‘American Manhunt : Osama Bin Laden’ ชัยชนะที่ค้างคากับสงครามที่ไม่มีในแผนที่

‘American Manhunt : Osama Bin Laden’ ชัยชนะที่ค้างคากับสงครามที่ไม่มีในแผนที่

‘American Manhun Osama bin Laden’ ปฏิบัติการรุกฆาตบินลาเดน เกือบศตวรรษของการไล่ล่า จากความล้มเหลวของหน่วยข่าวกรอง สู่วันที่สยบผู้ก่อการร้ายได้ถึงหน้าประตู

KEY

POINTS

  • ชัยชนะที่ล่าช้าและเจ็บปวด — แม้จับตายบินลาเดนได้ แต่ต้องแลกด้วยความผิดพลาดซ้ำซ้อนและการสูญเสียมหาศาลก่อนหน้า
  • สงครามไร้แนวรบ — การล่าไม่ใช่แค่เรื่องทหาร แต่คือเกมข่าวกรองที่ไม่มีเส้นชัยชัดเจน
  • ยุติธรรมหรือการล้างแค้น — สารคดีชวนถามว่า การสังหารศัตรูคือจุดจบของความยุติธรรมหรือแค่จุดเริ่มของคำถามใหม่

ย้อนกลับไปในวันที่ ‘โอซามา บินลาเดน’ กลายเป็นเป้าหมายระดับสูงสุดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และของโลกตะวันตก เหตุการณ์ก่อการร้ายที่สั่นสะเทือนโลกในวันที่ 11 กันยายน 2001 ได้ทำให้ชื่อของผู้นำอัลกออิดะห์กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘ความชั่วร้าย’ และ ‘ภัยคุกคาม’ ของโลกโดยแท้จริง

แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ใช่ฉากแอ็คชันที่จบลงได้ภายในสองชั่วโมง หากแต่เป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานนับสิบปี และการไล่ล่าที่ต้องอาศัยความอดทนอย่างที่สุดของเจ้าหน้าที่บางกลุ่ม กับบทสรุปที่ยังค้างคาใจในหลายประเด็น

ในปี 2001 โลกเจอกับเหตุการณ์วินาศกรรมที่เครื่องบินพาณิชย์ได้พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์อันเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ในโลกทุนนิยมของอเมริกา และต่อมาในปี 2011 โลกได้ฟังแถลงการณ์ของประธานาธิบดี ‘บารัก โอบามา’ ว่าในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็สามารถจับตายผู้ก่อการร้ายต้นเหตุวินาศกรรมในครั้งนั้นอย่าง โอซามา บินลาเดน ได้เป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของอเมริกันชนหลายล้านคน

ทว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างทางของการไล่ล่า มีเหตุการณ์อะไรในระยะเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมาบ้าง?


 

มีเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 ที่ถูกเล่าออกมามากมาย โดยส่วนมากเป็นเรื่องราวของโศกนาฏกรรม ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เรื่องราวความเสียสละของกลุ่มคนที่แลกมาด้วยชีวิต หรือแม้แต่การใช้ชีวิตที่เหลือท่ามกลางความสะพรึงกลัวภัยก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก แต่ในสารคดี ‘American Manhunt : Osama Bin Laden’ เปิดเผยเรื่องราวอีกมุม เรื่องราวของปฏิบัติการติดตามไล่ล่าตัวผู้ก่อการร้ายของหน่วยข่าวกรองอย่างซีไอเอที่ใช้เวลาเกือบสิบปีในการจับตัวบินลาเดน ซึ่งก้ำกึ่งระหว่างประสบผลสำเร็จและล้มเหลว กับการทำงานแบบปิดทองหลังพระของหน่วยงานเล็ก ๆ อย่าง ‘หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย’ กลุ่มคนที่ทำงานอย่างหนักภายใต้แรงกดดันที่จะต้องพบตัวผู้ร้ายให้ได้เท่านั้น

ภารกิจที่มีชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นเดิมพัน

สารคดีตามติดเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ซีไอเอหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย กลุ่มคนหยิบมือหนึ่งที่ไม่สามารถอพยพออกจากอาคารสำนักงานไปยังที่ปลอดภัย ในวันที่ 11 กันยายน 2001 แบบคนอื่น ๆ ได้ เนื่องจากต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในการตามติดสถานการณ์การก่อการร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาด ๆ และทำท่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ จากข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามายังหน่วยข่าวกรอง ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเชื่อมโยงผู้ก่อเหตุเข้ากับกลุ่มก่อการร้ายอย่าง อัลกออิดะห์ ได้ในเวลาไม่นาน ชื่อของผู้นำกลุ่มอย่าง โอซามา บินลาเดน จึงได้ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายนับแต่นั้นมา 

