The Woman In Me การเดินทางสุดทรหดและโดดเดี่ยวสู่อิสรภาพของ ‘บริตนีย์ สเปียร์ส’

The Woman In Me การเดินทางสุดทรหดและโดดเดี่ยวสู่อิสรภาพของ ‘บริตนีย์ สเปียร์ส’

รีวิวหนังสือ ‘The Woman In Me’ การเดินทางสุดทรหดและโดดเดี่ยวสู่อิสรภาพของ ‘บริตนีย์ สเปียร์ส’

KEY

POINTS

“My loneliness is killing me”

หนึ่งในท่อนจำของเพลง ‘Baby One More Time’ ที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 1998 และทำให้หลังจากนั้นชื่อของ ‘บริตนีย์ สเปียร์ส’ กลายเป็นที่รู้จักไปทั้งโลก ในฐานะสาวน้อยผู้สร้างปรากฏการณ์แห่งวงการเพลงพ็อพยุค 90s

มั่นใจว่าในเวลานั้น บริตนีย์ที่มีอายุเพียง 16 ปี ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งหรอกว่า ความโดดเดี่ยวอ้างว้างจะฆ่าเธอได้ยังไง เธอเพียงแต่กำลังทำในสิ่งที่เธอรัก นั่นคือ การร้องและการเต้น และมีความฝันเล็ก ๆ ว่า จะพาตัวเองโบยบินด้วยปีกเล็ก ๆ ออกจากความทุกข์ในครอบครัว ที่ความจริงแล้วควรจะเป็น safe zone แต่ภายหลังกลับเป็นกลุ่มคนที่ทำลายเธออย่างแสนสาหัสที่สุด ไม่ต่างอะไรจากฝูงแร้งที่รุมกินซากศพ 

ในหนังสือ The Woman In Me ที่บริตนีย์ตัดสินใจเขียนเล่าการเดินทางสุดทรหดและโดดเดี่ยวของเธอ ก่อนจะได้รับมาซึ่ง ‘อิสรภาพ’ เริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึงครอบครัวของเธอ ที่สืบย้อนไปไกลถึงรุ่นยายทวด เหตุที่ต้องโยงไปไกลขนาดนั้นเพราะเธอต้องการให้ทุกคนเข้าใจถึง ‘ปม’ ที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัว โดยเฉพาะ ‘พ่อ’ ของเธอ 

ตรงนี้เรานับว่าเป็นความ ‘ใจดี’ มาก ๆ ของบริตนีย์ เธออาจจะโกรธที่พ่อและคนในครอบครัวทำช่วงเวลา 13 ปีของเธอหายไป แต่ท้ายที่สุดเธอก็พยายามทำความ ‘เข้าใจ’ การกระทำของคนเหล่านั้น ซึ่งมันน่าจะช่วย ‘เยียวยา’ สภาพจิตใจเธอได้ง่ายกว่าการผูกใจเจ็บอาฆาตแค้น

ครอบครัวที่เต็มไปด้วย ‘ปม’ 

‘ปม’ ที่สำคัญของพ่อบริตนีย์ มาจาก ‘ปู่’ ซึ่งเป็นจอม Gaslight ประจำตระกูล ปู่ของบริตนีย์แสบถึงขั้นจับ ‘ย่า’ ไปรักษาที่สถานบำบัด หลังจากที่ย่าคลอดลูกออกมาแค่ 3 วัน แล้วลูกเสียชีวิต แต่กลายเป็นว่าอาการย่าก็ไม่ดีขึ้น และต่อมาย่าก็ยิงตัวตายที่หลุมศพของลูก 

ปู่ของบริตนีย์มีภรรยาใหม่อีก 2 คน และมีลูกเป็นสิบคน แต่การมีลูกเป็นโขยงไม่ได้หมายความว่าเขารักเด็ก เขาปฏิบัติต่อลูก ๆ อย่างโหดร้าย ที่เห็นชัดสุดคือพ่อของบริตนีย์ ที่ถูกบังคับให้เล่นกีฬาอย่างบ้าคลั่ง โดยถูกปู่เป่าหูตลอดเวลาว่า ยังทำได้ไม่ดีพอ ส่วนน้องสาวคนหนึ่งของพ่อก็เล่าว่า ถูกปู่ล่วงละเมิดทางเพศตั้งแต่ยังเด็ก เลยตัดสินใจหนีออกจากบ้านไป 

