25 ธ.ค. 2561 | 14:59 น.
นับตั้งแต่ Transformers: The Last Knight ยังไม่ทันเข้าฉาย วงการฮอลลีวูดก็สร้างความตื่นเต้นด้วยการประกาศสร้างภาพยนตร์ภาคแยก Bumblebee ออกมา เพียงไม่นานก็ประกาศรายชื่อนักแสดงนำ จอห์น ซีนา และนักแสดงเด็กรุ่นใหม่ เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ บ่งบอกชัดเจนว่าหนังเรื่องนี้มีเด็กเป็นนักแสดงนำ สร้างกระแสความน่าสนใจไปทั่วโลก “ฉันได้เห็นว่า ฉันมีฐานแฟนคลับเยอะขนาดไหน และรู้สึกเป็นเกียรติขนาดไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์นี้” สไตน์เฟลด์กล่าวถึงกระแสตอบรับทางโซเชียลมีเดียหลังประกาศแสดงนำ “ฉันตื่นเต้นแทนแฟนๆ รวมไปถึงกับคนดูหน้าใหม่ที่จะมาดูภาพยนตร์ของเราค่ะ” ครั้น Bumblebee ออกฉายจริง ทุกคนก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์” หนังได้รับความชื่นชมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักแสดงนำ เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ ที่ “แบก” หนังไว้ทั้งเรื่อง ทำให้เธอกลายเป็นที่จับตามองของคนในวงกว้างมากขึ้น แต่ทราบไหมว่า จริงๆ แล้วเธอเป็นนักแสดง/นักร้องมากความสามารถที่อยู่ในวงการมานาน แถมยังเคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ตั้งแต่แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกอีกด้วย เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ เป็นนักแสดง/นักร้องจากลอสแอนเจลิส เริ่มต้นวงการบันเทิงจากการเป็นตัวประกอบในซีรีส์ Back to You ด้วยวัยเพียง 10 ปีเท่านั้น ก่อนจะสร้างชื่อตัวเองใน True Grit (2010) ด้วยวัย 13 ปี เอาชนะหญิงสาวที่เข้ามาออดิชันกว่า 15,000 คนใน “แม็ตตี รอส” เด็กสาวบ้านไร่ที่ต้องการตามล่า “ลาบัฟ “โจรร้ายที่ฆ่าพ่อของเธอตั้งแต่เธอยังเล็ก ถึงแม้จะเป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก แต่สไตน์เฟลด์กลับฉายแววความสามารถอย่างโดดเด่น จนได้รับการเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในปีนั้น ถึงขนาดนิตยสาร Time จัดอันดับเธอติด 1 ใน 10 นักแสดงยอดเยี่ยมประจำปี 2011 “สไตน์เฟลด์มอบบทสนทนาที่ชัดเจนราวกับเป็นภาษาถิ่นง่ายๆ สามารถเผชิญหน้ากับวายร้ายด้วยความกล้าหาญ และเอาชนะหัวใจคนดู นั่นคือการเป็นยอดคนที่แท้จริง” หลังรับบทตัวประกอบใน Begin Again (2013) สไตน์เฟลด์พลิกโฉมขึ้นมารับบทนำใน Romeo & Juliet (2013) เวอร์ชันที่ตรงตามต้นฉบับนิยายของ วิลเลียม เชกสเปียร์ ที่สุด (แต่ตรงใจคนดูน้อยมาก) ตามมาด้วย Ender's Game (2013), Pitch Perfect 2 (2015), The Edge of Seventeen (2016) ฯลฯ ทั้งนี้ทั้งนั้น การเข้าวงการตั้งแต่เด็กมิได้ทำให้เธอกดดันแต่อย่างใด “ฉันไม่เอาเรื่องความกดดันเข้ามารกสมองเลย ฉันแข่งขันกับตัวเองมาก และพยายามเรียนรู้มากขึ้นเพื่อให้ส่งผลดีตอนฉันเติบโต” เธอกล่าว “ความกดดันมันมีกันอยู่แล้วล่ะ แต่ฉันไม่เอามาเก็บไว้ในใจ ถ้าฉันมัวแต่คิดเรื่องความกดดัน ฉันคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ” ไม่เพียงความสามารถทางการแสดง สไตน์เฟลด์ยังมีความสามารถทางการร้องเพลงอีกด้วย (เห็นได้จาก Pitch Perfect 2) โดยในปี 2015 เธอปล่อยซิงเกิล “Love Myself.” ซึ่งมียอดขายระดับแพลตินัม (หนึ่งล้านชุด) เช่นเดียวกับซิงเกิล “Starving” ปี 2016 ที่ทำสถิติยอดขายระดับเดียวกัน และด้วยภาพลักษณ์ยิ่งโต ยิ่งเซ็กซี ทำให้เธอมีโอกาสรวมแก๊งนางฟ้าสายมารในมิวสิกวิดีโอ “Bad Blood” ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ก่อนเธอได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์สุดสวาท Fifty Shades Freed (2018) ในเพลง “Capital Letters” ส่งให้เธอกลายเป็นป็อปสตาร์ดวงใหม่ของวงการ “ในฐานะนักแสดง ฉันต้องสวมบทบาทอื่น และได้รับการปกป้องจากบทนั้นๆ ขณะที่การเป็นนักร้อง มันเป็นเรื่องราวของฉัน เสียงของฉัน และหน้าตาของฉันจริงๆ” เธอกล่าว ล่าสุด เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ กลับมาแสดงนำภาพยนตร์อีกครั้งกับ Bumblebee (2018) เธอรับบท “ชาร์ลี” เด็กสาวที่พบ “บัมเบิลบี” ในสภาพยับเยิน พัง และมีบาดแผลจากการทำศึก ก่อนเธอจะซ่อมแซมให้บัมเบิลบีฟื้นคืนชีพ และได้เรียนรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่รถเต่าโฟล์กสวาเก้นสีเหลืองธรรมดา “ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่คนจะไม่รักบัมเบิลบีค่ะ” สไตน์เฟลด์บอก “เขามีหัวใจ แต่เขาก็เป็นนักรบที่แข็งแกร่ง เขาเป็นผู้ปกป้อง ผู้ทำทุกอย่างเพื่อชาร์ลี” เพื่อเตรียมตัวทำงานนี้ สไตน์เฟลด์ได้ดูภาคก่อนๆ ของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ โดยเน้นหนักไปที่ภาพยนตร์ภาคแรก ซึ่งเธอใส่ใจเป็นพิเศษกับบทสนทนาระหว่างหุ่นกับมนุษย์ “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันใช้เวลาอยู่กับหุ่นยนต์มากกว่าอยู่กับคนค่ะ การแสดงกับความว่างเปล่าเป็นงานที่ท้าทายอย่างมาก แต่จินตนาการของทราวิส ไนต์ (ผู้กำกับ) นั้นมันชัดเจนตั้งแต่วันแรก เขามีพรสวรรค์ในการแปลงภาพที่คิดเอาไว้ในหัว มาขึ้นจอภาพยนตร์” นอกเหนือจากการแสดงนำ หลังถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จเธอยังร่วมทำเพลงประกอบภาพยนตร์ “Back To Life” ที่เราได้ยินในภาพยนตร์นี้ด้วย ซึ่งผู้กำกับไนต์บอกว่า “เฮลีย์เป็นคนมีความสามารถมากครับ พรสวรรค์ของเธอในฐานะนักดนตรีและนักแสดงผสมกลมกลืนเข้าด้วยกันอย่างน่าประหลาดและน่าประทับใจ ‘Back To Life’ คืองานที่สร้างสรรค์มาเพื่อยกย่องต่อพลังของความรักที่ช่วยเยียวยาและไถ่บาป มันสุดยอดมากครับ” อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดแล้วการเข้าวงการตั้งแต่วัยเด็ก สไตน์เฟลด์จึงเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Flare ว่า เหมือนสูญเสียประสบการณ์ช่วงวัยรุ่น และรู้ตัวอีกทีก็อายุ 18 แล้ว ซึ่งเธอปฏิเสธการเป็นต้นแบบชีวิตแก่วัยรุ่น
“ฉันอยากให้คุณฟังตัวเอง อาจมีหลายคนที่พยายามชักจูงคุณไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่ได้หมายความว่าทางนั้นเป็นทางที่ผิดนะคะ แต่คุณต้องรู้ว่าอะไรคือทางที่เหมาะสมแก่ตัวเอง จงเชื่อตัวเอง ทำตามจิตใจของคุณ หรือทำอะไรก็ตามที่คุณมีความสุข และอย่าลืมใช้ชีวิตเพื่อตัวคุณเอง”
ที่มา