ซีไอเอเริ่มทำความรู้จักกับบินลาเดนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1993 นั่นคือก่อนเกิดเหตุการณ์ 9/11 ถึง 8 ปี บินลาเดนก่อตั้งอัลกออิดะห์ ตั้งแต่ปี 1988 จากความต้องการในการก่อตั้งจักรวรรดิ์อิสลามใหม่ และจากความเกลียดชังประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาที่เข้ามาแทรกแซงโลกมุสลิม แถมยังเป็นประเทศที่สนับสนุนพวกนอกรีตทั้งหลายในสายตากลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง อย่างคนไร้ศาสนาและกลุ่ม LGBTQ+ เป็นต้น

หน่วยข่าวกรองติดตามความเคลื่อนไหวของชายผู้นี้ และพบว่าเขายังเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อการร้ายที่โจมตีสหรัฐอเมริกาในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก และหลายเดือนก่อนเหตุการณ์ 9/11 ซีไอเอได้รับรายงานที่น่ากังวลเกี่ยวกับการโจมตีสหรัฐอเมริกาครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพียงแต่เบาะแสทั้งหลายไม่อาจทำให้สรุปได้ว่า การโจมตีจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ และเกิดขึ้นอย่างไรกันแน่ แผนการโจมตีเหล่านี้เป็นความสุดยอด มีเพียงเบาะแสจากคำกล่าวลาครอบครัวของสมาชิกอัลกออิดะห์บางคน และคำปราศัยของบินลาเดนเองที่บอกกล่าวแก่สมาชิกว่าการโจมตีครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น 

เพียง 4 วันหลังวินาศกรรม ประธานาธิบดี ‘จอร์จ ดับเบิลยู บุช’ ผู้นำสหรัฐในขณะนั้น ก็ประกาศภาวะสงคราม โดยเรียกว่า ‘สงครามต่อต้านการก่อการร้าย’ และร้องขอให้นานาประเทศเข้าร่วมต่อต้านภัยร้ายของโลกในครั้งนี้ด้วยกัน 

แน่นอนว่าสงครามควรนำโดยทหาร แต่เพราะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยื่นกรอบระยะเวลาที่นานเกินกว่าที่ผู้นำที่กำลังเดือดดาลจะยอมรับได้ เมื่อหัวหน้าศูนย์ก่อการร้ายของซีไอเอ ให้คำตอบที่ถูกใจกว่า ปฏิบัติการล่าหัวบินลาเดน จึงตกไปอยู่ในมือของซีไอเอแทน

โจมตีมาโจมตีกลับ ผลลัพธ์คือไม่ได้อะไรเลย

ถึงตอนนี้ซีไอเอก็เดินหน้ารวบรวมทรัพยากรบุคคลของตัวเองทั้งหมด ในขณะที่หน่วยข่าวกรองก็ยังคงทำหน้าที่ตามแกะรอยเพื่อหาพิกัดที่บินลาเดนอยู่ให้ได้ แล้วก็พบว่าเป็นภารกิจที่ทำได้ยากมาก การจะเข้าถึงบินลาเดน จึงต้องใช้ทุกวิถีทางที่จะทำได้ อย่างไรก็ตามสิ่งแรกที่ต้องทำ คือการฝ่าด่านตาลีบันไปให้ได้เสียก่อน นั่นหมายถึง การบุกโจมตีกรุงคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน

แม้กองกำลังภาคพื้นของตาลีบันจะมีมากกว่าฝ่ายสหรัฐหลายเท่า ทว่าตาลีบันไม่มีกองกำลังทางอากาศอันมีแสนยานุภาพแบบสหรัฐ ในที่สุด การบุกโจมตีก็ประสบชัยชนะท่ามกลางความสูญเสียของพลเมืองอัฟกันและซากปรักหักพังของบ้านเรือน ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ต่างอะไรกับมหานครนิวยอร์กในเช้าวันที่ 11กันยายนเลยแม้แต่น้อย
“เราแก้ปัญหาด้วยการฆ่าคนได้หรือ?” นี่คือคำถามที่ค้างคาใจเจ้าหน้าที่และอเมริกันชนบางส่วน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยกับสงครามนี้