สิ่งที่พ่อของบริตนีย์เผชิญในวัยเด็ก ไม่ได้ทำให้เขาอยากเป็นผู้ชายที่ขยันทำมาหากินและฝันจะมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่กลับทำให้เป็นคนติดเหล้าจนเสียการเสียงาน บ่อยครั้งก็ทะเลาะกับแม่ จนทำให้บริตนีย์ไม่อยากอยู่บ้าน 

สิ่งเดียวที่ทำให้เธอมีความสุขในช่วงที่บ้านมีแต่เสียงทะเลาะของพ่อแม่คือการสร้าง ‘โลกความฝัน’ ของตัวเองขึ้นมา

“ฉันอยากอยู่ในความฝันของตัวเอง อยู่ในโลกอันแสนวิเศษที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงโลกแห่งความเป็นจริง การร้องเพลงจึงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความจริงกับความฝัน หรือเชื่อมระหว่างโลกที่ฉันอยู่จริง ๆ กับโลกที่ฉันอยากไปอยู่เหลือเกิน” 

กระทั่งบริตนีย์ไล่ล่าความฝันได้สำเร็จ เธอยิ่งรักในอาชีพศิลปินของเธอมากขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะนำมาซึ่งชื่อเสียง และเงินทอง มันยังทำให้เธอได้สัมผัสถึง ‘พลัง’ อย่างแท้จริง 

แต่ถึงแม้จะหนีออกจากชายคาบ้านในเมืองเคนต์วูด รัฐลุยเซียนา ได้สำเร็จ โลกใบใหม่ที่รู้จักกันในนาม ‘โลกบันเทิง’ ก็ไม่ได้ใจดีกับเธอนัก 

ความรักกับ ‘จัสติน ทิมเบอร์เลก’

บริตนีย์กับจัสตินเจอกันครั้งแรกในรายการ ‘Mickey Mouse Club’ ทั้งคู่ไม่ได้ตกหลุมรักกันทันที แต่ยังเป็นเพื่อนกันเรื่อยมา กระทั่งโคจรกลับมาพบกันในทัวร์คอนเสิร์ต เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงพ็อพก็ตกหลุมรักเขา ชนิดโงหัวไม่ขึ้น 

“นั่นเป็นช่วงเวลาดี ๆ ในชีวิต ฉันมีรักหวานชื่นกับจัสติน รักแบบหัวปักหัวปำ ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะเราอายุยังน้อยหรือเปล่า ความรักเราถึงไม่เหมือนใคร ความรักระหว่างจัสตินกับฉันนั้นสุดพิเศษ เขาแทบไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากหรือทำอะไรเพื่อให้ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับเขาเลย” บริตนีย์ย้อนความทรงจำที่ยังคงกระจ่างชัดในหนังสือ The Woman In Me

ทั้งคู่ขยันโชว์ความหวานในทุกที่ ถ้ายังจำกันได้ในงาน American Music Awards ปี 2019 บริตนีย์กับจัสตินก็ใส่ชุดยีนคู่กัน จนกลายเป็นข่าวดัง 

“ฉันเข้าใจนะว่ามันอาจดูเห่ย แต่ก็ออกมาดูดีในแบบของมัน ฉันชอบเสมอเวลาคนเอาไปแต่งล้อเลียนในวันฮาโลวีน ฉันได้มายินมาว่าชุดนั้นทำให้จัสตินโดนวิจารณ์หนัก มีพอดแคสต์รายการหนึ่งล้อเขาเรื่องชุด เขาตอบกลับว่า ‘ตอนเรายังเด็กและมีความรัก เราก็ทำอะไรล้น ๆ แบบนี้แหละ’ ถูกเผง เรากำลังหน้ามืดตามัว ชุดนั่นบ่งบอกได้ดี

