15 ส.ค. 2568 | 16:00 น.
KEY
POINTS
“ผมจะสร้างวงดนตรีที่ดุดันยิ่งกว่า Metallica”
นี่คือคำกล่าวของ ‘เดฟ มัสเทน’ (Dave Mustaine) ชายผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากวงเมทัลแถวหน้าอย่าง ‘Metallica’ จนได้มาก่อตั้งวงดนตรีแทรชเมทัล (Thrash Metal) ที่มีความดุดัน ดนตรีที่หนักแน่น และโหดเหี้ยม อย่าง ‘Megadeth’ วงดนตรีที่ได้รับการยอมรับอย่างล้นหลามจากเพื่อนร่วมวงการและเหล่าแฟนเพลง จนยกย่องให้เป็นหนึ่งใน ‘Big 4’ ของวงการแทรชเมทัลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกดนตรีแทรชเมทัลและสปีดเมทัล
ด้วยบุคลิกและภาพลักษณ์ที่มีผมยาวสีบลอนด์ เสียงร้องที่แหบและกวนในเวลาเดียวกัน พร้อมกับสะพายกีตาร์ทรง ‘Flying V’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเขาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เห็นเพียงแวบเดียว ก็สามารถรู้ได้ว่านี่คือ ‘เดฟ มัสเทน’ ชายผู้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องวีรกรรมสุดบ้าบิ่นในอดีตของเขา
แต่เบื้องหลังเรื่องราวในชีวิตของเขาก่อนที่จะมาเป็นผู้ก่อตั้งวงแทรชระดับตำนานอย่าง Megadeth เรื่องราวชีวิตของเขาเต็มไปด้วยขวากหนามที่คอยขวางทาง แต่ด้วยความไม่ย่อท้อ ทำให้เขาสามารถผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมา จนได้ก่อตั้งวงดนตรีที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความคับแค้น และตั้งปณิธานกับตนเองว่าจะต้อง ‘แก้แค้น’ ให้ได้
เดฟ มัสเทน เติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน เขาต้องย้ายที่อยู่บ่อย ๆ เนื่องจากพ่อของเขามีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัวและติดสุราอย่างหนัก จนต้องหย่าร้างกับแม่ในตอนที่เขามีอายุเพียง 4 ขวบ เดฟขาดความอบอุ่นจากครอบครัว ด้วยร่างกายที่ผอมแห้งแรงน้อย เขามักจะถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนและถูกล้อเลียนปมด้อยอยู่เสมอ
เมื่อเดฟเรียนจบชั้นประถมฯ แม่ของเขาจึงซื้อกีตาร์โปร่งราคาถูกเป็นของขวัญ เดฟฝึกซ้อมกีตาร์จากโน้ตเพลงที่ยืมมาจากน้องสาว และเริ่มฝึกซ้อมมาเรื่อย ๆ เมื่ออายุได้ 13 ปี เขาได้ตั้งวงดนตรีของตัวเองขึ้นเป็นเวลาสั้น ๆ กับเพื่อน และมันก็ทำให้เดฟได้รู้จักกับศิลปินที่จะทำให้ตัวเขาเริ่มเข้าสู่การเป็นร็อกสตาร์อย่างจริงจัง อย่าง ‘Kiss’ และ ‘Led Zeppelin’
เดฟได้ฝึกซ้อมกีตาร์อย่างหนัก จนทำให้เขาพัฒนาทักษะการเล่น และยังทำให้การถูกกลั่นแกล้งของเขาลดน้อยลงไปด้วย ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ใช่เด็กผอมแห้งแรงน้อยที่โดนกลั่นแกล้งอีกต่อไป แต่เป็นไอ้หนุ่มร็อกเกอร์ผมยาวสีบลอนด์ที่ไม่น่าเข้าไปแหยมด้วยเสียเท่าไหร่นัก และภาพลักษณ์ที่ดูดุดันของชาวร็อก มันต้องมีสิ่งมึนเมาและอบายมุขเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ซึ่งในช่วงเวลานี้เอง ที่ทำให้เขาเริ่มดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักและถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ จนตัวเองหันไปใช้ยาเสพติด
