BLACKPINK in Coachella 2023 ประวัติศาสตร์บทใหม่ในเทศกาลดนตรีระดับโลก

BLACKPINK in Coachella 2023 ประวัติศาสตร์บทใหม่ในเทศกาลดนตรีระดับโลก

เมื่อปี 2019 วงเกิร์ลกรุ๊ป ‘BLACKPINK’ สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญในฐานะศิลปิน K-Pop กลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไปบนเวที Coachella และ 4 ปีต่อมา ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่ค่อย ๆ คลี่คลาย BLACKPINK ขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเป็นศิลปินระดับ Global ด้วยการเป็น Headliner ของเวทีนี้

  • ปี 2019 ‘BLACKPINK’ สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญในฐานะศิลปิน K-Pop กลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไปบนเวที Coachella พวกเธอมาถูกที่ถูกเวลาในช่วงเวลาที่ดนตรี pop กำลังขยายอาณานิคมและไม่ถูกจำกัดเพียงภาษาอังกฤษอย่างเดียว และ BLACKPINK คือโคลัมบัสแห่งโลกดนตรี K-Pop ที่สำรวจโลกแห่งดนตรียุคใหม่นี้ได้สำเร็จบนเวทีนี้
  • การที่พวกเธอได้เขยิบฐานะสู่การเป็นศิลปินเฮดไลน์ภายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เพียงแค่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเธอเท่านั้น แต่ยังประกาศถึงโลกแห่งดนตรี pop ว่าจะไม่มีกำแพงกั้นขวางชนชาติและภาษาอีกต่อไป

เป็นธรรมเนียมทุก ๆ ปี ที่เทศกาลดนตรี ‘Coachella’ จะแวะเวียนมา คอเพลงทั่วโลกและยิ่งคอเพลงชาวไทยยิ่งอินหนักไปใหญ่ เพราะเทศกาลดนตรีนี้ตรงกับเทศกาลสงกรานต์พอดี คนไหนที่ไม่ชอบเล่นน้ำก็มักจะเลือกหมกตัวอยู่หน้าจอและดูมันทั้งวันทั้งคืนตลอด 3 วันนี้

นอกจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความยิ่งใหญ่และไอเดียที่แปลกใหม่ที่เกิดขึ้นแทบทุกปีบนเวทีแห่งนี้แล้ว การขึ้นโชว์ของศิลปินเฮดไลน์ก็เป็นตัวกำหนดเทรนด์ดนตรี รวมไปถึงความโด่งดังของตัวศิลปินว่าจะยิ่งใหญ่พอที่แฟนเพลงจะยอมควักเงินล่วงหน้ามูลค่าไม่ใช่น้อยเพื่อมาดูหรือไม่ และศิลปินเหล่านั้นจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ประดับตำนานเทศกาลดนตรีนี้หรือเปล่า 

ย้อนไปเมื่อปี 2019 วงเกิร์ลกรุ๊ป ‘BLACKPINK’ สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญในฐานะศิลปิน K-Pop กลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไปบนเวที พวกเธอมาถูกที่ถูกเวลาในช่วงเวลาที่ดนตรี pop กำลังขยายอาณานิคมและไม่ถูกจำกัดเพียงภาษาอังกฤษอย่างเดียว และ BLACKPINK คือโคลัมบัสแห่งโลกดนตรี K-Pop ที่สำรวจโลกแห่งดนตรียุคใหม่นี้ได้สำเร็จบนเวทีแห่งนี้
 

4 ปีต่อมา ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่ค่อย ๆ คลี่คลาย ปรากฏการณ์ K-Pop ถูกบรรจุอยู่ในกระแสหลักของดนตรี pop ของโลกในยุคปัจจุบัน ศิลปินรุ่นน้องหรือรุ่นเดียวกันกับ BLACKPINK เข้าไปวนเวียนเดินเล่นบนชาร์ตเพลงระดับสากลอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ BLACKPINK เองก็กำลังขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแห่งชื่อเสียงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์แฟชั่นชื่อดังระดับโลก การ Spin-Off ออกโซโล่เดี่ยว ไปจนถึงการขึ้นปกนิตยสาร Time ในฐานะ Entertainer of the Year เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา และอีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันว่า BLACKPINK อยู่บนจุดสูงสุดของการเป็นศิลปินระดับ Global ก็คือการได้เป็น Headliner ของเวที Coachella ในปีล่าสุดนี่เอง

