‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ นักชกไทยแชมป์ K-1 สองสมัยคนแรกในประวัติศาสตร์ สะท้านสังเวียนทั่วโลก

‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ นักชกไทยแชมป์ K-1 สองสมัยคนแรกในประวัติศาสตร์ สะท้านสังเวียนทั่วโลก

‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ชื่อนี้การันตีเรื่องความแข็งแกร่งของนักชกชาวไทย ดีกรีแชมป์มวย K-1 สองสมัยคนแรกในประวัติศาสตร์ สร้างชื่อให้มวยแดนสยาม สะท้านสังเวียนทั่วโลกจนถึงวันนี้

  • บัวขาว บัญชาเมฆ คือนักชกแชมป์ K-1 สองสมัยคนแรกในประวัติศาสตร์ เป็นนักชกไทยอีกรายที่สร้างชื่อไปทั่วโลก
  • เดิมทีแล้ว เขาใช้ชื่อว่า บัวขาว ป.ประมุข แต่เมื่อมีข้อพิพาท ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนไปใช้ชื่อ บัวขาว บัญชาเมฆ
  • นอกเหนือจากรายการ K-1 เขาคือมีชื่อเสียงจากการชกใน Thai Fight และเวทีต่างแดนอีกไม่น้อย

‘มวยไทย’ เป็นศิลปะการต่อสู้ของประเทศไทยที่รากฐานมามวยโบราณตั้งแต่สมัยอดีตกาล ดังนั้นศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่กีฬาธรรมดาเท่านั้น แต่ ‘มวยไทย’ คือสิ่งที่แสดงถึงความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทย คนไทยแทบทุกคนจะคุ้นชินกับกีฬาชนิดนี้ในแง่มุมต่าง ๆ ไม่มากก็น้อย รวมทั้งในหมู่ชาวต่างชาติเอง ‘มวยไทย’ ก็ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่ง สวยงามและมีเรื่องราวที่น่าหลงใหล 

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะเห็นผู้คนจากประเทศในทวีปยุโรป อเมริกาหรือแม้แต่ในทวีปเอเชียด้วยกันต่างพากันข้ามน้ำข้ามทะเลมาชมการแข่งขันถึงประเทศไทย หรือบางคนถึงขั้นมาฝึกฝน เรียนรู้ ‘มวยไทย’จาก ‘ต้นตำรับ’ กันเลยทีเดียว

ความนิยมของกีฬา ‘มวยไทย’ ต่อชาวต่างชาตินั้นมีมากถึงขนาดที่ในยุคสมัยหนึ่ง การแข่งขันมวยไทยตามเวทีมาตรฐานอย่างลุมพินีหรือราชดำเนินนั้น จะมีชาวต่างชาติซื้อบัตรเข้าชมกันอย่างไม่ขาดสาย ผู้จัดศึกน้อยใหญ่ต่างพากันสร้างรายได้จากชาวต่างชาติอย่างงดงามจากค่าบัตรเข้าชมการแข่งขัน 

รวมทั้ง ‘มวยไทย’ ยังเป็นกีฬาที่สร้างโอกาสหรือต่อยอดชีวิตให้กับเด็กหนุ่มจากต่างจังหวัดหลายต่อหลายคน ที่ผันตัวจากท้องไร่ปลายนามาสู่สังเวียนผืนผ้าใบรับเงินหมื่นเงินแสนตามฝีมือและดีกรีของตัวเอง หลายคนมีชื่อเสียงโด่งดังจนสามารถต่อยอดไปสู่วงการอื่นได้ 

เด็กชาย ‘สมบัติ บัญชาเมฆ’ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อปัจจุบันคือ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ก็เป็นหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้น จากเด็กที่วิ่งเล่น จับปูปลาอยู่กับเพื่อนอย่างสนุกสนานที่จังหวัดสุรินทร์ ก็มาเป็นนักมวยไทยไล่ล่าความฝันในเมืองกรุง

 

เริ่มกับค่ายป.ประมุข คว้าเข็มขัดคาดเอว

‘สมบัติ บัญชาเมฆ’ เริ่มต้นชกมวยไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่วัย 8 ขวบ ฝึกฝนและหาประสบการณ์จากเวทีในภูธรจวบจนวัย 15 ปี ก็ได้ย้ายเข้ามาสังกัดค่าย ป.ประมุข โดยมีชื่อว่า ‘ดำทมิฬ เกียรติอนันต์’ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น ‘บัวขาว ป.ประมุข’ ในเวลาต่อมา 

เจ้าตัวคว้าแชมป์ครั้งแรกได้ในวัย 19 ปี จากศึกชิงเข็มขัดแชมป์ของเวทีมวยสยามอ้อมน้อย ในรุ่นเฟเธอร์เวท เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 โดยสามารถเอาชนะคะแนน ‘เพชรเอก ส.สุวรรณภักดี’ ไปอย่างเป็นเอกฉันท์ 50-47 คะแนน คว้าเข็มขัดพร้อมเงินประจำตำแหน่งอีกเดือนละ 5,000 บาท 

ในไฟต์ต่อมา ‘บัวขาว ป.ประมุข’ สร้างชื่ออีกครั้งเมื่อสามารถคว้าแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวทของประเทศไทยได้ด้วยการเอาชนะน็อค สินชัยน้อย ส.กิตติชัย ที่เวทีมวยลุมพินี แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง เจ้าตัวก็พลาดคว้าแชมป์เส้นที่ 3 เมื่อพ่ายแพ้คะแนนให้กับ ