‘อูโด เคียร์’ จากจอมวายร้าย ‘Yuri’ สู่ตำนานหนังอาวองการ์ด 

‘อูโด เคียร์’ จากจอมวายร้าย ‘Yuri’ สู่ตำนานหนังอาวองการ์ด 

‘อูโด เคียร์’ นักแสดงผู้มีสายตาเย็นเฉียบและรอยยิ้มที่คนทั้งโลกจดจำจากบทวายร้าย ‘Yuri’ ใน Red Alert 2 จากไปอย่างสงบในวัย 81 ปี ทิ้งไว้เพียงมรดกศิลปะการแสดงกว่า 6 ทศวรรษที่ข้ามทั้งยุโรป-ฮอลลีวูด ตั้งแต่จักรวาลอาวองการ์ดของฟาสบินเดอร์และแอนดี้ วอร์ฮอล ไปจนถึงการร่วมงานกับลาร์ส ฟอน ทรีเออร์ในฐานะหนึ่งในนักแสดงที่ผู้กำกับทั่วโลกไว้วางใจที่สุด  

KEY

POINTS

สำหรับคนรุ่นหนึ่งที่โตมากับเกมสงครามกลยุทธ์ชื่อดัง ‘Command & Conquer: Red Alert 2’ คงไม่มีใครลืม ‘Yuri’ จอมวายร้ายผู้ครอบงำจิตใจได้ และเจ้าของสายตาเย็นชาและรอยยิ้มชั่วร้าย บทบาทนี้คือหนึ่งในความทรงจำของ ‘อูโด เคียร์’ (Udo Kier) นักแสดงชาวเยอรมัน ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้วในวัย 81 ปี ทิ้งไว้เพียงมรดกยิ่งใหญ่แห่งศิลปะการแสดงที่ทอดยาวกว่าหกทศวรรษ

เคียร์เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเมืองปาล์มสปริงส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมี ‘เดลเบิร์ต แมคไบรด์’ (Delbert McBride) คู่ชีวิต อยู่เคียงข้าง การจากไปของเขาคือการปิดม่านอาชีพอันโดดเด่นที่มีผลงานมากกว่า 200 เรื่อง (บางแหล่งระบุว่าถึง 275 บทบาท)  กระจายอยู่ทั่วทั้งฮอลลีวูดและวงการภาพยนตร์ยุโรป จนเขากลายเป็นไอคอนแห่งความกล้าหาญทางศิลปะ การทดลองที่ไม่มีขีดจำกัด และจิตวิญญาณแห่งความแหวกแนว

ก่อนจากไป เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ผมชอบที่ได้แต่งหน้าเยอะ ๆ บางครั้งนักแสดงสามารถซ่อนอยู่หลังเมคอัพได้ จมูกของคุณจะไม่เหมือนเดิม หน้าผากก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง คุณไม่ใช่ตัวคุณเอง” เขาถึงกับเล่าด้วยความตื่นเต้นอีกว่า “บางทีผมอาจจะเลิกแสดงภาพยนตร์ แล้วไปเป็นดาราในวิดีโอเกม” ทัศนคติที่แสดงให้เห็นถึงความเปิดกว้างและความกระตือรือร้นต่อสื่อรูปแบบใหม่ของเขา

ชีวิตของเคียร์เริ่มต้นท่ามกลางเปลวไฟสงคราม เกิดที่เมืองโคโลญ ประเทศเยอรมนี ในปี 1944 เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอด โรงพยาบาลก็ถูกทิ้งระเบิด เขาและมารดาได้รับการช่วยเหลือออกมาจากซากปรักหักพัง มันเป็นการเริ่มต้นที่ดราม่าอย่างที่สุดสำหรับชีวิตที่ถูกชะตาขีดให้ก้าวเข้าสู่โลกการแสดง

วัยเด็กหลังสงครามของเขานั้นเลวร้ายไม่แพ้กัน เขาเติบโตมาอย่างยากจนเพราะพ่อของเขาแต่งงานอยู่แล้ว โดยที่มารดาของเขาไม่เคยรู้มาก่อน บ้านไม่มีน้ำร้อนใช้จนกระทั่งเขาอายุ 17 ปี แต่ความทุกข์ยากกลับหล่อหลอมความมุ่งมั่นอันแรงกล้า ในช่วงวัยรุ่น เคียร์ทำงานในโรงงานด้วยจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียว เพื่อหนีออกจากความทุกข์ยากที่เขาเกิดมา

เมื่ออายุ 16 ปี เขาได้พบกับ ‘ไรเนอร์ เวอร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์’ (Rainer Werner Fassbinder) ผู้ที่จะกลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังในอนาคต ขณะดื่มอยู่ในบาร์ชนชั้นแรงงานที่โคโลญ มิตรภาพนี้กลายเป็นหนึ่งในความร่วมมือทางศิลปะที่สำคัญในชีวิตของเขาในเวลาต่อมา

ชีวิตเปลี่ยนไปตอนอายุ 18 ปี เมื่อเคียร์ย้ายไปลอนดอนเพื่อเรียนภาษาอังกฤษและถูกค้นพบขณะนั่งอยู่ในร้านกาแฟ เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยหนังสั้นปี 1966 เรื่อง ‘Road to Saint Tropez’ และบทบาทแจ้งเกิดที่แท้จริงคือภาพยนตร์สยองขวัญปี 1970 เรื่อง ‘Mark of the Devil’ ที่ทำให้โลกเห็นพลังแห่งสายตาทะลวงลึกถึงวิญญาณ และความสามารถในการรับบทตัวร้ายที่หลอนจิตหลอนใจ

เคียร์โด่งดังด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร เขามักได้รับบทเป็นตัวร้าย สัตว์ประหลาด และพวกบ้าบิ่น เขาเล่นเป็นแวมไพร์และนาซีมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยรู้สึกถูกจำกัดด้วยภาพลักษณ์เหล่านี้ เขาเคยกล่าวไว้ว่า “ผมชอบหนังสยองขวัญ เพราะถ้าคุณเล่นบทเล็ก ๆ  มันจะดีกว่าถ้าได้เป็นคนชั่วร้ายและทำให้คนอื่นกลัว มากกว่าจะเป็นแค่ผู้ชายที่ทำงานในที่ทำการไปรษณีย์และกลับบ้านไปหาภรรยาและลูก ๆ เพราะผู้ชมจะจดจำคุณได้มากกว่า”

เขาเคยอธิบายปรัชญาของตนเองเกี่ยวกับความชั่วร้ายว่า “ผู้คนชอบความชั่วร้ายเพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ชั่วร้าย” คำพูดนี้สะท้อนความเข้าใจอันลึกซึ้งเกี่ยวกับจิตวิทยามนุษย์และเหตุผลที่ตัวละครตัวร้ายของเขาโดนใจผู้ชมมากมาย

การพบกันบนเครื่องบินโดยบังเอิญกับ ‘พอล มอร์ริสซีย์’ (Paul Morrissey) ผู้กำกับของ ‘แอนดี้ วอร์ฮอล’ (Andy Warhol) เปลี่ยนเส้นทางอาชีพของเขาไปอีกครั้ง เคียร์ได้รับบทนำในภาพยนตร์ปี 1973 เรื่อง ‘Flesh for Frankenstein’ และตามมาด้วยบทแดร็กคูลาในปี 1974 ในภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า ‘Blood for Dracula’ เขาเคยกล่าวว่าสองเรื่องนี้ “คือภาพยนตร์ที่ผมชอบที่สุดและสำคัญมากในชีวิตของผม เพราะว่านั่นคือภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกของผม” สองเรื่องนี้ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของภาพยนตร์ cult classic ที่คนรักหนังแนวแปลกต้องเคารพ

