16 มิ.ย. 2568 | 10:35 น.
KEY
POINTS
[บทความนี้เรียบเรียงมาจากบางส่วนของปาฐกถาพิเศษ นำเสนอโดย ชาติศิริ โสภณพนิช ในงานฉลองครบรอบ 11 ปี นิตยสาร Elite+]
ในงานเฉลิมฉลองครบรอบนิตยสาร ‘Elite Plus Magazine 11th Anniversary Gala Celebration’ ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมชาเทรียม ริเวอร์ไซด์ นอกจากกิจกรรมการกุศลระดมทุนเพื่อมอบให้ ‘มูลนิธิบราเดอร์หลุยส์ ชาแนล’ องค์กรที่อุทิศตนเพื่อการสนับสนุนโอกาสทางการศึกษา การดูแลผู้สูงวัย และการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทยแล้ว ไฮไลท์สำคัญในค่ำคืนนั้น คือปาฐกถาพิเศษ โดย ‘ชาติศิริ โสภณพนิช’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) หนึ่งในผู้นำองค์กรที่ผ่านความผันผวนของเศรษฐกิจไทยมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติต้มยำกุ้ง, วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ หรือการแพร่ระบาดของโควิด-19
ชาติศิริ โสภณพนิช กล่าวปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษ ในหัวข้อ ‘Thriving in Chaos’ (การเติบโตในโลกแห่งความโกลาหล) ด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น เปลี่ยนบรรยากาศความอึกทึกรื่นเริงของงานเลี้ยงสังสรรค์ มาสู่ความเงียบสงบในห้วงเวลาหนึ่ง ทุกถ้อยคำของเขาสะกดความสนใจของทุกคนภายในห้องบอลรูมแห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักการทูตและนักธุรกิจ ให้หันกลับมาทบทวนในเรื่องสำคัญที่โลกกำลังเผชิญหน้า
“องค์กรจะดำรงอยู่และเติบโตอย่างมีความหมายในยุคสมัยแห่งความโกลาหลได้อย่างไร”
“ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ในการชี้ชัดประเด็นปัญหาเหล่านี้ และให้ข้อมูลเชิงลึกจากสิ่งที่เราศึกษา แต่ขอเรียนว่าผมไม่ได้มีลูกแก้วที่จะทำนายอนาคต จุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดและน่าจะสมเหตุสมผลที่สุด คือการนิยามความหมายของคำว่า ‘ความโกลาหล’ เสียก่อน หลังจากนั้นเราจึงจะสำรวจวิธีการที่จะเติบโตต่อไป
“ยิ่งโลกของเรามีความซับซ้อนมากขึ้นเท่าไร การทำนายอนาคตก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งคนรุ่นหลังจะคาดหวังว่า อนาคตและชีวิตของพวกเขาจะดำเนินไปในลักษณะที่คล้ายคลึงกับปู่ย่าตายายและบรรพบุรุษของตน
“ปัจจุบัน ไม่เพียงแต่โลกจะมีความซับซ้อนสูงเท่านั้น แต่เราแต่ยังกำลังใช้ชีวิตในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ซึ่งจังหวะของการเปลี่ยนแปลงเร่งตัวขึ้น จนถึงจุดที่เราแทบจะคาดเดาไม่ได้ว่า การทำงานและชีวิตจะเป็นอย่างไรในปีหน้า นับประสาอะไรกับทศวรรษต่อไป”
‘ชาติศิริ โสภณพนิช’ เริ่มต้นสุนทรพจน์ด้วยการฉายภาพโลกในปัจจุบัน ซึ่งกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ‘คลื่นแห่งความโกลาหล’ ที่มิได้เกิดขึ้นโดยลำพัง แต่ซ้อนทับกันและเสริมแรงกันเป็นวงจรที่ซับซ้อน ส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม ภูมิรัฐศาสตร์ และโครงสร้างของการดำเนินธุรกิจ
ปัจจัยสำคัญ 4 ประการที่ ชาติศิริ หยิบยกขึ้นมานั้น ไม่เพียงสะท้อนความท้าทายในปัจจุบัน แต่ยังบ่งชี้ว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง (structural transformation) ที่ลึกซึ้งและยาวนาน
เริ่มจาก ปัจจัยแรก ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ หรือ ‘Climate Change’ ที่ ชาติศิริ เน้นว่าเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ วิธีที่เราตัดสินใจตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กฎระเบียบ ESG เปลี่ยนแปลง จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา
สำหรับประเทศไทยที่เผชิญภัยธรรมชาติบ่อยครั้งขึ้นและรุนแรงขึ้น เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2566 ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติที่สูงเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เป็นบทพิสูจน์ว่า ‘ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม’ ได้กลายเป็น ‘ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ’ ไปแล้วโดยปริยาย
การเปลี่ยนผ่านสู่ ‘สังคมคาร์บอนต่ำ’ (Low-carbon Transition) จึงเป็นภารกิจที่เลี่ยงไม่ได้ และต้องการความร่วมมือทุกระดับ ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ไปจนถึงระดับปัจเจก โดยประเทศไทยและกลุ่มอาเซียนต่างมีเป้าหมาย Net Zero เป็นธงนำ ซึ่งจะไม่เพียงเปลี่ยนวิธีผลิตพลังงาน แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนรูปแบบเมือง ระบบโลจิสติกส์ ไปจนถึงตลาดแรงงานทั้งหมด