The Woman In Me การเดินทางสุดทรหดและโดดเดี่ยวสู่อิสรภาพของ ‘บริตนีย์ สเปียร์ส’

แต่อย่างที่ทุกคนทราบ ในที่สุดความรักของสาวฮอทกับหนุ่มฮอทคู่นี้ก็ไปกันไม่รอด บริตนีย์เปิดเผยในหนังสือว่า ระหว่างคบกันเธอจับได้ว่าจัสตินนอกใจเธอสองครั้ง ส่วนเธอก็นอกใจเขาหนึ่งครั้ง ทว่าการออกมายอมรับเรื่องการนอกใจผ่านหนังสือ ยังไม่ถูกพูดถึงเท่าการยอมรับว่าตัวเองตั้งท้องระหว่างคบกับจัสติน 

บริตนีย์ ซึ่งกำลังดังคับโลก ใช้ชีวิตไม่ต่างจากสามีภรรยากับจัสติน เมื่อเสร็จสิ้นจากการทัวร์คอนเสิร์ตของแต่ละคน พวกเขามักจะหมกตัวอยู่ในรังรักด้วยกัน ในขณะที่ต้นสังกัดมักจะคอยประโคมข่าวว่า เธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ต้นแบบของวัยรุ่นทั่วโลก ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเสียบริสุทธิ์ตั้งแต่อายุแค่ 14 ปี

เมื่อเกิดตั้งท้องกับจัสติน และฝ่ายชายยืนกรานให้เอาเด็กออก บริตนีย์ต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด เธอไม่บอกใครแม้แต่พ่อแม่ และต้องจัดการทุกอย่างเองที่บ้าน เธอกินยาที่ทำให้ปวดท้องอย่างรุนแรงถึงขั้นนอนร้องไห้ฟูมฟายและกรีดร้องอยู่ในห้องน้ำนานหลายชั่วโมง 

“การทำแท้งครั้งนั้นเป็นหนึ่งในความทุกข์ทรมานที่สุดเท่าที่ฉันเคยประสบมาในชีวิต ฉันจำไม่ได้แล้วว่ามันจบลงอย่างไร แต่ยังคงจำความเจ็บปวดและความกลัวได้ฝังใจ แม้จะผ่านมายี่สิบปีแล้วก็ตาม” 

ถามว่าตอนนั้นจัสตินหายไปไหน? เขาก็อยู่เป็นเพื่อนเธอนั่นแหละ เขานอนลงกับพื้นแล้วหยิบกีตาร์มาดีดเพลงให้เธอฟังอยู่ข้าง ๆ ด้วยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความปวดของแฟนสาวได้

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบลงในช่วงที่จัสตินทำอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก เขาส่งข้อความบอกเลิกเธอระหว่างที่เธอกำลังทำถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ Overprotected ฉบับรีมิกซ์ บริตนีย์เห็นข้อความนั้นในช่วงพัก แต่เธอก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะฟูมฟาย เธอได้แต่ก้มหน้ายอมรับ แล้วออกไปถ่ายทำเอ็มวีและเต้นต่อ 

หัวใจของสาวน้อยแหลกสลาย เธอแทบไม่พูดเลยนานหลายเดือน แทบไม่ออกจากบ้าน เอาแต่นอนจ้องมองเพดานอยู่บนเตียง แต่ถึงกระนั้นการขึ้นเวทีแสดงยังเป็นสิ่งที่เธอมิอาจหลีกเลี่ยง เธอยังต้องทัวร์คอนเสิร์ต Dream Within a Dream Tour ที่ติดค้างอยู่ในสัญญาให้จบ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอไม่มีเวลาเยียวยาจิตใจตัวเองจากการเลิกรากับจัสติน 

แม้จะพยายามกลับมาเฉิดฉายให้ได้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบริตนีย์ เพราะแต้มต่อของจัสตินในเวลานั้นมีสูงกว่าเธอมาก บริตนีย์บอกด้วยว่า เธอรู้สึกว่าเพลง ‘Don’t Go’ (Horrible Woman) ของจัสติน ฟังดูคล้ายจะพูดถึงเธอ ตรงท่อนที่ว่า “ฉันคิดว่ารักเราแข็งแกร่ง ฉันคิดผิดอย่างแรง แต่ถ้ามองในแง่ดี รู้ไหม เธอทำให้ฉันมีเพลงเกี่ยวกับผู้หญิงห่วยแตกอีกเพลง”