แม้จะถูกตั้งคำถาม แต่การไล่ล่าก็จำต้องดำเนินต่อไป เมื่อยึดเมืองได้สำเร็จ กลุ่มอัลกออิดะห์จึงถอยร่นออกไปกบดานอยู่ตามหุบเขา ปฏิบัติการระเบิดภูเขาเผากระท่อมจึงตามมาอีกระลอกใหญ่ แต่สุดท้าย ซีไอเอก็ยังไม่เจอตัวบินลาเดนอยู่ดี เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนแผนไปเป็นการเข้าถึงคนรอบตัวเพื่อตามรอยไปสู่การจับกุมบินลาเดนแทน ภารกิจเริ่มโดยการแกะสกัดเอาหลักฐานจากสิ่งละอันพันละน้อยตามฟุตเทจที่ถูกเผยแพร่จากทุกแหล่ง กลยุทธ์นี้ทำให้ซีไอเอพบมือออกแบบและนักวางแผนการอันดับหนึ่งของอัลกออิดะห์ แต่แม้จะจับเขามาเค้นหาความจริงเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ทำให้ทางการสหรัฐ รู้ที่อยู่ที่แท้จริงของบินลาเดนได้ ภารกิจล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
จาก 6 สัปดาห์ที่หัวหน้าหน่วยข่าวกรองประกาศไว้ว่าจะล่าตัวบินลาเดนมาให้ได้ ผ่านไปจนกลายเป็น 6 ปี ที่ซีไอเอทำได้แค่รับฟังแถลงการณ์ของบินลาเดนชิ้นล่าสุดให้ปวดใจเล่น แถลงการณ์ที่ประกาศเพิ่มความรุนแรงในการก่อการร้ายต่ออเมริกา โดยแมสเสจจริงอยู่ที่การแสดงให้ทั้งโลกเห็นว่า เขายังมีชีวิตอยู่ดี แถมยังวางแผนโจมตีเพิ่มอีกต่างหาก

สื่ออเมริกากล่าวหาหน่วยข่าวกรองของซีไอเอทันทีว่า ‘ล้มเหลวไม่เป็นท่า‘ คณะกรรมการ 11 กันยายน ก็ได้ออกมาวิจารณ์ถึงความล้มเหลวของหน่วยข่าวกรองในการที่ควรจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ 9/11 ทั้งที่ตัวเองมีเบาะแสสำคัญมากมาย แต่ก็ไม่มีความสามารถที่จะยับยั้งการก่อการร้ายได้ หน่วยข่าวกรองนั้น โดนโจมตีอย่างหนัก ทั้ง ๆ ที่ทำงาน ไม่ได้หยุดหย่อนตั้งแต่วินาทีที่เครื่องบินชนตึกมาโดยตลอด เรื่องนี้บั่นทอนหัวใจเจ้าหน้าที่อย่างหนัก 

แผนลับดับเงาบินลาเดน

เมื่อหมดวาระบุชได้ส่งต่อเรื่องนี้แก่ประธานาธิบดีคนใหม่ อย่าง ‘บารัก โอบามา’ ซึ่งเขาก็เดินหน้าต่ออย่างเต็มกำลัง ในช่วงเวลานี้สหรัฐได้พยายามตามล่าตัวบินลาเดนผ่านเครื่องมือหลากหลาย ทั้งข่าวกรองมนุษย์ สัญญาณการติดตามการเงิน การจับภาพดาวเทียม ตลอดจนการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก แต่บินลาเดนก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ราวกับโลกทั้งใบกำลังไล่ล่าผี

กระทั่งในปี 2010 ซีไอเอได้รับเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับผู้ส่งสารของบินลาเดน (อาบู อาห์เหม็ด อัล-คุวัยตี) ซึ่งนำไปสู่การพบ ‘เดอะคอมพาวด์’ หมู่อาคารปิดล้อมในเมืองแอบบอตตาบัด ประเทศปากีสถาน สถานที่ซึ่งต่อมาถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นที่ซ่อนของชายผู้ล่องหนมานานเกือบสิบปีก็เป็นได้

หลังจากการเฝ้าระวังนานนับเดือน ภาพการใช้ชีวิตประจำวันของ ‘ผู้อยู่อาศัยนิรนาม’ ของบ้านเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่มีอะไรจะสามารถระบุว่าเป็นบินลาเดนได้เลย แต่ข้อมูลทั้งหมดก็เพียงพอที่จะทำให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ตัดสินใจอนุมัติปฏิบัติการโจมตีในเดือนพฤษภาคม 2011