การกลับมาร่วมงานกับฟาสบินเดอร์ เพื่อนสมัยวัยรุ่น นำมาซึ่งผลงานระดับมาสเตอร์พีซหลายเรื่อง รวมถึง The Third Generation, Lili Marleen และมินิซีรีส์ 14 ตอนเรื่อง Berlin Alexanderplatz ที่ถือเป็นหนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมของโทรทัศน์เยอรมัน ความร่วมมือนี้พิสูจน์ว่าเคียร์ไม่ใช่แค่นักแสดงหน้าร้าย แต่คือศิลปินที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนและลึกซึ้งได้

ความสัมพันธ์กับ ‘ลาร์ส ฟอน ทรีเออร์’ (Lars von Trier) ผู้กำกับชาวเดนมาร์ก กลายเป็นหนึ่งในความร่วมมือที่ยาวนานที่สุดในอาชีพของเขา เคียร์เป็นพ่อทูนหัวของลูกชายฟอน ทรีเออร์ และแสดงในผลงานของเขาหกเรื่อง รวมถึงซีรีส์โทรทัศน์หนึ่งเรื่อง เช่น Breaking the Waves, Dogville, Melancholia ไปจนถึง Dancer in the Dark ที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำที่เมืองคานส์ ความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างศิลปินสองคน

‘กัส แวน แซนต์’ (Gus Van Sant) ผู้ชื่นชอบการแสดงของเขาใน Frankenstein และ Dracula เสนอให้เคียร์แสดงบทบาทอเมริกันครั้งแรกในปี 1991 ในภาพยนตร์เรื่อง ‘My Own Private Idaho’ ร่วมกับ ‘ริเวอร์ ฟีนิกซ์’ (River Phoenix) เคียร์เคยกล่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ “สำคัญมากในชีวิตของผม ผมได้แสดงกับริเวอร์ ฟีนิกซ์ ซึ่งเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่น่าเสียดายที่เสียชีวิตไปแล้ว” การร่วมงานกับแวน แซนต์ ขยายไปอีกสองเรื่องคือ Even Cowgirls Get the Blues และ Don't Worry, He Won't Get Far on Foot พิสูจน์ว่าพรมแดนทางภูมิศาสตร์ไม่มีความหมายสำหรับพรสวรรค์อันแท้จริง

แม้จะยึดมั่นในภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์และงบประมาณต่ำ แต่เคียร์ไม่เคยหลีกเลี่ยงภาพยนตร์กระแสหลัก ในยุค 90 เขาปรากฏตัวในหนังฮอลลีวูดหลายเรื่อง ตั้งแต่ Ace Ventura: Pet Detective, Johnny Mnemonic, Armageddon, End of Days ไปจนถึง Blade ที่เขารับบทแวมไพร์อีกครั้งด้วยความชำนาญอันเชี่ยวชาญ

ความหลากหลายของเขาไม่หยุดอยู่แค่ภาพยนตร์ เคียร์ปรากฏตัวในมิวสิกวิดีโอของ ‘มาดอนนา’ (Madonna) สองเพลงคือ Deeper and Deeper และ Erotica รวมถึงของอีฟ (Eve), ซูเปอร์แทรมป์ (Supertramp) และคอร์น (Korn) 

เคียร์มีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิดีโอเกมเมื่อเทียบกับภาพยนตร์ เขากล่าวว่า “วิดีโอเกมเป็น ‘เรื่องราวที่ไม่มีวันจบสิ้น’ ยิ่งคุณฉลาดมากเท่าไหร่ คุณก็จะจบเกมเร็วขึ้นเท่านั้น แต่มันไม่ใช่แค่ความฉลาดเท่านั้น มันอยู่ที่ว่าคุณเชื่อในตัวผมมากแค่ไหน” เขายังกล่าวถึงเรื่องเทคนิคว่า “พวกเขาถ่ายทำผมแค่วันเดียว แต่พวกเขาใช้เวลาหลายเดือนในการสร้างเกมให้เสร็จ จริง ๆ มันขายได้เป็นล้านชุด มันเป็นจำนวนเงินที่ภาพยนตร์อเมริกันหลายเรื่องอยากทำได้”