ไหนจะเอ็มวี ‘Cry Me a River’ ซึ่งมีผู้หญิงที่ดูคล้ายกับเธอนอกใจเขา แล้วเขาก็เดินน้ำตานองกลางฝน

“จากภาพในสื่อ ฉันถูกบรรยายเป็นหญิงสำส่อนผู้หักอกหนุ่มหล่อขวัญใจชาวอเมริกัน ทั้งที่ความจริงขณะฉันมีอาการโคม่าอยู่ในลุยเซียนา เขาก็โลดแล่นสำราญใจไปทั่วฮอลลีวูด” 

ที่เลวร้ายสุดคือหลังจากที่เพลง Cry Me a River โด่งดัง บริตนีย์ถึงกับถูกโห่ไล่ในทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่ในคลับ สนามกีฬา หนำซ้ำการที่จัสตินบอกทุกคนเรื่องที่มีเพศสัมพันธ์กับเธอ ยังทำให้เธอถูกโจมตีว่าปลิ้นปล้อนจอมปลอมด้วย เพราะอย่างที่บอกไป ต้นสังกัดพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้เธอเป็นสาวบริสุทธิ์ 

แต่ก็ยังพอมีเรื่องดีในเรื่องร้ายอยู่บ้าง เพราะบริตนีย์มองว่า การที่จัสตินยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์กับเธอ ถือเป็นการทลายกำแพง และทำให้เธอไม่ต้องออกมายอมรับเองว่า ไม่บริสุทธิ์แล้ว 

“ผู้คนต่างวิจารณ์ที่เขาพูดเรื่องทางเพศเกี่ยวกับฉัน แต่ฉันชอบ สิ่งที่ฉันได้ยินจากเขาคือ เธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ เธอไม่ได้บริสุทธิ์แล้ว หุบปากซะ” 

ขณะที่สื่อเองก็ไม่ปราณีกับเธอ ในระหว่างที่เธอดำดิ่งกับความเศร้าในเรื่องความรัก เธอยังคงต้องออกมาตอบคำถามที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง ประมาณว่า “เขาออกทีวีและบอกว่าคุณหักอกเขา คุณทำให้เขาเจ็บปวดสุดจะทรมาน คุณไปทำอะไรเขาน่ะ” ทั้งที่เธอยังไม่พร้อมที่จะร้องไห้และเล่าทุกอย่างให้คนทั้งโลกรับรู้ 

แต่งงานที่ลาสเวกัส

อีกเหตุการณ์ที่โลกจำไม่ลืมคือตอนที่เธอแต่งงานสนุก ๆ ที่ลาสเวกัส กับเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากที่เธอดื่มเครื่องดื่มไป 2 – 3 แก้ว 

“คนชอบถามว่าฉันรักเขาหรือเปล่า ขอพูดให้ชัดตรงนี้ เราไม่ได้รักกันค่ะ เอาจริง ๆ ฉันแค่เมามาก และถ้าพูดภาษาคนทั่วไปก็คือเบื่อมากด้วย” 

วันต่อมาพ่อแม่ของเธอก็รีบบึ่งไปที่ลาสเวกัสพร้อมความโกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ และรีบจัดการให้การแต่งงานนี้เป็นโมฆะ 

สิ่งที่เกิดขึ้นเริ่มทำให้บริตนีย์ตงิด ๆ ว่า ทำไมพ่อแม่ต้องกราดเกรี้ยวเมื่อรู้ว่ามี ‘คนนอก’ เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตเธอ มันเป็นเพราะเรื่อง ‘เงิน’ หรือเปล่านะ? แล้วหลังจากเหตุการณ์แต่งงานครั้งนี้ บริตนีย์ก็เริ่มฝันถึงการตามหา ‘รักแท้’ และการสร้าง ‘ครอบครัว’ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย ถ้าคุณอยู่ในจุดที่มีความเคลือบแคลงสงสัยในตัวครอบครัวตัวเองแบบนั้น