หน่วยซีลของกองทัพเรือสหรัฐฯ หรือซีลทีมหก ถูกส่งเข้าไปในปฏิบัติการลับสุดยอดนี้ พวกเขาบุกเข้าสู่ตัวอาคาร เป้าหมายถูกสังหาร และร่างของผู้ก่อการร้ายอันดับหนึ่งถูกนำออกไปพร้อมหลักฐานที่เก็บได้จากภายในบ้าน

โอซามา บินลาเดน เสียชีวิตในคืนนั้น แต่เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นั้น

วินาทีที่บินลาเดนถูกสังหาร ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีใครโห่ร้องด้วยความยินดี กลับกลายเป็นวินาทีแห่งความเงียบงัน ราวกับทุกคนกำลังดื่มด่ำความสำเร็จของความพยายามเกือบ 10 ปี ที่เพิ่งได้บรรลุผล ภาพตึกแฝดถล่ม เครื่องบินชน ผู้คนล้มตายในวันนั้น กลายเป็นภาพไหลย้อนกลับเข้ามาในสำนึก เมื่อต้นตอได้ถูกกำจัดลง และอเมริกาได้รับความยุติธรรมกลับคืน มันคงถึงเวลาที่ความเศร้า ความสูญเสีย จะถูกแทนที่ด้วยความยินดี เวลาที่ทุกคนส่งเสียงร้องด้วยความดีใจจริง ๆ คือช่วงเวลาที่เฮลิคอปเตอร์ของหน่วยซีลสามารถข้ามพ้นพรมแดนกลับมายังอัฟกานิสถานได้อย่างปลอดภัย โอบามาถ่ายทอดสดคำแถลงที่กินเวลาสั้น ๆ โดยมีวลี “ตอนนี้เราสามารถบอกครอบครัวของผู้สูญเสียได้ว่า เราได้รับความยุติธรรมแล้ว”

ได้รับความยุติธรรมแล้วจริงหรือ?

สารคดีจบลงที่แถลงการณ์ของโอบามา คำแถลงเสมือนการกล่าวปิดจบภารกิจที่กินเวลายืดเยื้อกว่าสิบปี ภารกิจที่คร่าชีวิตผู้คนมากมาย ทั้งทหารและพลเรือน ทั้งตัวผู้ก่อการร้ายและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ภารกิจที่กินเวลาชีวิตของหลายคนที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มคนแรก ๆ ที่โอบามาขอบคุณ คือเจ้าหน้าที่หน่วยต่อต้านการก่อการร้ายและหน่วยข่าวกรองของซีไอเอ ผู้ที่ทำงานอย่างหนักและรับแรงกระแทกเสมอมา กลุ่มคนที่ถูกตราหน้ามาตลอดสิบปีว่าล้มเหลว กลุ่มคนที่ใช้ชีวิตในเงามืด อยู่ในความลับ คนที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขา แต่ได้ทำภารกิจอย่างยากลำบากเพื่อที่จะนำความยุติธรรมกลับคืนสู่เหยื่อของวินาศกรรมและกลับสู่มาตุภูมิ

เมื่อฝุ่นควันของสงครามจางลง หนึ่งในคำถามที่ยังคงดังสะท้อนอยู่คือ ทั้งหมดนี้คุ้มค่าหรือไม่?

สงครามต่อต้านการก่อการร้ายที่กินเวลายาวนานเกือบทศวรรษ ทุ่มเทงบประมาณมหาศาลและทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก ได้สร้างทั้ง ‘ความยุติธรรม’ และ ‘ความสูญเสีย’ ไปพร้อม ๆ กัน

สงครามในอัฟกานิสถาน ซึ่งเริ่มต้นจากเป้าหมายหนึ่งเดียวในการล่าตัวบินลาเดน กลับขยายตัวกลายเป็นสงครามยืดเยื้อที่กินเวลาเกือบ 20 ปี (2001–2021) มีผู้เสียชีวิตนับแสนคน ทั้งทหารและพลเรือน ไม่ว่าจะเป็นอเมริกันหรือชาวอัฟกัน อีกทั้งยังมีการใช้ทรัพยากรทางทหารและงบประมาณนับล้านล้านดอลลาร์ ที่เมื่อย้อนกลับมาดูในภายหลัง ถูกตั้งคำถามว่า คุ้มค่าจริงหรือไม่?

