05 ก.ค. 2568 | 18:13 น.
KEY
POINTS
บางคนก้าวเข้าวงการบันเทิงเพราะฝัน บางคนเพราะโชคชะตาเรียกหา แต่สำหรับ ‘หนิง ปัทมา จิตรสวัสดิ์’ เส้นทางของเธอคือการเดินตามเสียงในใจที่ดังมาตั้งแต่เด็ก ความฝันแรกของเธอไม่ใช่ ‘มงกุฎ’ บนศีรษะ หากแต่เป็น ‘ไมโครโฟน’ ในมือ เพลงที่กลั่นจากเสียงแม่ในห้องคาราโอเกะเล็ก ๆ ที่บ้าน คือแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เธอเริ่มร้องเพลงตั้งแต่ยังเล็ก
“ตอนนั้นแม่มีห้องคาราโอเกะเล็ก ๆ หนิงก็เข้าไปร้องตั้งแต่เด็กเลย ชอบมาก” เธอยิ้มเมื่อนึกถึงภาพในวัยเยาว์ ความสุขเล็ก ๆ ในบ้านที่อบอวลด้วยเสียงเพลง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางบนถนนสายลูกทุ่ง
หนิงเติบโตมากับคุณตาคุณยายตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่ต้องทำงานเพื่อสร้างตัว เมื่อพ่อเริ่มตั้งตัวได้ จึงเปิดบริษัทซ่อมมอเตอร์เป็นของตัวเอง จนกลายเป็นคนที่มีหน้ามีตาในละแวกบ้าน
แม้จะผูกพันกับเสียงเพลงตั้งแต่เด็ก แต่พ่อไม่ได้สนับสนุนให้เธอเป็นนักร้อง เพราะมองว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน “ด้วยความที่โตมากับตากับยาย ท่านก็สอนให้หนิงหาเลี้ยงตัวเอง พอพ่อไม่อยากให้เป็นนักร้อง อายุประมาณ 18-19 ปี หนิงเลยออกจากบ้านมาร้องเพลงหาเงิน พิสูจน์ให้เค้าเห็นเลยว่า หนิงอยู่ได้เพราะสิ่งที่หนิงรัก มันสามารถเลี้ยงดูหนิงได้”
เมื่อย้อนถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างหนิงกับคุณพ่อในตอนนี้ เธอตอบสั้น ๆ แบบเปื้อนยิ้มว่า “หนูคิดว่าวันนี้พ่อภูมิใจในตัวหนูนะ”
ตลอดยี่สิบปีในบทบาทนักร้องลูกทุ่ง หนิงไม่เคยแฉลบไปในเส้นทางอื่น ไม่เคยชิมลางละคร ไม่เคยคิดถึงเวทีนางงามด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่ง แรงเชียร์จากแฟนเพลงก็พาเธอก้าวขึ้นเวทีที่ไม่เคยอยู่ในแผนชีวิต ‘เวทีประกวดนางงาม’
“ไม่ได้อยากเป็น แต่แค่อยากทำให้เห็นว่าเราก็ทำได้นะ” เธอพูดเรียบง่ายแต่หนักแน่น เวทีนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอไฝ่ฝัน ไม่ใช่ลู่ที่เธอถนัด แต่อย่างน้อยคือการได้ลองทำในสิ่งใหม่ ๆ
เธอไม่ได้ขอให้แฟนคลับช่วยโหวต ไม่เคยโพสต์ขอความเห็นใจ แต่แฟนคลับก็แอบซัพพอร์ตอยู่เงียบ ๆ เสมอ
เมื่อเธอคว้ามงกุฎ ‘มิสยูนิเวิร์สชลบุรี’ มาครองได้สำเร็จ และมีโอกาสเข้าสู่เวทีระดับประเทศ หนิงกลับตัดสินใจถอนตัว “ถ้าไปต่อ หนิงต้องหยุดรับงานเลย ต้องหยุดงานอย่างน้อยหนึ่งเดือน แล้วทีมงานหนิงจะไม่มีรายได้”
หนิงไม่ได้เป็นแค่ศิลปินที่มีความฝันของตัวเอง แต่เธอยังเป็น ‘หัวหน้าทีม’ เป็นคนจ้างงาน เป็นคนที่ทีมงานกว่าสิบคนฝากชีวิตเอาไว้ “เราก็ดูแลหลาย ๆ คนเนอะพี่ เราก็ต้องมองถึงพวกเขาเป็นหลักด้วยค่ะ เพราะว่าเขาก็ทํางานให้เรา และอีกอย่างตรงนี้มันก็เป็นอาชีพที่เรารักอยู่แล้วเราเลยจําเป็นต้องเลือกทางนี้ก่อน”
