‘สตีเวน เจอร์ราร์ด’ กัปตันผู้พิทักษ์ศรัทธาแอนฟีลด์

‘สตีเวน เจอร์ราร์ด’ กัปตันผู้พิทักษ์ศรัทธาแอนฟีลด์

‘สตีเวน เจอร์ราร์ด’ ตำนานกัปตันหงส์แดง นักเตะผู้ภักดีที่สร้างปาฏิหารย์แอนฟีลด์ และกลายเป็นแรงบันดาลใจของฟุตบอลอังกฤษยุคใหม่

KEY

POINTS

  • เส้นทางนักเตะจากอะคาเดมีสู่กัปตันลิเวอร์พูล
  • ปาฏิหารย์แห่งอิสตันบูลและความภักดีตลอดชีวิต
  • กุนซือเรนเจอร์ส กับบทบาทใหม่ในวงการฟุตบอล

ค่ำคืนวันที่ 25 พฤษภาคม 2005 ณ สนามอตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดียม เมืองอิสตันบูล ประเทศทูร์เคีย เกิดปาฏิหารย์ในโลกฟุตบอลขึ้นเมื่อ ‘สโมสรลิเวอร์พูล’ จากประเทศอังกฤษ สามารถสร้างผลงานสุดเหลือเชื่อด้วยการโค่น ‘สโมสรเอซี มิลาน’ จากประเทศอิตาลี ขึ้นครองแชมป์ฟุตบอล ‘ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก’ ฤดูกาล 2004-2005

แมตช์นี้ควรเป็นเพียงรอบชิงชนะเลิศธรรมดาแต่มันกลายเป็น ‘ปาฏิหารย์แห่งอิสตันบูล’ ก็เพราะ ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาแซงเอาชนะเอชี มิลาน ทั้งที่ครึ่งแรกตามอยู่ 0-3 และแทบจะครองบอลไม่ได้เลย

ช่วงพักครึ่งเวลาแฟนบอลหงส์แดงในสนามต่างพากันร้องเพลง ‘You will Never Walk Alone’ ว่ากันว่าเสียงเพลงดังกล่าวกึกก้องดังเข้าไปในห้องพักนักกีฬาของสโมสรลิเวอร์พูล และนั่นแหละคือสาเหตุที่หลังจากนั้นเกมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศก็กลายเป็นหนังคนละม้วน

แต่นอกจากเสียงเพลงอันกึกก้องของแฟนบอลแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่เป็นอีกปัจจัยสำคัญ นั่นคือคำพูดปลุกใจของกัปตันทีมในวันนั้น และเขาก็คือ ‘สตีเวน เจอร์ราร์ด’ 

“ลิเวอร์พูลคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม ผมไม่ต้องการถูกหัวเราะในประวัติศาสตร์ของแชมเปียนส์ลีก ถ้าพวกคุณยังเคารพและรักผมในฐานะกัปตันทีม พวกเราจะต้องกลับสู่เกมอีกครั้ง”

จากนั้น สตีเวน เจอร์ราร์ด ก็ทำประตูแรกจนสุดท้าย หงส์แดง ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอยอดทีมจากอิตาลี 3-3 และแซงเอาชนะด้วยการดวลลูกโทษที่จุดโทษ กลายเป็นแมตช์แห่งความทรงจำของเหล่า ‘เดอะ ค็อป’ จวบจนทุกวันนี้ และสตีเวน เจอร์ราร์ด ก็ได้รับการยกย่องเป็นตำนานของสโมสรที่เขารักในเวลาต่อมา

เส้นทางชีวิตและเรื่องราวสายลูกหนังของ ‘สตีเวน เจอร์ราร์ด’ จะเป็นอย่างไร เรามาร่วมเดินทางไปด้วยกันครับ
 

จุดเริ่มต้นจากเด็กน้อยในวิสตันสู่ขุนพลหงส์แดง

สตีเวน เจอร์ราร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่โรงพยาบาลวิสตัน ในเมืองวิสตัน มณฑลเมอร์ซีย์ไซด์ เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของ ‘จูลี แอนน์’ และ ‘พอล เจอร์ราร์ด’ โดยในวัยเด็กเจ้าตัวมีความชื่นชอบในกีฬาฟุตบอลอย่างมากจนมีโอกาสลงเล่นใหกับทีม ‘วิสตัน จูเนียร์’ (Whiston Juniors) ซึ่งเป็นทีมท้องถิ่นของเมือง

ทักษะลูกหนังของสตีเวน เจอร์ราร์ด โดดเด่นจนไปเข้าตาแมวมองของลิเวอร์พูลจนทำให้เจ้าตัวมีโอกาสเข้าร่วมอะคาเดมีของสโมสรลิเวอร์พูลในปี 1989 ด้วยวัยเพียง 9 ขวบ เท่านั้น โดยตลอดเวลาที่อยู่ในอะคาเดมี สตีเวน เจอร์ราร์ด สามารถพัฒนาทักษะเชิงลูกหนังได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรที่เข้ารักในวัย 17 ปี

