเดินไม่ได้ และต้องใช้ยาแก้ปวดอย่างหนัก เขาใช้พละกำลังเหนือมนุษย์ในการบรรเลงแซ็กโซโฟน ทำให้เพื่อนร่วมงานต่างมองว่า นี่คือปาฏิหาริย์

เมื่อตกตะลึงในพลังที่เหลือล้นในการเล่นดนตรีที่ยังคงเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและสมาธิอันเข้มข้น แพท เมธินี ซึ่งอยู่ในห้องอัดในเวลานั้น กล่าวติดตลกว่า "โอ้โห เพื่อน นายแค่ล้อเล่นกับพวกเรา นายไม่ได้ป่วยจริง ๆ หรอก" 

ในช่วงการต่อสู้กับโรคร้าย เฮอร์บี แฮนค็อก ได้แนะนำให้เขาเริ่มฝึกสวดมนต์ในพุทธศาสนาแบบ Nichiren ซึ่งทำให้เขาพบ ‘จุดมุ่งหมายอื่นในชีวิต’ และสามารถเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นพันธกิจในการดำรงชีวิตได้อย่างสง่างาม 

อัลบั้ม Pilgrimage ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘หนึ่งในบทอวสานที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ดนตรีสมัยใหม่’ และได้รับรางวัล Grammy สองรางวัลหลังมรณกรรม

ไมเคิล เบรกเกอร์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2007 การจากไปของเขาถูกเปรียบเทียบกับ ‘ความรู้สึกเมื่อ Trane เสียชีวิต’ โดย ‘แดร์ริล พิทท์’ (Darryl Pitt) ผู้จัดการส่วนตัว ได้สรุปชีวิตของเขาในพิธีรำลึก (Town Hall Memorial) ไว้อย่างกินใจ 

“เมื่อไมค์หายใจเฮือกสุดท้าย พวกเราขอปรบมือให้... เป็นการสดุดีการสิ้นสุดของชีวิตที่ใช้ชีวิตได้อย่างยอดเยี่ยมเกินกว่าใคร” และกล่าวต่อว่า “... ไมค์เชี่ยวชาญในวิถีแห่งชีวิต แล้วสงครามสองปีครึ่ง (กับโรคร้าย) ก็ได้สิ้นสุดลง” 

ไมเคิล เบรกเกอร์ ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้กำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับนักเทเนอร์แซ็กโซโฟนในยุคต่อมา ผู้หลอมรวม ‘อัจฉริยภาพ’ และ ‘ความเป็นมนุษย์’ เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: Getty Images

 

ที่มา:

- Milkowski, Bill. Ode to a Tenor Titan: The Life and Times and Music of Michael Brecker. Backbeat Books, 2021.