แม้จะไม่ได้ไปต่อบนเวทีมิสยูนิเวิร์ส แต่เวทีนางงามก็ให้ประสบการณ์ใหม่ทั้งดีและร้าย ในแง่ที่เป็นบททดสอบจิตใจ คือตอนที่เธอเจอคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ที่รุนแรงเกินคาด “ถ้าเป็นแฟนเพลง เขาจะแค่ติว่าเราร้องไม่เพราะ แต่แฟนนางงาม เขาเหมือนด่าเราหนักมาก ไม่ว่าหนิงจะโพสต์อะไร หรือแม้กระทั่งร้องเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ”
เรากลั้นใจถามเธอว่า คำไหนที่ทำให้เธอสะเทือนใจที่สุด เธอตอบว่า เป็นคอมเมนต์ทำนองทำให้เวทีเสียหาย เช่น “เป็นข้าวแกงที่พยายามจะอัพเกรดขึ้นมาให้มันเป็นราคาแพง” หลังจากนั้น หนิงเลยหลีกเลี่ยงที่จะอ่านคอมเมนต์บั่นทอนเหล่านั้นเพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง ตั้งแต่ประกวดเสร็จจนถึง ณ วันที่ให้สัมภาษณ์ และเมื่อเรายุให้เธอสู้กลับ เธอกลับตอบอย่างมีวุฒิภาวะว่า “หนิงไม่เคยคอมเมนต์ด่าใคร เพราะหนิงก็ไม่อยากโดนเหมือนกัน ถ้าไม่ชอบหนิงก็แค่บล็อก”
จากด้านที่กัดเซาะ เราค่อย ๆ ปรับอารมณ์พาเธอย้ายมาเล่าสิ่งดี ๆ ที่ได้รับจากการประกวด ซึ่งหนิงตอบแบบไม่ต้องคิดนานว่า ‘มิตรภาพ’ และ ‘ความกล้า’
แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังไม่ปิดกั้นตัวเองจากเวทีนางงาม “มีคนเชียร์ให้ไปอีกเวที แต่ก็หนักใจตรงเรื่องเก็บตัวนี่แหละค่ะ เพราะมันไม่สามารถรับงานได้เลย หนิงก็สองจิตสองใจอยู่ เพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน”
เมื่อถามถึงเป้าหมายต่อไปในชีวิต หนิงตอบเรียบง่าย
“อยากมีเพลงที่ติดหูสักเพลง แค่นั้นแหละค่ะ ก็ถือว่าประสบความสําเร็จในชีวิตแล้ว และนอกจากเพลง หนูก็อยากให้ครอบครัวหนูมีความสุขแค่นั้นเอง”
ถ้าใครติดตามในโซเชียลมีเดียของหนิงจะเห็นว่า เธอผูกพันกับตาและยายค่อนข้างมาก เมื่อเธอเอ่ยถึงครอบครัว เราจึงขอให้เธอเล่าถึงตากับยาย
“ท่านเลี้ยงหนูมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยรักกันมาก ผูกพันกันมาก วันที่หนูจบปริญญาโท หนูก็แบกชุดครุยไปถ่ายรูปที่สุรินทร์ ไปถ่ายรูปกับตากับยาย เพราะปริญญาโทใบนี้เป็นใบแรกของลูกหลานในบ้านเรา ถามตาว่าภูมิใจไหมที่มีหนูเป็นหลาน ตาภูมิใจถึงกับน้ำตาไหลเลยค่ะ” เล่าถึงตรงนี้ น้ำตาแห่งความสุขก็ไหลคลอเบ้าหญิงสาวที่ดูร่าเริง เฮฮา ตลอดการสัมภาษณ์
ก่อนจบบทสนทนา หนิงฝากแรงบันดาลใจถึงใครที่กำลังลังเลจะก้าวออกจากเซฟโซน “การที่หนิงลงประกวดเวทีนางงามได้เนี่ย หนิงก็กลัวนะคะ แต่หนิงเลือกที่จะเอาความกลัวตัวเองออกไป หนิงเลือกที่จะก้าวข้ามผ่านมันให้ได้ เอาชนะความกลัวของตัวเอง
“เราไม่รู้เลยว่าเราจะยังอยู่ไหมในวันพรุ่งนี้ ตื่นมาเราอาจจะไม่ได้หายใจแล้ว นึกออกมั้ยคะ ถ้าเรามัวแต่ตีกรอบตัวเอง บอกตัวเองว่าฉันไม่กล้า ฉันกลัว ฉันจะอยู่แค่นี้ มันน่าเสียดายโอกาส มันคาใจ”
เธอไม่เคยฝันอยากเป็นนางงาม แต่เธอกล้าขึ้นเวทีอย่างมุ่งมั่น และเดินออกมาด้วยความภาคภูมิใจว่า เธอได้ลอง ได้กล้า และได้เป็นตัวเองในแบบที่เธอภูมิใจ