Tempest : เมื่อคนในชาติมิอาจปรองดอง ต่างชาติย่อมเข้ามาแทรกแซง

Tempest : เมื่อคนในชาติมิอาจปรองดอง ต่างชาติย่อมเข้ามาแทรกแซง

Tempest ซีรีส์ที่เล่าเรื่องความขัดแย้งเกาหลีเหนือ–ใต้ เชื่อมโยงอิทธิพลมหาอำนาจ พร้อมสะท้อนบทบาทตัวละครหญิงท่ามกลางโลกการเมืองที่ตึงเครียด

KEY

POINTS

คงมีเพียงไม่กี่ชาติที่จะทำซีรีส์หรือภาพยนตร์เกี่ยวกับคนในชาติห้ำหั่นกันเองแบบที่เกาหลีใต้สามารถทำได้ 

เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมชาติกันสำเร็จตั้งแต่ปี 1976 ส่วนเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกก็รวมชาติสำเร็จในปี 1990 ขณะที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้กลับเกิดสงครามห้ำหั่นกันเองระหว่างคนในชาติตั้งแต่ปี 1950 จนถึงปัจจุบันก็ยังอยู่ในภาวะสงบศึกมาหลายทศวรรษ มันไม่ใช่การสิ้นสุดสงครามแต่อย่างใด และดูเหมือนการรวมชาติยังห่างไกลจากความจริงอยู่มาก เพราะเกาหลีทั้งสองชาติต่างกอดระเบิดเวลาอันแสนเปราะบางไว้ รอวันปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีเชื้อไฟจุดชนวนระเบิดในสถานการณ์ที่เหมาะสม

แน่นอนว่าผู้เขียนกำลังพูดถึงซีรีส์เรื่อง Tempest ถ้าแปลตามเนื้อผ้าว่า พายุใหญ่ หรือ มรสุม แต่ชื่อเรื่องภาษาเกาหลีกลับเป็น 북극성 ที่แปลว่าดาวเหนือ (Polaris) โดยทิ้งให้ผู้ชมคิดเอาเองว่าทำไมต้องเป็นดาวเหนือ จัดเป็นซีรีส์ที่เล่นใหญ่มาก กล้าทำสุดจริง ๆ เพราะกล้าวิจารณ์สัมพันธภาพระหว่างนานาประเทศอย่างเปิดเผย โดยขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนต้นฉบับนี้ เนื้อเรื่องได้ดำเนินไปจนถึง Episode 5 เท่านั้น จึงยังเดาทิศทางของเนื้อเรื่องได้ยาก 

/บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาซีรีส์ tempest (2025) ถึง Episode 5 /

Tempest : เมื่อคนในชาติมิอาจปรองดอง ต่างชาติย่อมเข้ามาแทรกแซง

เรื่องย่อคือ นางเอกชื่อซอมุนจู (แสดงโดย จอนจีฮยอน) อดีตนักการทูตหญิงที่แต่งงานกับสามีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่มีเงื่อนงำให้สามีของเธอถูกลอบสังหาร แต่ทว่าก็ได้พระเอกชื่อแพคซานโฮ (แสดงโดย คังดงวอน) ซึ่งพื้นหลังชีวิตยังเป็นความลับได้มาช่วยชีวิตนางเอกไว้ จนมีอันให้พระเอกต้องกลายเป็นบอดี้การ์ดให้นางเอกและช่วยชีวิตนางเอกอีกหลายครั้ง จนนำไปสู่สัมพันธภาพลึกซึ้งต่อกัน 

ยิ่งซอมุนจูขุดคุ้ยสืบสวนเท่าใดก็ยิ่งพบความลึกลับซับซ้อนของเงื่อนปมการถูกลอบสังหารของอดีตสามีเท่านั้น และอาจนำผู้ชมไปสู่การสมรู้ร่วมคิดข้ามชาติขนานใหญ่ที่อาจมีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวต้นเหตุ (ณ ปัจจุบันใน EP. 5 ทำให้ผู้ชมรู้สึกเช่นนั้น แต่ต้องรอชมกันต่อไปว่าจะมีอะไรหักมุมอีก) และนางเอกก็ตัดสินใจลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเสียเลยในที่สุด