ตรงนี้เองที่เปิดช่องให้บริตนีย์อ้าแขนต้อนรับ ‘เควิน เฟเดอร์ไลน์’ เข้ามาในชีวิต

‘เควิน เฟเดอร์ไลน์’ พ่อของลูก 2 คน

บริตนีย์พบกับเควินที่คลับ และเกิดสปาร์กกันอย่างรวดเร็ว เธอแพ้ทางเขาตอนที่เขา ‘กอด’ เธอ เนิ่นนานหลายชั่วโมงในสระว่ายน้ำ เหตุที่ทำให้เธอหวั่นไหวกับเควินขนาดนั้น เพราะไม่เคยมีใครในชีวิตทำแบบนี้กับเธอ 

แต่นอกจากกอดแล้ว ผู้ชายคนนี้สร้างเรื่องให้บริตนีย์มากมายมหาศาล จนเราแอบสงสัยว่า มันคุ้มกันหรือเปล่าเนี่ย?

นอกจากจะมีลูกติด โดยที่ลูกคนที่สองยังคาอยู่ในท้องของแฟนเก่า และเขาเลือกที่จะปิดบังเธอ เควินยังอาศัยบริตนีย์เป็นสะพานสู่การเป็นศิลปิน แลกกับการเติมเต็มชีวิตครอบครัวให้บริตนีย์ ด้วยการมีลูกชายกับเธอ 2 คน ได้แก่ ‘ฌอน เพรสตัน’ และ ‘เจย์เดน เจมส์’ 

“เควินหลงระเริงไปกับอำนาจและชื่อเสียง แต่ชีวิตฉันเห็นชื่อเสียงและเงินทองทำลายชีวิตผู้คนมานักต่อนักแล้ว และฉันก็กำลังเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเควินช้า ๆ จากประสบการณ์ของฉัน เมื่อคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ชาย กลายเป็นที่สนใจ มันจบเห่ทุกที พวกเขาจะเป็นปลื้มกับสิ่งเหล่านั้นมากเกินไป และนั่นไม่ดีต่อตัวพวกเขาเอง” 

เรื่องราวระหว่างบริตนีย์กับเควินจบลงด้วยการที่บริตนีย์เป็นคนฟ้องหย่า และทั้งคู่ต้องต่อสู้เพื่อสิทธิ์เลี้ยงดูบุตร โดยเควินพยายามโน้มน้าวทุกคนให้เชื่อว่าบริตนีย์เพี้ยนหลุดโลกไปแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่มีความชอบธรรมที่จะได้เลี้ยงลูก 

วันหนึ่งสถานการณ์ระหว่างทั้งคู่ตึงเครียดมากขึ้น เมื่อเควินไม่ยอมให้บริตนีย์เข้าบ้านไปหาลูก บริตนีย์ที่เฝ้ารออยู่หน้าบ้านท่ามกลางปาปารัสซีที่จับตาดูตลอดเวลาก็เริ่มรู้สึกจนมุม คืนนั้นเธอจึงมอบชอตเด็ดให้ปาปารัสซีด้วยการเข้าร้านทำผม คว้าปัตตาเลี่ยน แล้วโกนศีรษะตัวเอง 

“ทุกคนเห็นเป็นเรื่องตลกสุด ๆ ดูสิ เธอบ้าขนาดไหน กระทั่งพ่อแม่ฉันยังแสดงออกว่าฉันทำให้พวกเขาขายหน้า แต่ไม่มีใครเข้าใจบ้างเลยว่าฉันเสียสติเพราะความโศกเศร้า ลูก ๆ ถูกพรากไปจากฉัน” 

บริตนีย์ในตอนนี้ สลัดภาพเด็กดีออกไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เธอไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าจะต้องมีผมยาวสลวยสีบลอนด์เพื่อให้ตัวเองมีรูปลักษณ์สวยงามตามมาตรฐาน 