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน เวลา 21.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ผู้คนจำนวนมหาศาลอัดแน่นเบียดเสียดที่เวที Coachella Stage ที่ถือเป็นเวทีหลัก ที่ในปีนี้ศิลปินระดับโลกได้จับจองแสดงไม่ว่าจะเป็น Bad Bunny, Gorillaz รวมไปถึง Frank Ocean ฉับพลันพื้นที่แห่งนั้นถูกฉาบเคลือบไปด้วยทะเลแสงแห่งสีชมพู และบนท้องฟ้า อากาศยานไร้คนขับก็พาเหรดกันแปรอักษรเป็นรูปทรงงดงามบนฟากฟ้า เวลาแห่งความสนุกกำลังเริ่มต้นขึ้น

ทั้ง 4 สาวเปิดตัวด้วยเพลง ‘Pink Venom’ เพื่อประกาศถึงความพร้อมในการพ่นพิษแห่งความงดงามให้คนฟังได้ตะลึง ตามต่อด้วย ‘Kill This Love’ ในเวอร์ชันที่ดนตรีแน่นปึ้กจากแบ็กอัประดับเทพ ข้อดีของการรับชมผ่านจอ YouTube คือการได้เห็นรายละเอียดของโชว์ผ่านกระบวนการความคิดเป็นอย่างดี อย่างที่กล่าวไว้ว่าการขึ้นมาบนสเตจหลักได้นั้น ต้องแบกรับทั้งความคาดหวังของผู้ชมระดับมหาศาล และมันเป็นการแข่งขันกับศิลปินอีกนับร้อยชีวิตที่ต่างต้องแย่งแอร์ไทม์ให้เป็นที่น่าจดจำต่อไปในอนาคต   
 

“เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เราได้รับเชิญให้มาแสดงที่นี่ที่ Coachella ที่ Sahara Tent และโชว์ครั้งนั้นทำให้ทุกคนประทับใจ” โรเซ่กล่าวทักทายผู้ชม “ฉันต้องบอกว่านี่คือฝันที่เป็นจริง…เหตุผลที่เราทั้ง 4 กลับมาที่นี่ก็เพราะคุณ”

“พวกเรามีความสุขมากที่ได้กลับมาที่นี่ มันบ้ามากที่ภายในเวลา 4 ปีที่เราเดินทางจากทะเลทรายซาฮาราสู่ Main Stage…พวกเรารักคุณ Coachella” เจนนี่เสริม

หลังจากนั้น 4 สาวก็ปล่อยโชว์แบบเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น How You Like That, Pretty Savage ที่เป็นการโชว์เต้นที่เก้าอี้ Kick It และ Whistle ก่อนจะเข้าสู่องก์ที่ 2 ที่เป็นการโซโล่เดี่ยวของแต่ละคน โดยเริ่มจากเจนนี่ที่โชว์เพลง You & Me ในเวอร์ชัน Remix ที่มีท่อนแร็ปท่อนใหม่ ส่วนจีซูก็มาพร้อมเพลง Flower ที่เพิ่งปล่อยมาหมาด ๆ เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โรเซ่โชว์พลังเสียงกับเพลง Gone และ On the Ground ปิดท้ายด้วยลิซ่าที่มาพร้อมกับ Money ในเวอร์ชันรุนแรงและสุดอันตราย 

จากนั้นทั้ง 4 กลับมารวมตัวกันอีกครั้งกับองก์สุดท้ายที่ปล่อยเพลงฮิตเพลงฮอตมาแบบไม่มีพักผ่าน 8 เพลง BOOMBAYAH, Lovesick Girls, Playing with Fire, Typa Girl, Shut Down, Tally, DDU-DU DDU-DU และปิดท้ายด้วย Forever Young เพื่อบ่งบอกถึงความสดใสและความวัยเยาว์จะยังคงอยู่คู่กับพวกเธอตลอดไป 

การโชว์ที่แตกต่าง (สังเกตได้จากหลายเพลงที่มีการต่อเติมใหม่ และยิ่งใหญ่ไปด้วยโปรดักชั่นระดับอลังการ) ส่งผลให้ BLACKPINK สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของพวกเธอได้สำเร็จอีกครั้ง 

จากโชว์เมื่อ 4 ปีก่อน ที่แม้พวกเธอจะไม่ใช่ของแปลกในสายตาฝรั่งตาน้ำข้าว แต่พวกเธอก็สร้างโชว์เป็นที่จดจำจนสามารถทลายกำแพงแห่งภาษาและเชื้อชาติได้สำเร็จ และครั้งนี้ การที่พวกเธอได้เขยิบฐานะสู่การเป็นศิลปินเฮดไลน์ภายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เพียงแค่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเธอเท่านั้น แต่ยังประกาศถึงโลกแห่งดนตรี pop ว่าจะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และจะไม่มีกำแพงกั้นขวางชนชาติและภาษาอีกต่อไป