จากรายงาน ‘Costs of War Project’ ของมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) พบว่าสงครามต่อต้านการก่อการร้ายทั้งหมดที่เริ่มต้นจากเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายรวมกันกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 900,000 รายทั่วโลก ซึ่งรวมถึงพลเรือน ทหาร นักข่าว นักมนุษยธรรม และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่ไม่มีใครรู้ชื่อ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนแค่ต้นทุนทางเศรษฐกิจ แต่คือราคาที่มนุษยชาติต้องจ่ายในนามของ ‘ความยุติธรรม’

สิ่งที่น่าเจ็บปวดอีกเรื่อง คือการที่กลุ่มคนผู้เสียสละอย่างเจ้าหน้าที่ของหน่วยข่าวกรองต้องใช้ชีวิตอยู่ในเงามืด ทำงานอย่างหนักแทบไม่เห็นแสงสว่าง แต่กลับถูกสังคมและสื่อมวลชนตำหนิว่า ‘ล้มเหลว’ ทุกครั้งที่ผลลัพธ์ไม่ปรากฏเป็นรูปธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกเขาอาจเป็นด่านแรกที่กั้นขวางโศกนาฏกรรมอีกหลายครั้งไม่ให้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองจำนวนมากทุ่มเททั้งชีวิตในการตามล่าบินลาเดน โดยไม่อาจเปิดเผยชื่อเสียงหรือแม้แต่ความสำเร็จของตนเองต่อสาธารณะ สิ่งที่พวกเขาได้รับแทนคำชื่นชมคือ “ความกดดัน ความเครียด และข้อกล่าวหาว่าล้มเหลว” ตลอดเกือบทศวรรษ

ในวันที่ประกาศการตายของบินลาเดน โอบามาอาจเป็นคนพูดหน้ากล้อง แต่เบื้องหลังนั้นคือกลุ่มเจ้าหน้าที่ซีไอเอในเงามืดที่ต่อสู้กับข้อมูล ความไม่แน่นอน และข้อจำกัดที่ไม่เคยปรากฏต่อสายตาสาธารณชน แล้วพวกเขาเหล่านี้ได้รับความยุติธรรมหรือเปล่า?

ในแง่ยุทธศาสตร์ หน่วยข่าวกรองไม่ต่างจาก ‘ผู้พิทักษ์ก่อนเกิดเหตุ’ ภารกิจของพวกเขาคือการ รวบรวม วิเคราะห์ ประเมิน และแจ้งเตือน เพื่อให้ผู้นำระดับสูงตัดสินใจอย่างรอบคอบ แต่หากผู้มีอำนาจไม่ตอบสนอง หรือเบาะแสไม่ชัดเจนเพียงพอจนไม่อาจหยุดยั้งภัยคุกคามได้ทันเวลา ความล้มเหลวจะไม่ใช่ของระบบเพียงลำพัง แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของ ‘การคาดการณ์สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ด้วย

การที่โอซามา บินลาเดน ถูกสังหารในปี 2011 ไม่ได้เป็นเพียงแค่บทจบของการไล่ล่า หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของคำถามที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือเราได้อะไรกลับมา แลกกับเวลานับสิบปี ชีวิตนับแสน และโลกที่ยังไม่ปลอดภัยขึ้นอย่างแท้จริง

บางที หนึ่งในชัยชนะที่แท้จริง อาจไม่ใช่การได้เห็นศัตรูสิ้นลมหายใจ แต่คือการกล้าที่จะมองอดีตอย่างตรงไปตรงมา เพื่อเรียนรู้ว่า ‘สงคราม’ ไม่เคยมีผู้ชนะที่สมบูรณ์ และในความเงียบหลังเสียงปืน อาจมีเสียงของความสูญเสียที่ดังกว่าเสมอ
และคำถามสุดท้ายยังคงอยู่

แม้จะสามารถ “ล่าตัวบินลาเดน” ได้สำเร็จในที่สุด แต่คำถามสำคัญที่ยังสะท้อนอยู่ในจิตใจของคนจำนวนมากก็คือ “ความยุติธรรมคือการตอบแทนความตายด้วยความตายหรือ?”

คำถามนี้อาจไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่สารคดีอย่าง American Manhunt: Osama Bin Laden ได้ฉายภาพให้เราเห็นว่า ภายใต้ปฏิบัติการสุดระห่ำและเบื้องหลังแห่งชัยชนะ มีเรื่องราวของการสูญเสีย ความเจ็บปวด และการต่อสู้ที่ไม่ได้จบลงในสนามรบ หากแต่ยังดำเนินต่อในจิตใจของผู้คนจำนวนมากที่ยังตั้งคำถามกับ ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ มาจนถึงทุกวันนี้
 

เรื่อง: poonpun