“การโกนศีรษะของฉันจึงเป็นวิธีบอกโลกว่า ไปตายซะ อยากให้ฉันสวยเพื่อคุณเหรอ ไปตายซะ อยากให้ฉันดีกับคุณเหรอ ไปตายซะ อยากให้ฉันเป็นสาวในฝันของคุณเหรอ ไปตายซะ ฉันเป็นเด็กดีมาหลายปีแล้ว แย้มยิ้มอย่างสุภาพขณะพิธีกรรายการทีวีแอบส่องหน้าอกฉันอยู่ ขณะที่พ่อแม่ชาวอเมริกันกล่าวหาว่าฉันทำลายลูก ๆ ของพวกเขาด้วยการสวมเสื้อเอวลอย ขณะที่บรรดาผู้บริหารสัมผัสมือฉันอย่างนับถือ แต่ก็เคลือบแคลงการตัดสินใจในการทำงานของฉันเสมอ แม้ที่ผ่านมาฉันขายอัลบั้มได้หลายล้านแล้ว ขณะที่ครอบครัวทำราวกับฉันเป็นคนชั่วช้า ฉันเหนื่อยเต็มทีแล้ว” 

The Woman In Me การเดินทางสุดทรหดและโดดเดี่ยวสู่อิสรภาพของ ‘บริตนีย์ สเปียร์ส’

เวลา 13 ปีที่หล่นหาย

พอมีคนบอกว่า การเข้ารับบำบัดจะช่วยให้เธอได้รับสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก บริตนีย์ก็ยอมไปบำบัดแต่โดยดี และเมื่อผ่านการบำบัดแล้ว ทนายก็ช่วยให้เธอได้ข้อตกลงดูแลบุตรร่วมกับเควินแบบ 50 – 50 แต่การต่อสู้ก็ลากยาวต่อไป ระหว่างนั้นบริตนีย์ทำงานเพลงไปด้วย ไหนจะต้องรับมือกับปัญหาคนในทีมพากันลาออกไปอยู่กับเควิน และต้องขึ้นศาลในคดีแย่งสิทธิ์เลี้ยงดูบุตร ที่เกิดขึ้นพร้อมการสาดโคลนจนกลายเป็นข่าวฉาวว่าเธอเล่นยา ทั้งที่ในบ้านเธอไม่มีอะไรที่เป็นสารเสพติดเลย 

ระหว่างต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าด้วยการทำตัวหลุดโลกไปวัน ๆ วันหนึ่งแม่ก็เรียกเธอไปพบที่บ้าน และราวกับฉากหนังล่าอาชญากร จู่ ๆ เฮลิคอปเตอร์ก็บินมาเหนือบ้าน หน่วยสวาตร่วม 20 คน กรูเข้ามา แล้วหลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นนกปีกหัก ไร้อิสรภาพที่จะบินไปไหนมาไหนได้อีกต่อไป

“ฉันรู้ว่าฉันทำตัวหลุดโลก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่มีเหตุผลเพียงพอให้พวกเขาปฏิบัติต่อฉันราวกับโจรปล้นธนาคาร ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเพียงพอสำหรับการพลิกคว่ำทั้งชีวิตของฉัน”

บริตนีย์มารู้ทีหลังว่าก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ พ่อของเธอไปตีสนิท ‘หลุยส์ ลู เทเลอร์’ ที่เป็นทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในการบังคับคดีให้เธอมีผู้พิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สิน และทำให้พ่อของเธอได้เข้ามาควบคุมและบงการอาชีพของเธออย่างเต็มที่ 

“ลูเพิ่งตั้งบริษัทใหม่ชื่อไตรสตาร์สปอร์ตแอนด์เอนเตอร์เทนเมนต์กรุ๊ป ซึ่งเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการตัดสินคดีผู้พิทักษ์ครั้งนี้ ในช่วงเวลานั้นเธอยังมีลูกค้าแค่ไม่กี่คน พูดง่าย ๆ คือเธอใช้ชื่อเสียงของฉันและความทุ่มเทของฉันสร้างอนาคตให้บริษัทของเธอ” 