จนถึงปี 1978 เดฟในวัย 17 ปี เขาได้ก่อตั้งวงดนตรีที่ชื่อว่า ‘Panic’ โดยทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์ แม้ว่าสมาชิกในวงจะตั้งใจในเส้นทางนักดนตรีอาชีพอย่างจริงจัง แต่พวกเขากลับใช้เวลาในการปาร์ตี้มากกว่าการเขียนเพลง จนเมื่อวันหนึ่ง พวกเขาปาร์ตี้กันอย่างหนักเหมือนกับทุกครั้ง แต่เมื่อพอถึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เดฟก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อ ไมค์ เลฟวิช (Mike Leftwych) มือกลองและซาวนด์เมเนเจอร์ของวง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นผลมาจากการปาร์ตี้เมื่อคืนที่ผ่านมา สมาชิกทุกคนในวงที่ได้ทราบเรื่องนี้ ก็เกิดอาการตื่นตระหนกและเสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของเพื่อนร่วมวง จนสุดท้ายต้องยุบวงไปในปี 1981
ในขณะเดฟที่อยู่ในสถานะนักดนตรีที่ไม่มีวง เขาได้บังเอิญเห็นประกาศในหนังสือพิมพ์นิตยสารท้องถิ่นที่ชื่อ ‘The Recycler’ มักจะมีการประกาศตามหาคนมาร่วมทำงาน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการตามหานักดนตรีมาร่วมวง ซึ่งในนิตยสารฉบับนั้นที่เดฟกำลังอ่านอยู่ มีประกาศตามหานักดนตรี โดยประกาศนั้นมีข้อความว่า
“พวกเราคือวงดนตรีอเมริกา เรากำลังมองหามือกีตาร์เฮฟวี่เมทัล เพื่อเตรียมตัวออกทัวร์ในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยคุณสมบัติจะต้องมีผมยาว ร้องและแต่งเพลงได้ มีความเป็นมืออาชีพ หากสนใจ สามารถส่งเทปบันทึกเสียง รูปภาพ และประวัติมาได้ทางที่อยู่ที่ระบุไว้”
แต่สิ่งที่ทำให้เดฟสนใจมากกว่านั้นคือ ในประกาศได้ระบุไว้ว่าทางวงเล่นเพลงของศิลปินอย่าง Iron Maiden, Diamond Head นั่นจึงทำให้เดฟตัดสินใจติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ในประกาศ และได้นัดหมายที่อยู่เพื่อทำการออดิชัน โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าวงดนตรีวงนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเขา
ซึ่งมันคือวงที่อีกไม่นานจะกลายเป็นวงร็อกนามว่า ‘Metallica’
เมื่อได้เดินทางไปถึงที่หมายเพื่อทำการออดิชัน เดฟได้พบกับหนุ่มผมยาวสีบลอนด์ ที่มีอายุใกล้เคียงกับเขา ซึ่งนั่นก็คือ ‘เจมส์ เฮตฟิลด์’ (James Hetfield) และ ‘ลาร์ส อุลริช’ (Lars Ulrich) มือกลองผู้ที่เป็นเจ้าของข้อความบนใบประกาศนั้น ระหว่างที่เดฟกำลังเตรียมตัวทำการออดิชัน ลาร์ส อุลริช ก็ได้บอกเขาว่า “ไม่ต้องแล้วละ นายได้งานทำแล้ว” หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ปาร์ตี้กันเพื่อฉลองที่ตั้งวงดนตรีนี้ขึ้นมาได้สำเร็จ ใช้ชื่อว่า ‘Metallica’
กระทั่งในปี 1983 เดฟเริ่มติดสุราอย่างหนัก จนส่งผลกระทบต่อการทำงาน และมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวต่อคนรอบตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมวง อย่างเหตุการณ์หนึ่งที่เดฟได้นำสุนัขของเขามาที่ห้องซ้อม และสุนัขตัวนั้นรบกวนสมาธิการทำงานของเพื่อนร่วมวง และกัดแทะรถของ รอน แมคกอฟนีย์ ทำให้เจมส์รู้สึกโมโหและตะโกนด่าหมาตัวนั้น