ในช่วงปีหลัง ๆ เคียร์ยังคงได้รับบทบาทสำคัญที่ท้าทาย ปี 2017 เขาแสดงในภาพยนตร์ตลกไซไฟเรื่อง ‘Downsizing’ ของ ‘อเล็กซานเดอร์ เพย์น’ (Alexander Payne) ปี 2019 เขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยล่าค่าหัวที่โหดเหี้ยมใน ‘Bacurau’ ของ ‘เคลเบอร์ เมนดอนซา ฟิลโญ’ (Kleber Mendonça Filho) ซึ่งพาเขากลับไปยังเทศกาลหนังเมืองคานส์อีกครั้ง

ปี 2022 เขาเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ตลกเรื่อง ‘Swan Song’ รับบทช่างทำผมวัยเกษียณผู้หยิ่งยโสที่หนีออกจากบ้านพักคนชราเพื่อไปทำผมและแต่งหน้าให้กับลูกค้าเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว 

ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของเขาคือ ‘The Secret Agent’ ในปี 2025 เขารับบทเป็นฮันส์ (Hans) ช่างตัดเสื้อชาวยิวที่ได้รับบาดแผลทางกายและจิตใจจากสงครามโลกครั้งที่สอง บทบาทนี้สะท้อนถึงรากเหง้าของเขาเองที่เกิดมาท่ามกลางเปลวไฟสงคราม เหมือนวงกลมแห่งชีวิตที่ปิดลงอย่างสมบูรณ์แบบ

เคียร์เคยประเมินผลงานของตัวเองด้วยความตรงไปตรงมาว่า “หนัง 100 เรื่อง แย่ 50 เรื่อง คุณสามารถดูได้พร้อมไวน์หนึ่งแก้ว และ 50 เรื่องดี” คำพูดนี้สะท้อนความซื่อสัตย์และอารมณ์ขันที่เขามีต่ออาชีพของตนเอง โดยไม่เคยอวดอ้างหรือหลอกตัวเองว่าทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ 

สิ่งที่ทำให้เคียร์พิเศษคือการที่เขาไม่เคยยึดติดกับรูปแบบการทำงานเพียงประเภทเดียว แนวเดียว หรือมาจากประเทศเดียว เขาทำงานอย่างกว้างขวางทั่วยุโรป อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ พิสูจน์ว่าศิลปะที่ดีนั้นไร้พรมแดน และนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องถูกจำกัดด้วยภาษาหรือวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง เขาเคยกล่าวถึงการเป็นนักแสดงว่า “มันยอดเยี่ยมมาก เพราะคุณสามารถเล่นเป็นผู้คนได้หลากหลาย คุณได้บทมา จากนั้นคุณก็ศึกษาบท แล้วก็รับเงิน แล้วก็วิ่งหนีไปหลังจากหนังจบ”

การจากไปของ ‘อูโด เคียร์’ คือการสูญเสียศิลปินผู้มากความสามารถที่สร้างผลงานอันโดดเด่นหลากหลายแนวตลอดระยะเวลาหกสิบปี จากเด็กชายผู้รอดชีวิตจากซากปรักหักพังของโรงพยาบาลในโคโลญ สู่ไอคอนแห่งภาพยนตร์อาวองการ์ดที่ได้รับการยกย่องทั่วโลก ชีวิตของเขาคือเรื่องราวแห่งความมุ่งมั่น ความกล้าหาญทางศิลปะ และความไม่ยอมประนีประนอมกับความธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น Yuri ผู้ครอบงำจิตใจในเกมวิดีโอ, แวมไพร์ในภาพยนตร์ cult, ตัวร้ายในหนังฮอลลีวูด หรือบทบาทที่ซับซ้อนในผลงานของผู้กำกับระดับมาสเตอร์ 

 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า

ภาพ: Command & Conquer: Red Alert 2