‘เดนดาว’ การโคจรของเศษเสี้ยวตัวตนที่แตกสลายจนกลายเป็นความรัก

‘เดนดาว’ การโคจรของเศษเสี้ยวตัวตนที่แตกสลายจนกลายเป็นความรัก

‘เดนดาว’ หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องการหาความหมายของรักนิรันดร์ผ่านสองตัวละครที่ถูกกดทับและแตกสลายจนกลายเป็นความรักที่พวกเขาบอกว่ามันคือ ‘พรหมลิขิต’

KEY

POINTS

คุณเชื่อในรักนิรันดร์ไหม?

มันอาจดูเป็นไปได้ยากสำหรับคนคนหนึ่ง เพราะความรักที่เราเคยมอบให้ใครสักคนอาจเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ในโลกของตัวละครจากหนังสือ เดนดาว โดย จิตจงกล น้ำ และวิบวับ รักของพวกเขากลับมั่นคง แม้ต้องหลบซ่อนจากสายตาของสังคม

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องการโอบกอดตัวละครที่ถูกกดทับ และเศษเสี้ยวตัวตนที่แตกสลาย มันคือความรักที่ยอมรับเราในทุกแง่มุม และสอนว่าไม่เป็นไรเลยหากคนที่เรารักจะไม่สมบูรณ์แบบ หรือรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก 

ทุกสิ่งในเรื่องบอกเราว่า รักนิรันดร์อาจมีอยู่จริง แม้ระหว่างทางเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่หัวใจเราก็ยังพร้อมจะรักใครสักคน แม้เขาจะไม่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม

ลูกชายที่ไม่ได้เป็นชาย

อย่างที่ผู้อ่านทุกคนได้อ่าน ความรักของน้ำกับวิบวับเกิดขึ้นในบ้านหลังเล็ก ๆ กลางไร่ในอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 

เมื่ออยู่บ้าน ทั้งสองคนคือ ‘ลูกชาย’ ที่เลือกซ่อนตัวตนไว้ในครอบครัวที่ไม่อนุญาตให้พวกเขาเป็นตัวเอง น้ำยังเป็นหนุ่มเซอไว้ผมยาว พูดจาหยาบกร้าน เป็นพ่อค้าขายน้ำเต้าหู้ที่สาว ๆ มาแอบมอง ส่วนวิบวับก็เป็นหนุ่มชาวสวนที่ใส่เสื้อตัดอ้อยและกางเกงขาเดฟที่พอจะปกปิดความซนของตัวเองได้อยู่บ้าง 

สำหรับน้ำ เขาไม่เคยบอกใครว่า เขาเป็นเกย์ แต่เอาความรู้สึกทั้งหมดไปอยู่ในภาพวาด บ้านร้างเล็ก ๆ สีชมพูข้างบ้าน จึงกลายเป็นนิทรรศการภาพนู้ดที่เต็มไปด้วยองคชาตหลากหลายรูปแบบ และเป็นสถานที่ที่เขาไม่อยากให้ใครเห็น

เอาเข้าจริง น้ำฝันอยากเป็นศิลปิน แต่ทุกอย่างพังทลายลง ชีวิตที่ต้องทำมาหากินและพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่า เขาสามารถดูแลตัวเองได้ และคงจะยากที่พ่อจะยอมรับว่าลูกชายคนนี้เป็นเกย์

“ชาวบ้านจะเชื่อหรือไม่… ไม่ฉิบหายเท่ากับการที่คำพูดจะลอยล่องไปติดหน้าบ้านพ่อของเขาหรือเปล่า คนไม่สำคัญอย่างพ่อค้าน้ำเต้าหู้อาจจะกลายเป็นเรื่องเล่าคลายเส้น หรืออาจจะแค่แซวเล่นขำๆ อย่างเช่นไอน้ำ “สรุปมึงไว้ผมยาวทำไมวะ” “แล้วมาทำเป็นแอ๊บแมน” แต่มันไม่ขำสำหรับพ่อ”

ส่วน ‘วิบวับ’ ก็เป็นคนที่วัน ๆ ดูจะไม่ทำอะไร น้องจากเดินไปเดินมา และจีบน้ำ เขารักการร้องเพลง ฝันอยากไปอยู่กรุงเทพฯ แต่เขาก็ใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนไปมา หลบซ่อนความเป็นตัวเองจากพ่อที่เป็นลูกผู้ชายแท้ต่อไป

หนังสือเล่มนี้บอกเราว่า ทั้งน้ำและวิบวับ คือ ลูกชายที่ไม่ตรงตามขนบ พวกเขารักผู้ชาย ไม่อยากบวช แค่อยากจะมีชีวิตอิสระ ปลดพันธนาการแล้วใช้ชีวิตในฐานะคนคนหนึ่ง โดยไม่ต้องมีใครมานิยามตัวตน 

“ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมว่าเราก็กลัวเหมือนกัน ผมไม่อยากให้พี่กลัวเลย เรากลัวทั้งที่แม่งก็ตัวเรา”

ถึงใครจะไม่อนุญาต แต่ในบ้านสองหลังเล็ก ๆ กลางทุ่ง ที่นี่แปลว่าอิสระ จะจูบ โอบกอด หรือระบายความในใจออกมาก็ย่อมได้ เพราะมันไม่มีอะไรดีไปกว่า การมีคนที่รักเรา และเราก็รักเขาสุดหัวใจ 

รักของเราที่เป็นนิรันดร์

เพราะมีเพียงแค่น้ำที่ปล่อยให้วิบวับพูดไปเรื่อย และมีแค่วิบวับที่ปล่อยให้น้ำด่าไปเรื่อย ขณะเดียวกัน เมื่ออยู่ด้วยกัน พวกเขาไม่ได้เป็นคนอื่น แต่เป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ที่สุด