เดฟเองก็ได้กล่าวหาเจมส์ว่าทำร้ายหมาของเขา จนทั้งสองทะเลาะวิวาทกันถึงขั้นชกต่อย และเดฟได้โวยวายด่าสมาชิกคนอื่น ๆ ในวง เมื่อเหตุการณ์เกินที่จะควบคุม สมาชิกจึงตัดสินใจ ‘ไล่เดฟออกจากวง’ แต่เดฟเริ่มได้สติหลังจากที่เขาหายเมา เขาจึงได้ขอโทษเพื่อนร่วมวง และกลับมาทำหน้าที่ต่อเหมือนเดิม
ผู้บริหารค่ายเพลงของ Metallica ณ ขณะนั้นได้พูดถึงพฤติกรรมที่ไม่เอาไหนของเดฟไว้ว่า “เดฟเป็นคนที่มีความสามารถที่น่าเหลือเชื่อนะ แต่เขามีปัญหาในเรื่องของการติดแอลกอฮอล์และยาเสพติด มันถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ จนคนอื่น ๆ ไม่สามารถจะควบคุมเขาได้ ผมเห็นเพื่อน ๆ ในวงเริ่มที่จะเบื่อหน่ายกับอาการเมาของเขามากขึ้นทุกที”
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพียงไม่กี่เดือนถัดมา ในขณะที่ทางวงกำลังทำอัลบั้มเปิดแรกของตัวเอง อย่าง ‘Kill ’Em All’ เดฟก็ถูกไล่ออกเป็นครั้งที่สอง ด้วยพฤติกรรมของเขาที่ติดสุราอย่างหนัก จนไม่มีสติ ส่งผลกระทบต่อการทำงาน และการไล่ออกครั้งนี้ เป็นการไล่ออกอย่างเป็นทางการ เดฟจะไม่ถูกนับเป็นสมาชิกของ Metallica อีกต่อไป สมาชิกในวงจึงได้พาเดฟที่กำลังอยู่ในอาการเมาอย่างหนักทิ้งไว้ที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งมีจุดหมายปลายทางเป็นที่ Los Angeles เดฟต้องเดินทางเป็นเวลาถึง 4 วันโดยลำพัง เมื่อเดฟเริ่มได้สติ เขาจึงได้หยิบกระดาษใบเสร็จมาจดไอเดียเพลงที่เขานึกออก ณ ขณะนั้นเอาไว้
เมื่อเดฟได้เดินทางถึง California เขารู้สึกเศร้าและหดหู่ รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ถึงกระนั้น เดฟก็ไม่ยอมแพ้ และได้หางานทำ พอเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง เขาได้เดินหน้าสู่เส้นทางสายดนตรีต่อ และเขาได้ตั้งวงดนตรีขึ้นมาที่มีชื่อว่า ‘Fallen Angel’ และก็ยุบวงลงไป แต่ก่อนที่สมาชิกจะแยกย้ายกัน สมาชิกคนอื่น ๆ ได้แนะนำเดฟให้ลองนำชื่อเพลงที่แต่งไว้ นำไปใช้เป็นชื่อวง เดฟจึงเก็บชื่อนั้นเอาไว้ พร้อมกับเดินหน้าในเส้นทางสายดนตรีต่อ
ในปีเดียวกันนั้นเอง เป็นปีที่ Metallica ได้ออกอัลบั้มผลงานชุดแรกของตัวเองออกมา ในชื่อ Kill ’Em All พร้อมกับมือกีตาร์คนใหม่ที่มาแทนที่เดฟ อย่าง ‘Kirk Hammett’ ในอัลบั้มนั้นมี 4 เพลงที่เดฟได้แต่งเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นว่า เจมส์และลาร์สกลับได้เครดิตในทุกเพลง และพยายามทำตัวเองให้เป็นคนแต่งเพลงหลักของวง พร้อมกับมือกีตาร์คนใหม่ที่นำผลงานของเดฟที่ทำทิ้งไว้ เอาไปสานต่อจนเสร็จ นั่นจึงทำให้ไฟแห่งความคับแค้นในจิตใจของเดฟเริ่มลุกแรงขึ้น พร้อมที่จะแก้แค้นพวกเขาในสักวัน
ในวันที่ดูเหมือนจะเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง เดฟที่กำลังนอนหลับอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ลิส จู่ ๆ ก็มีเสียงดนตรีดังจนทำให้เขาตื่น ซึ่งเป็นเสียงซ้อมกีตาร์และเบสที่กำลังซ้อมอยู่ ด้วยเพลง Runnin’ With the Devil ของ Van Halen ดังมาจากห้องชั้นล่าง ด้วยเสียงที่ดังรบกวนจนทำให้เดฟอารมณ์เสีย เขาได้ตะโกนด่า แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเขาคว้ากระถางดอกไม้และโยนทางหน้าต่างเพื่อให้ตกลงไปโดนกับคอมเพรสเซอร์ของห้องข้างล่าง หลังจากนั้นเสียงดนตรีก็ได้เงียบลง