เส้นทางชีวิตสู่ตำนานแอนฟิลด์

สตีเวน เจอร์ราร์ด เริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลอาชีพกับทีมลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 โดยมีโอกาสลงสนามช่วงนาทีสุดท้ายของเกมพบกับ ‘แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส’ ในศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 1998-1999 และตลอดฤดูกาลดังกล่าว สตีเวน เจอร์ราร์ด มีโอกาสลงสนามลีกสูงสุดทั้งหมด 12 แมตช์ระยะเวลารวมกว่า 400 นาที (อ้างอิงข้อมูลจาก transfermarkt)

จากนั้นในฤดูกาลต่อมา สตีเวน เจอร์ราร์ด ก็มีโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องในตำแหน่งกองกลางและสลงสนามในศึกพรีเมียร์ลีก 1999-2000 ไปกว่า 29 แมตช์ ระยะเวลารวม 2,187 นาที โดยเจ้าตัวทำประตูแรกในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ในเกมพบกับ ‘เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์’ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1999


 

ฤดูกาล 2000-2001 นับเป็นปีทองของสตีเวน เจอร์ราร์ด กับสโมสรลิเวอร์พูล โดยเจ้าตัวมีโอกาสลงสนามกว่า 50 แมตช์ในทุกรายการ ระยะเวลารวมกว่า 3,955 นาที ทำประตูได้ 10 ประตู หนึ่งในนั้นคือการทำประตูในรอบชิงชนะเลิศ ‘ยูฟ่า คัพ’ กับสโมสร ‘เดปอร์ติโบ อลาเบส’ โดยในฤดูกาลนี้สโมสรลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ 3 รายการได้อย่างยิ่งใหญ่ทั้งยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ

สตีเวน เจอร์ราร์ด คือกำลังสำคัญของลิเวอร์พูลในฤดูกาลดังกล่าว ผลงานของเจ้าตัวเด่นชัดจนได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจาก ‘PFA’ จากนั้นเจ้าตัวก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์และบารมีมาอย่างต่อเนื่อง การลงเล่นทุกเกมด้วยความมุ่งมั่นอันเต็มเปี่ยมด้วยความรักและภักดีในสโมสรแห่งนี้ ส่งผลให้เจ้าตัวได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2003 แทนที่ของ ‘ซามี ฮูเปีย’

เมื่อมีจุดสูงสุดก็ต้องมีจุดตกต่ำ สตีเวน เจอร์ราร์ด ผ่านร้อนผ่านหนาวกับสโมสรลิเวอร์พูลมาอย่างมากมาย จากความสำเร็จสู่ฤดูกาลอันว่างเปล่า แต่ไม่ว่าผลงานของลิเวอร์พูลจะเป็นอย่างไร เจ้าตัวก็ยังคงภักดีกับสโมสรแห่งนี้เสมอ แม้จะได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจมากมาย สุดท้ายแล้ว สตีเวน เจอร์ราร์ด ก็เลือกที่จะปฎิเสธไป และหนึ่งในนั้นคือการปฎิเสธข้อเสนอกว่า 20 ล้านปอนด์จาก ‘สโมสรเชลซี’

สตีเวน เจอร์ราร์ด เลือกเดินหน้าไปกับกุนซือใหม่อย่าง ‘ราฟาเอล เบนิเตซ’ และเจ้าตัวก็สามารถพาลิเวอร์พูลสร้าง ‘ปาฏิหารย์แห่งอิสตันบูล’ ได้สำเร็จในฤดูกาล 2004-2005 ก่อนจะตามต่อด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้อีกครั้งในฤดูกาลถัดมา รวมทั้งการคว้าแชมป์ลีก คัพ 2011-2012 กับกุนซืออย่าง ‘เคนนี ดัลกลิช’

เส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในถิ่นแอนฟีลด์ขาดเพียงแชมป์พรีเมียร์ลีกเท่านั้นที่เจ้าตัวยังไม่เคยครอบครอง จนฤดูกาล 2013-2014 ภายใต้การนำของกุนซืออย่าง ‘เบรนแดน ร็อดเจอร์ส’ ลิเวอร์พูลกลายเป็นเครื่องจักรสีแดงที่สร้างผลงานได้อย่างดุดันจนขึ้นครองจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกได้และเหลือการแข่งขันอีกเพียง 3 แมตช์เท่านั้น

เกมกับเชลซีในถิ่นแอนฟีลด์คือการชี้ชะตาแชมป์ซึ่งในช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูลที่ฟอร์มกำลังร้อนแรงดูเหมือนไม่มีอะไรจะมาหยุดได้ แต่สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ สตีเวน เจอร์ราร์ด เกิดลื่นในจังหวะรับบอลคืนหลังจนเป็นที่มาของการเสียประตู และลิเวอร์พูลต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด

ความผิดพลาดและพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ตามต่อมาด้วยการพลาดความแชมป์พรีเมียร์ลีกไปอย่างน่าเสียดาย เพราะสุดท้ายแล้วกลายเป็น ‘แมนเชสเตอร์ ซิตี้’ ที่ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปครองด้วยคะแนนที่เหนือกว่าลิเวอร์พูลเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น