ประโยคสำคัญที่ทำให้รู้ว่าคนแข็งทื่อแบบน้ำกำลังตกหลุมรักชายหนุ่มแสนสดใส คือ วันที่พวกเขานอนดูดาวกันกลางไร่ แล้วน้ำไปสังเกตเห็นรอยสักรูปดาวที่คอของวิบวับ

“ทำไมมึงสักรูปดาววะ” น้ำถาม

“ก็มันวิบวับ… แล้วมันวิบวับไหมล่ะพี่” วิบวับตอบแล้วถามอีกรอบ

น้ำตอบว่า “อืม ก็วิบวับอยู่”

ในชีวิตที่เต็มไปด้วยความมืด วิบวับเป็นเหมือนแสงระยิบระยับที่เข้ามาทำให้ชีวิตของน้ำมีสีสัน เขารู้สึกรัก รู้สึกเป็นห่วง และรู้สึกเหมือนได้ชีวิตกลับมาอีกครั้ง…

รอยสักที่เซฟตัวตนและความทรงจำของวิบวับเอาไว้ “ถ้าวันหนึ่งผมตาย ทั้งแผลทั้งรอยสักของผม มันก็ตายไปพร้อมกับผมด้วยนั่นแหละ”

เมื่อทั้งสองคนตกลงเป็นแฟนกัน น้ำจึงให้ความหมายรอยสักนี้เป็นคำสั้น ๆ ว่า ‘นิรันดร์’ คำธรรมดาที่ดูเป็นนามธรรม แต่กลับแทนความรู้สึกของน้ำที่มีต่อวิบวับได้เป็นอย่างดี

“ถึงตอนแรกมันจะไม่มีความหมายอะไร แต่ตอนนี้มันก็บ่งบอกตัวตนมึงนะ แล้วอันนี้กูจะให้ความหมายมันว่า นิรันดร์”

น้ำรักวิบวับมากแค่ไหนคงไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้คือวิบวับรักน้ำสุดใจ รักจนบอกได้ว่า ผู้ชายเซอร์ ๆ คือ หัวใจของเขา 

“พี่เป็นหัวใจของผมเลยนะเว้ย พี่ทำให้ผมรู้สึก ว่าผมแม่ง ก็มีชีวิตเหมือนกัน”

ถึงมันจะยากและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย แต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายของ ‘เดนดาว’ บอกเราแล้วว่า รักของชายสองคนนี้ คือ ความเป็นนิรันดร์

การโอบกอดตัวตนที่แตกสลาย แต่มีอยู่จริง 

จริงอยู่ที่วิบวับมักจะหายตัวไป แบบไร้สาเหตุ

ไม่ใช่เพราะอยากจากน้ำไป แต่เพราะวิบวับ คือ เศษเสี้ยวความสดใสและความรักที่แตกสลายของ ‘เส็ง’ หมายถึงเขาเป็นโรคหลายอัตลักษณ์

ในร่างของเส็งมีทั้งเส็ง เล้ง วิบวับ ไอ้โบ้ นันท์ เดือน และกชกาฬ วันหนึ่งเส็งอาจจะหลับ แต่วิบวับตื่นขึ้น หรือขณะที่วิบวับหลับ อาจมีนันท์หรือกชกาฬที่เป็นด้านมืดของเส็งโผล่ขึ้นมา

และแต่ละคนจะจำเรื่องราวของอีกคนไม่ได้ สำหรับน้ำ นี่เป็นเรื่องใหม่ (และใหม่ในสังคมช่วงปี 2552) เขาต้องปรับตัว เขาอยากโอบกอดวิบวับไว้ แต่มันไม่ง่ายเลย 

บางครั้งวิบวับก็ยิ้มและจูบเขา แต่บางครั้งเขาก็ดูเป็นคนก้าวร้าว และดูเป็นคนอื่นที่น้ำไม่รู้จัก 

ซึ่งดาวเดนเองก็ถ่ายทอดความเจ็บปวดของวิบวับออกมาได้ดี แต่จากบทวิเคราะห์ของคุณ ‘ระบบอนันต์’ ในฐานะนักอ่านและผู้ที่เป็นโรคหลายอัตลักษณ์ พูดถึงหนังสือเรื่องนี้ ทำให้เรารู้ว่า ชีวิตของคนที่มีภาวะโรคหลายอัตลักษณ์ พวกเขาต้องเผชิญกับความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งเขาก็อาจจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ 

นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้วิบวับเริ่มเขียนไดอารี่ เพราะมันยากที่จะรั้งใครสักคนไว้ข้างกาย แต่ไม่ว่าวิบวับจะอยู่ที่ไหน ทั้งสองคนก็ยังรักและเป็นห่วงกันเสมอ

“วันนั้นกูดีใจที่สุดเลยนะ กูได้เจอวิบวับของกูแล้ว” น้ำคิดในใจหลังจากเจอวิบวับที่บอกให้เขาดูแลตัวเอง แม้จะเป็นคำพูดสั้น ๆ เพียงประโยคเดียว

หากให้สรุปสั้น ๆ ดาวเดน คือ หนังสือที่อยากให้เรากลับไปสำรวจแง่งามของความรักในทุกมิติ 

รักตัวเอง

รักคนที่รักเรา 

รักคนที่เรารัก 

และรักด้วยความรู้สึกที่อยากจะรักใครคนหนึ่งสุดหัวใจ

 

อ้างอิง
บทวิเคราะห์วิจารณ์นิยายเดนดาว Never Die / readawrite