แต่ไม่กี่นาทีต่อมา ได้มีเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องของเดฟ เขาเปิดประตูและพบวัยรุ่นร่างผอม 2 คน เขายิ้มและถามเดฟว่า “นายพอจะซื้อบุหรี่กับเบียร์ให้ฉันหน่อยได้มั้ย” เดฟที่ได้ยิน จึงทำให้เขาคิดกับตัวเองว่าเขาคงจะดูเจ๋งพอ สองคนนี้เลยขอความช่วยเหลือเขาให้เขาช่วยซื้อบุหรี่กับเบียร์ให้ จากนั้นทั้งสามก็ได้ดื่มเบียร์และพูดคุยกัน
หลังจากที่พวกเขาคุยกันได้สักพัก จึงชักชวนมาตั้งวงดนตรีด้วยกัน จนได้ก่อตั้งวงดนตรีขึ้นมา และเดฟได้นำชื่อวงดนตรีที่ตัวเองเก็บไว้ มาใช้เป็นชื่อวง ซึ่งก็คือ ‘Megadeth’
ฃเมื่อเดฟตั้งวงดนตรีของตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ เขาได้ทำการหามือกลองและมือกีตาร์อีกคนหนึ่ง เนื่องจาก ‘เกร็ก แฮนเดอวิดท์’ (Greg Handevidt) ได้ถอนตัวออกจากวง พวกเขาใช้เวลาในการหามือกลองเป็นเวลานาน จนสุดท้ายได้ ‘ลี เราช์’ (Lee Rausch) มาทำหน้าที่มือกลองในปี 1984 และได้ ‘เคอร์รี คิว’ (Kerry King) มาช่วยทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์อีกคนของวงเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะถอนตัวจากวงไปทำวงดนตรีที่ชื่อว่า ‘Slayer’ และเดฟที่เดิมทีเขาทำหน้าที่เล่นกีตาร์เพียงอย่างเดียว แต่เบื่อหน่ายกับการหานักร้อง เขาจึงรับหน้าที่ทั้งร้องและเล่นกีตาร์ไปด้วย จนกระทั่งทางวงได้ออกอัลบั้มเดโมชิ้นแรกของตัวเองออกมาในชื่อ ‘Last Rites’
เดฟพยายามจะทำให้เห็นว่า Metallica คิดผิดที่ไล่เขาออกจากวง เดฟพยายามสร้างผลงานของตัวเอง ที่กลั่นออกมาจากความคับแค้นในจิตใจ จนในปี 1985 Megadeth ได้เซ็นสัญญากับ ‘Combat Records’ และได้ออกอัลบั้มชุดแรกของตัวเองอย่างเป็นทางการในชื่อ ‘Killing Is My Business…and Business Is Good!’ สร้างความฮือฮาให้กับวงการเมทัล ด้วยสไตล์ดนตรีที่ดุดัน หนักแน่น เสียงร้องแหบที่มีความกวน ทำให้เขาเป็นกลุ่มวงดนตรีที่ถูกจับตามองอีกวงหนึ่งของวงการ
หลังจากนั้น 1 ปีต่อมา ทางวงได้เซ็นสัญญากับค่าย ‘Capitol Records’ และออกอัลบั้มที่ 2 ในชื่อ ‘Peace Sells…but Who’s Buying?’ และได้ออกอัลบั้มที่ 3 ในปี 1988 ที่ชื่อ ‘So Far, So Good…So What!’ อัลบั้มนี้มีการนำเพลงที่เดฟเคยแต่งเอาไว้ตอนที่เขาถูกขับไล่ออกจาก Metallica และแต่งมันขึ้นมาบนรถบัส ซึ่งเพลงนั้นมีชื่อว่า ‘Set The World Afire’ ชื่อเสียงของ Megadeth เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ในระหว่างนั้นทางวงมีการปรับเปลี่ยนสมาชิกอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังคงผลิตผลงานออกมาอยู่เรื่อย ๆ
จนมาถึงปี 1990 ทางวงได้ออกอัลบั้มลำดับที่ 4 ในชื่อ ‘Rust in Peace’ ซึ่งได้มือกีตาร์ฝีมือดีอย่าง ‘มาร์ตี้ ฟรีดแมน’ (Marty Friedman) มาร่วมวง อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากเหล่าแฟนเพลงและนักวิจารณ์