ปัจจัยที่สองคือ ‘พลังของเทคโนโลยีและนวัตกรรม’ ที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่ทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ Generative AI และ Agentic AI เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่นี้กำลังสั่นคลอนสถานะที่เป็นอยู่และท้าทายธุรกิจที่มั่นคง อุตสาหกรรม และวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ นอกจากนี้ การนำ Generative AI ไปใช้ในทางลบโดยผู้ไม่หวังดี ยังเพิ่มภัยคุกคามต่อธุรกิจ ลูกค้า พนักงาน และครอบครัวอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีเหล่านี้ก็ได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ โควิดได้เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะในด้านโลจิสติกส์ ระบบอัตโนมัติ การทำงานทางไกล อีคอมเมิร์ซ และการธนาคาร ในช่วงไม่นานมานี้ เทคโนโลยี AI เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานและการดำเนินธุรกิจมากมาย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อรากฐานของธุรกิจและแนวปฏิบัติการของงานหลายอย่าง แต่ยังเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของลูกค้าและพนักงาน ในเรื่องการใช้ชีวิต การทำงาน และการบริโภคอีกด้วย
‘ความสั่นคลอนของภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐกิจ’ คือปัจจัยที่ 3 ชาติศิริ ชี้ให้เห็นถึงแรงสั่นสะเทือนจากหลายพื้นที่ อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครน, ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง, ความไม่ชัดเจนในแนวนโยบายของสหรัฐอเมริกา และการที่จีนเผชิญปัญหา overcapacity ในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่การส่งออกสินค้าราคาถูกเข้าไปในประเทศอื่น รวมถึงไทย
ปัจจัยที่ 4 ‘การย้ายฐานห่วงโซ่อุปทาน และการทวนกระแสโลกาภิวัตน์’ มีการเปลี่ยนจากระบบห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก ไปสู่ระบบที่เน้นความมั่นคงในระดับภูมิภาคมากขึ้น เวียดนามเป็นตัวอย่างของประเทศที่ได้รับประโยชน์สูงสุด เนื่องจากค่าแรงที่ต่ำควบคู่กับระดับการพัฒนาทุนมนุษย์ที่สูง
เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันได้ ประเทศไทยจะต้องต่อยอดจุดแข็งของตนเองและเสริมจุดอ่อน เช่น การพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ พร้อมกับเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า เรายังต้องลงทุนอย่างสร้างสรรค์ ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค เช่น การลงทุนในสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้นในต่างประเทศ ทั้งประเทศไทยและอาเซียนต้องสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากสิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขัน
ในประเทศไทย การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของการยื่นขอส่งเสริมการลงทุนต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พุ่งถึงระดับสูงสุดในรอบสิบปี เมื่อปีที่แล้ว โดยมีการลงทุนไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมชีวภาพและอุตสาหกรรมสีเขียว, รถยนต์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่ และการผลิตชิ้นส่วน ตลอดจนศูนย์ธุรกิจระหว่างประเทศ อุตสาหกรรมดิจิทัล, เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง คำขอฯ จากภาคส่วนนี้ มีมากกว่า 3,100 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งแนวโน้มเชิงบวกนี้ยังคงดำเนินต่อไปในปีนี้
“นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างมากสำหรับลูกค้าหลายรายของเรา สำหรับบางราย สถานการณ์นี้เป็นเรื่องของการปรับตัวหรือไม่ก็ล้มตาย เราพยายามช่วยเหลือพวกเขา ด้วยการแบ่งปันความรู้ การแนะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการเชื่อมโยงพวกเขากับพาร์ทเนอร์และโอกาสใหม่ ๆ ในขณะเดียวกัน เราก็เรียนรู้จากลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พวกเขาขยายธุรกิจเข้าสู่ภาคส่วนและตลาดใหม่ หรือพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ ๆ”