หลังจากนั้นพ่อของเธอก็ได้สิทธิ์ในการ ‘พิทักษ์ชีวิต’ และ ‘พิทักษ์ทรัพย์สิน’ ของเธออย่างเบ็ดเสร็จ หลัก ๆ คือกันไม่ให้บริตนีย์ใช้เงินตัวเอง แถมเธอยังต้องเสียค่าจ้างให้พ่อและทนายอีก โดยที่ตัวเธอถูกหลอกว่าไม่สามารถตั้งทนายเองได้ ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเลย

“หลายที่ผ่านมา มีบางครั้งเหมือนกันที่ฉันต้องการพ่อ และพยายามเรียกร้องหาเขา แต่พ่อก็ไม่เคยอยู่ตรงนั้น จนเมื่อเขาได้เป็นผู้พิทักษ์ เขาตามติดฉันแจเลยทีเดียว พ่อสนใจแต่เรื่องเงินตลอดมานั่นแหละ”

ขณะที่ทุกอย่างในชีวิตของบริตนีย์กำลังพังทลายลง แม่ของเธอกลับเขียนหนังสือคล้าย ๆ จะสาวไส้ลูกตัวเอง พร้อมกับเดินสายให้สัมภาษณ์ทางทีวีเพื่อโปรโมตหนังสือ โดยบอกเล่าเรื่องราวของลูก 3 คนที่ปัญหาชีวิตรุมเร้า ทั้งลูกชายคนโต (ไบรอัน) ที่พยายามค้นหาตัวเอง และเชื่อว่าตัวเองทำให้พ่อผิดหวังอยู่เสมอ ส่วนลูกสาวคนกลาง (บริตนีย์) ก็ชีวิตพังทลายราบคาบ และลูกสาวคนเล็ก (เจมี ลินน์) ก็ท้องตั้งแต่อายุ 16 ปี 

บริตนีย์ยอมรับว่าท่ามกลางความเจ็บปวดจากอาการซึมเศร้ารุนแรงหลังคลอดบุตร การถูกพ่อทอดทิ้ง ความทรมานที่ต้องแยกจากลูกทั้งสอง การเสียชีวิตของป้าที่สนิท และแรงกดดันจากปาปารัสซี เอาความเลวร้ายทั้งหมดนี้มามัดรวมกันยังไม่โหดร้ายเฉียดใกล้สิ่งที่แม่ของเธอทำ!

ภายใต้การพิทักษ์ของผู้เป็นพ่อ บริตนีย์ต้องออกไปทำงานหลายอย่างที่เธอไม่อยากทำ เพื่อหาเงินให้คนในครอบครัว ที่ต่างมีคุณภาพชีวิตดีงาม ทั้งที่เธอตั้งคำถามมาตลอดว่า เหตุใดพ่อที่ไม่เอาไหน จึงมีสิทธิ์ในการพิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สินเธอ ที่ต่อสู้ทำงานจนประสบความสำเร็จทุกอย่างด้วยตัวเอง

หนำซ้ำยังมีวันหนึ่งที่พ่อของเธอปัดโหลใส่ใบเสร็จต่าง ๆ ที่เธอเก็บเอาไว้เพื่อลดหย่อนภาษี แล้วเอาของของตัวเองมาวางแทน “ฉันจะบอกให้แกรู้ไว้ ฉันเป็นคนตัดสินใจ แกนั่งเก้าอี้ตรงนั้นแกหละ แล้วฉันจะบอกว่าอะไรเป็นอะไร

“ตอนนี้ฉันคือบริตนีย์ สเปียร์ส แล้ว”

อ่านถึงตรงนี้ สารภาพตามตรงว่าสยองจนขนหัวลุก

#FreeBritney

หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมบริตนีย์ถึงยอมให้ตัวเองถูกกดขี่นานขนาดนั้น เรื่องนี้เธอให้เหตุผลไว้เหมือนกันว่า เธอคิดอย่างไร้เดียงสาว่า หากตัวเองทำดีกับพวกเขา วันหนึ่งพวกเขาก็จะทำดีกับเธอ และเธอก็จะได้เจอกับลูก ๆ ซึ่งเป็นสุดยอดความปรารถนาของเธอ 