ในทศวรรษ 1990 ถือเป็นช่วงเวลาที่ Megadeth ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอาชีพการทำงานของพวกเขา และเป็นช่วงเวลาที่วงได้ผลิตอัลบั้มระดับขึ้นหิ้งแห่งวงการแทรชเมทัลออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างอัลบั้ม ‘Rust in Peace (1990)’, ‘Countdown to Extinction (1992)’ และ ‘Youthanasia (1994)’ ด้วยผลงานเหล่านี้ที่บ่งบอกถึงคุณภาพและฝีมือของพวกเขา ซึ่งสามารถการันตีได้ว่าพวกเขาคือ ‘ของจริง’ และสมควรแก่การถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งใน Big 4 ของวงการแทรชเมทัล
เดฟยังคงทำงานในวงการดนตรีพร้อมกับทัวร์คอนเสิร์ตอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งในปี 2002 เขามีอาการบาดเจ็บที่มือ และลามไปที่เส้นประสาทแขนซ้ายของเขา จนไม่สามารถใช้งานได้เหมือนปกติและสูญเสียการควบคุม เขาจึงตัดสินใจพบแพทย์ หลังจากที่เขาได้รับการวินิจฉัย แพทย์บอกกับเขาว่า เขาจะไม่สามารถเล่นกีตาร์ได้อีก มีโอกาสน้อยที่แขนของเขาจะกลับมาใช้งานได้ ทางวงจึงจำเป็นต้องพักการทำงานไว้ชั่วคราว แต่เดฟที่เป็นคนพยายามและไม่ย่อท้อ เขาได้พยายามเดินทางไปเข้าทำการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเส้นประสาทและกระดูกสันหลัง จนแขนของเขาสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ และกลับมาทำผลงานเพลงกับ Megadeth ต่อในปี 2004
แม้ว่า Metallica จะเคยขับไล่เดฟออกจากวงไป แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความขุ่นเคืองใจก็เริ่มจางลง เดฟได้ออกมากล่าวขอโทษถึงพฤติกรรมในตอนนั้นและเคยทำร้ายเจมส์ และเดฟยังแสดงความนับถือและยอมรับ Metallica ว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพและศิลปินที่น่ายกย่อง แม้ว่าเดฟจะเคยเกลียดและพยายามจะเอาชนะพวกเขาก็ตาม และ Megadath เคยได้ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตร่วมกับ Metallica ในปี 2010 คอนเสิร์ต ‘The Big 4’ ในเพลง ‘Am I Evil?’ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างเดฟและ Metallica ได้สิ้นสุดลงแล้ว
เส้นทางชีวิตของเดฟไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่โรยด้วยอบายมุขและสิ่งมึนเมาทั้งหลาย ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเขาจนถูกขับไล่ออกจากวงดนตรี แต่ในความสิ้นหวัง เขาก็ไม่ท้อถอย เขาพยายามผลักดันตัวเองขึ้นมาด้วยความคับแค้นและอยากเอาชนะ ในที่สุดเขาก็สามารถตั้งวงดนตรีของตัวเองขึ้นมาได้ และประสบความสำเร็จอย่างสูง จนเป็นที่ยอมรับจากเหล่าศิลปินและแฟนเพลงทั้งหลาย
ถ้าหากเดฟไม่ถูกขับไล่ออกจากวงในวันนั้น เราอาจจะได้ฟังผลงานเพลงของ Metallica ในอีกรูปแบบหนึ่งที่เราไม่สามารถจะคาดเดาได้ แต่ในความโชคร้ายก็แฝงไปด้วยความโชคดี ที่วงการดนตรีของเราได้ถือกำเนิดวงดนตรีที่เป็นตำนานแทรชเมทัลถึง 2 วงขึ้นมาอย่าง Metallica และ Megadeth ทั้งหมดทั้งมวล เดฟได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ต่อให้ชีวิตของเขาจะเจออุปสรรคอะไรอีกมากมายก็ตาม เขาพร้อมที่จะพุ่งเข้าหามันโดยไม่หันหลังหนี และเขาก็สามารถผ่านสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นมาได้ จนเขาขึ้นมาสู่จุดสูงสุดแห่งวงการดนตรีที่มีผู้คนยอมรับอย่างมากมาย ทั้งในแง่ของผลงานและความบ้าบิ่นที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตของเขา
ภาพ : Getty Images