Tempest : เมื่อคนในชาติมิอาจปรองดอง ต่างชาติย่อมเข้ามาแทรกแซง

ในเรื่องนี้กล่าวถึงบทบาทของหลายประเทศในเอเชียอย่างเช่นจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และกล่าวถึงสัมพันธภาพของสหรัฐอเมริกาและรัสเซียอีกด้วย ซึ่งหลายประเทศในเอเชียยังคงหนีไม่พ้นจากอิทธิพลการล่าอาณานิคมของตะวันตก แม้จะไม่มีลัทธิล่าอาณานิคมดังกล่าวในปัจจุบันแล้ว แต่ผลจากการล่าอาณานิคมนั้นยังคงดำรงอยู่มาจนปัจจุบัน 

ที่เห็นชัดมาก ๆ ก็คงหนีไม่พ้นกรณีของเกาหลีทั้งสองชาติที่ต่างก็มีตัวเลข 38 บนเส้นขนานที่ 38 ที่แบ่งเกาหลีออกเป็นสองชาตินั้นฝังอยู่ในความทรงจำไปตลอด ประชาชนรุ่นสูงอายุที่ยังจดจำสมัยเกาหลีเป็นชาติเดียวกันได้ก็ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมากแล้ว รัฐบาล, กองทัพ, และประชาชนทั้งของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในปัจจุบันต่างก็มีแนวโน้มจะมองกันและกันเป็นศัตรู ความหวังในการรวมชาติจึงเป็นจริงได้ยากยิ่ง

ที่น่าสนใจมากในเรื่อง Tempest คือมีการเปิดเผย ‘สัญญาณของสงครามเกาหลีเหนือ-ใต้’ ไว้ 3 ประการ ซึ่งผู้เขียนไม่อาจทราบได้ว่าจริงหรือไม่ แต่ในซีรีส์เรื่องนี้ สัญญาณทั้ง 3 ประการล้วนเป็นฝีมือของสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น ดังนี้

1. ระเบิดเจาะบังเกอร์ที่ออกแบบเพื่อทำลายฐานทัพใต้ดินของเกาหลีเหนือ มีการรวบรวมไว้ที่โอกินาวา (ญี่ปุ่น) ระเบิดพวกนั้นจำนวนมากนำไปติดตั้งแล้ว ณ ปัจจุบันในเรื่อง Tempest

2. เรือดำน้ำยุทธศาสตร์ติดอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ชื่อยูเอสเอสมิชิแกน ไม่นานมานี้ ดาวเทียมลาดตระเวนของรัสเซียตรวจพบว่ามันออกจากท่าเรือโยโกสุกะ (ญี่ปุ่น) แล้ว ณ ปัจจุบันในเรื่อง Tempest

3. การอพยพพลเรือนสหรัฐฯ ถ้าสัญญาณวิทยุ AFN ของกองทัพสหรัฐฯ เปิดเพลงของ Frank Sinatra เพลง Have yourself a merry little Christmas นั่นแปลว่าจบแล้วจริง ๆ

Tempest : เมื่อคนในชาติมิอาจปรองดอง ต่างชาติย่อมเข้ามาแทรกแซง

เรื่องนี้วิจารณ์สหรัฐอเมริกาโดยตรงว่าเป็น ‘พี่เบิ้มตัวแสบ’ ซึ่งแม้แต่ญี่ปุ่นเองปัจจุบันก็ใช้รัฐธรรมนูญที่สหรัฐอเมริการ่างขึ้นตั้งแต่ 1946 เมื่อตอนญี่ปุ่นแพ้สงคราม และพื้นที่ในประเทศญี่ปุ่นจำนวนมากก็ยังเป็นพื้นที่ของสหรัฐอเมริกาไว้สร้างฐานทัพเพื่อ ‘ควบคุมดูแล’ น่านน้ำในเอเชียอยู่ สะท้อนให้เห็นว่าในที่สุดแล้วทั้งญี่ปุ่นและเอเชียนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสหรัฐอเมริกาอยู่ดี 

การใช้เพลง Have yourself a merry little Christmas ก็ค่อนข้างน่าเชื่อว่าเป็นเพลงเปิดฉากสงครามจริง ๆ เพราะเพลงนี้แต่งขึ้นในปี 1943 และเป็นเพลงโปรดของทหารสหรัฐที่ต้องจากบ้านเกิดไปรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจริง ๆ 

เรื่อง Tempest นี้ยังมี Sub-Plot เป็นเรื่องของ ‘ภาวะความเป็นชายที่เป็นพิษ (Toxic Masculinity)’ คืออดีตสามีของนางเอกนั้นครอบครัวแย่มาก ตั้งแง่ เหยียดหยาม บุลลี่ นางเอกมากมาย และเฉลยอีกว่าจริง ๆ สามีก็แอบไปมีเมียน้อย มีลูก มีครอบครัว กันเป็นล่ำเป็นสัน 

Tempest : เมื่อคนในชาติมิอาจปรองดอง ต่างชาติย่อมเข้ามาแทรกแซง

โดยที่นางเอกไม่มีวันรู้ถ้าสามีไม่โดนลอบสังหารไปเสียก่อน และมีออร่าของ ‘พลังหญิง’ เด่นมากเพราะนางเอกลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ขณะที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนปัจจุบันในเรื่องก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน อีกทั้งแม่สามีก็อยู่เบื้องหลังทางการเมืองต่าง ๆ อีกด้วย เรียกว่าส่องไฟเด่นให้ตัวละครหญิงทั้ง 3 ตัวเด่นมากท่ามกลางตัวละครชายจำนวนมาก (ที่ toxic กันหลายคน) ที่เป็นนักการเมืองและกองทัพของหลาย ๆ ประเทศที่ปรากฏในเรื่อง

Tempest : เมื่อคนในชาติมิอาจปรองดอง ต่างชาติย่อมเข้ามาแทรกแซง

ผู้เขียนเองชื่นชมจอนจีฮยอนจากเรื่อง Il Mare (ปี 2000) ที่เจ็บปวดอย่างอ่อนโยน มากกว่าบทของยัยตัวร้ายในเรื่อง My Sassy Girl (ปี 2001) และค่อนข้างจะรู้สึกเหมือนได้เจอสหายเก่าที่พัฒนาฝีมือการแสดงไปถึงขั้นสูงสุดแล้วในเรื่อง Tempest โดยเปลี่ยนจากขายความน่ารักแบบยัยตัวร้ายมาแสดงบทเครียดมาก ๆ ๆ และต้องยอมรับว่าเกาหลีมีความหลากหลายของบทละครมากจริง ๆ ทำให้นักแสดงสามารถขายฝีมือได้ตั้งแต่อายุ 10 กว่า ๆ ไปจน 50-60 ก็ได้ 

ถ้าใครเป็นสายเสพสื่อบันเทิงแนวเครียด ๆ หนัก ๆ อย่างเรื่อง Tempest ก็ขอแนะนำอีก 2 เรื่องที่เครียดไม่แพ้กันและเป็นแนวเกาหลีเหนือ-ใต้ห้ำหั่นกันเอง คือเรื่อง ชวิริ (쉬리 ปี 1999) และเรื่อง แทกุกกิ (태극기 휘날리며 ปี 2004) ที่เข้มแบบหดหู่หม่นหมองสุดขีด

 

ภาพ : Disney Plus Hotstar Thailand, Disney Plus Hotstar Korea