แม้เหล่าเดอะ ค็อป จะเข้าใจและยืนเคียงข้างกัปตันทีมของพวกเขา แต่ สตีเวน เจอร์ราร์ด ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้ เขายังคงเสียใจทุกครั้งที่ดูคลิปเหตุการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม สตีเวน เจอร์ราร์ด ก็ยังคงเป็นตำนานของสโมสรลิเวอร์พูล เจ้าตัวลงสนามฤดูกาล 2014-2015 เป็นฤดูกาลสุดท้ายในถิ่นแอนฟีลด์ ก่อนจะไปปิดฉากการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับ ‘สโมสรแอลเอ กาแล็กซี’ ในปี 2016

เคียงคู่สิงโตคำรามในเวทีโลก 

สตีเวน เจอร์ราร์ด ไม่ได้เป็นเพียงตำนานของสโมสรลิเวอร์พูลเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีบทบาทสำคัญในทีมชาติอังกฤษตลอดช่วงเวลาที่เจ้าตัวลงสนาม สตีเวน เจอร์ราร์ด  รับใช้ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2000 และตลอดระยะเวลากว่า 14 ปี เขาลงเล่นให้ทีมชาติไป 114 แมตช์ และทำประตูได้ 21 ประตู โดยประตูแรกของเจ้าตัวเกิดขึ้นในเกมฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือกกับทีมชาติเยอรมนี ในแมตช์ดังกล่าวทีมชาติอังกฤษบุกไปถล่มเอาชนะทีมชาติเยอรมนีได้ถึง 5-1 และ สตีเวน เจอร์ราร์ด คือหนึ่งในผู้ทำประตู

สตีเวน เจอร์ราร์ด คือหัวใจสำคัญของทีมชาติอังกฤษ และได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกและฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปกับทีมสิงโตคำรามอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาการรับใช้ทีมชาติ และได้รับเกียรติสูงสุดสุดให้เป็นกัปตันทีม เป็นผู้นำที่ได้รับการเคารพจากเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอลทั่วโลก

แม้ทีมชาติอังกฤษจะไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์รายการเมเจอร์ในช่วงเวลาที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด ลงสนาม แต่เจ้าตัวยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความทุ่มเทและความภาคภูมิใจในการรับใช้ทีมชาติอังกฤษ ความมุ่งมั่นของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในสนาม สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณของนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ และเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

สตีเวน เจอร์ราร์ด ประกาศอำลาทีมชาติอังกฤษในปี 2014 หลังจากจบการแข่งขันฟุตบอลโลกที่บราซิล โดยทิ้งไว้ซึ่งความทรงจำอันยิ่งใหญ่ เป็นอีกหนึ่งตำนานทั้งทีมชาติและสโมสรที่แฟนฟุตบอลยากจะลืมเลือน

กุนซือผู้กู้บัลลังก์ให้เรนเจอร์ส

หลังจากสร้างชื่อเสียงในฐานะนักฟุตบอลระดับตำนวนของลิเวอร์พูลและทีมชาติอังกฤษ สตีเวน เจอร์ราร์ด ได้ก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในโลกฟุตบอลด้วยการเป็นผู้จัดการทีม โดยเจ้าตัวเริ่มต้นคุม ‘ทีมเรนเจอร์ส’ สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งสก็อตแลนด์ในปี 2018 และสร้างผลงานได้อย่างน่าจดจำเมื่อเจ้าตัวพาทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ลีกสก็อตแลนด์ในฤดูกาล 2020–2021 โดยไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล ลงสนาม 38 แมตช์ ชนะ 32 แมตช์และเสมอ 6 แมตช์ นับเป็นเป็นความสำเร็จที่การันตีได้ถึงฝีมือการคุมทีมของเจ้าตัว

จากนั้น สตีเวน เจอร์ราร์ด ได้หาความท้าทายใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือการเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในศึกพรีเมียร์ โดยเจ้าตัวคุมทีม ‘แอสตัน วิลลา’ ในฤดูกาล 2021-2022 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เจ้าตัวทำหน้าที่ได้เพียง 343 วันก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะผลงานของทีมสิงห์ผงาดไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้

สตีเวน เจอร์ราร์ด ยังคงมองหาความท้าทายใหม่และเจ้าตัวได้ตัดสินใจไปคุม ‘สโมสรอัล-เอตติฟัค’ ในซาอุดี โปร ลีก ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2023 ก่อนที่ล่าสุดเจ้าตัวจะประกาศลาออกเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 ที่ผ่านมา

ครับและนี่คือเรื่องราวของ สตีเวน เจอร์ราร์ด เด็กน้อยจากวิสตันสู่ตำนานผู้ภักดีของสโมสรลิเวอร์พูลและทีมชาติอังกฤษ กุนซือของสโมสรเรนเจอร์ส ที่ยากจะลืมเลือน 

 

เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (The Sportory)

ภาพ: Getty Images