‘วิกฤตการณ์’ มักเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจหลายแห่งเสมอมา หากมองย้อนกลับไปถึงยุค ‘ต้มยำกุ้ง’ ธุรกิจไทยส่วนใหญ่ที่สามารถรอดพ้นช่วงเวลาท้าทายนั้นได้ ล้วนเรียนรู้ถึงความสำคัญของการสร้างงบดุลที่แข็งแกร่ง และการนำระบบธรรมาภิบาลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถเผชิญกับความกระทบกระเทือนอื่น ๆ เช่น วิกฤตการเงินโลกปี 2008 หรือการระบาดของโควิด ด้วยความมั่นใจมากขึ้น
“เมื่อเดือนธันวาคม (2024) ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงเทพได้ฉลองครบรอบ 80 ปี เป็นโอกาสดีที่ผมได้ย้อนมองถึงสิ่งที่ทำให้เราเติบโต จากตึกแถวแห่งหนึ่งในย่านเยาวราช ที่เปิดขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง มาเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นธนาคารที่มีเครือข่ายต่างประเทศมากที่สุด และเป็นธนาคารชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน
“เราให้ความสำคัญกับการอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้าเสมอมา เพื่อให้เราสามารถเข้าใจความต้องการและเป้าหมายของพวกเขาอย่างแท้จริง และมอบการสนับสนุนที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของพวกเขา นี่คือวิธีที่เราสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ โดยการขยายธุรกิจไปพร้อมกับลูกค้าเพื่อสนับสนุนธุรกิจของพวกเขาในตลาดต่างประเทศ
“ในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ เราไม่ใช่ธนาคารที่อยู่เฉพาะช่วงเวลาดี ๆ เท่านั้น เราคอยเป็นเพื่อนคู่คิดกับลูกค้าทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ความมุ่งมั่นนี้สะท้อนอยู่ในคติของเรา ‘Trusted Partner and Reliable Close Friend.’ ผมเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่เราทำต้องได้รับการชี้นำด้วยหลักการที่มั่นคงและความสามารถในการสร้างความไว้วางใจกับลูกค้า”
ภายใต้หัวข้อ Thriving in Chaos ชาติศิริ โสภณพนิช ได้นำเสนอสาระคำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับองค์กรธุรกิจ ผ่าน ‘5 Recommendations’ ดังนี้
1. ยอมรับว่า ‘การเปลี่ยนแปลง’ คือสิ่งเดียวที่แน่นอน (accept that change is the only constant) นี่คือธรรมชาติที่เป็นตัวกำหนดยุคสมัยของเรา การคาดหวังให้ทุกอย่างคงเดิมจะไม่ได้ผล
2. จงมีความสามารถในการปรับตัว (Be adaptable) การรู้และมองเห็นการเปลี่ยนแปลงจะไม่ช่วยอะไร หากคุณไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
3. เรียนรู้บทเรียนจากอดีต (Learn lessons from the past) ประวัติศาสตร์อาจจะไม่เกิดซ้ำรอยเดิม ถ้าเราสามารถนำบทเรียนมากมายในการนำทาง โดยเฉพาะความจริงที่ว่า ‘ความพึงพอใจในสถานการณ์ปัจจุบัน’ มักจะก่อให้เกิดความเฉื่อยชา หลายบริษัทที่เคยอยู่ในจุดสูงสุดของวงการได้หายไปหรือถดถอยลงเพราะเหตุผลนี้
4. เรียนรู้จากอดีตโดยไม่ยึดติดกับอดีต (Be willing to let go of the past) คุณไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ หากยังยึดติดอยู่กับอดีต คุณต้องสร้างความสำเร็จบนธุรกิจหลัก แต่หากธุรกิจนั้นไม่สามารถดำเนินต่อไปได้อีก คุณต้องปล่อยมันไป เพื่อที่คุณจะได้หันมาโฟกัสกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ธุรกิจรายใหญ่หลายรายในเอเชียในปัจจุบัน เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวขนาดเล็ก เราควรระลึกถึงรากฐานและความกล้าหาญของเรา และไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิมหรือขนบธรรมเนียมในอดีตมากเกินไป
5. รู้ว่ายังมีสิ่งที่เราไม่รู้ (Know what you don’t know) เป็นไปไม่ได้ที่จะติดตามทันกับทุกความเคลื่อนไหวทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และพัฒนาการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสัญชาตญาณให้มีความเฉียบคมในการตรวจจับช่องว่างความรู้ของตนเอง และการเข้าใจสิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการตื่นตัวต่อความเสี่ยงและโอกาสใหม่ ๆ
“การมีจิตใจใฝ่รู้ และการแสวงหาผู้เชี่ยวชาญและแหล่งข้อมูลที่หลากหลายจะช่วยให้คุณมีข้อมูลครบถ้วน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจำไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
“ในยามที่สับสนวุ่นวาย การมีเพื่อนบางคนจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย และนั่นคือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจได้และเพื่อนใกล้ชิดที่น่าเชื่อถือของคุณ ขอบคุณมากครับ”
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: เว็บไซต์ธนาคารกรุงเทพ