ที่น่าสนใจคือในช่วงเวลาที่เธออยู่ใต้การควบคุมของพ่อ เธอกลับประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงานมากมาย ในปี 2008 บริตนีย์ได้รับรางวัลมากกว่า 20 รางวัล ซึ่งรวมถึงรางวัลผู้หญิงยอดเยี่ยมแห่งปีจากนิตยสารคอสโมโพลิแทน และยังคว้ารางวัลเอ็มทีวีมาครองได้ถึง 3 ตัว 

ระหว่างที่เวียนเข้าออกสถานบำบัด พยาบาลท่าทางใจดีคนหนึ่งก็เปิดคอมพิวเตอร์ให้เธอดูความเคลื่อนไหวของ #FreeBritney ซึ่งเป็นการทวงถามจากแฟน ๆ ของเธอว่า เธอกำลังถูกกักขังอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือเปล่า พวกเขาอยากช่วยเธอ... อ่านถึงตรงนี้ สารภาพว่าน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่ได้

ในที่สุดหมอในสถานบำบัดก็เริ่มสังเกตเห็นว่าผู้คนทั่วโลกกำลังตั้งคำถามว่า ทำไมบริตนีย์ถึงถูกกักตัว จากนั้นก็มีการรายงานข่าวไปทั่ว 

“การได้เห็นพวกเขาเดินขบวนไปบนท้องถนน ร้องตะโกนว่า ‘ปลดปล่อยบริตนีย์’ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดที่ฉันเคยเห็นในชั่วชีวิตนี้” บริตนีย์แสดงความตื้นตัน 

ตอนแรกเธอเองก็ไม่คิดว่าคนจะอินกับ #FreeBritney กระทั่งตอนใกล้จะสิ้นสุดการพิจารณาคดีในชั้นศาล การได้เห็นผู้คนร่วมแรงร่วมใจทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเธอนั้น มีความหมายต่อบริตนีย์มาก ๆ

“นั่นเป็นบุญคุณที่ฉันไม่มีวันชดใช้ได้หมด คุณยืนหยัดเพื่อฉันในตอนที่ฉันไม่สามารถยืดหยัดเพื่อตัวเอง ฉันขอขอบคุณพวกคุณจากก้นบึ้งของหัวใจฉัน” 

หลังจากนั้นเธอก็ได้กลับบ้านไปหาลูก ๆ และหมาที่บ้าน ท่ามกลางการต้อนรับที่ดูเหมือนจะ ‘อบอุ่น’ จากครอบครัวของเธอ 

ไม่เพียงนั่งรอความช่วยเหลือจากคนอื่น บริตนีย์พยายามช่วยเหลือตัวเองด้วยการปรากฏตัวทางอินสตาแกรมมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อพยายามให้คนเข้าใจว่าเธอยังมีตัวตนอยู่จริง ๆ และอีกส่วนเพื่อเรียกความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองกลับคืนมา 

กระทั่งคืนวันที่ 22 มิถุนายน 2021 เธอรวบรวมความกล้าหาญและตัดสินใจโทร 911 เพื่อแจ้งความว่าพ่อใช้อำนาจในการเป็นผู้พิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สินอย่างเกินกว่าเหตุ และเริ่มสู้กลับอย่างรุนแรง จนพ่อถูกระงับฐานะผู้พิทักษ์ แล้วชีวิตก็กลับมาเป็นของเธออีกครั้ง

“ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้วค่ะ ฉันได้เป็นตัวของตัวเอง พยายามเยียวยาตัวเอง ในที่สุดฉันก็ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องการ และฉันก็ไม่ปล่อยเวลาสักนาทีอย่างสูญเปล่า”

 

เรื่อง : พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ : Getty Images

อ้างอิง : 

บริตนีย์ สเปียร์ส,/The Woman In Me,/ณัฐวุฒิ แสงชูวงษ์ และจีรชาตา เอี่ยมรัศมี,/(กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์ howto,2567)
.
#ThePeople #HardOpinions #TheWomanInMe #บริตนีย์_สเปียร์ส #นักร้อง #ศิลปิน #เจ้าหญิงแห่งวงการเพลงพ็อพ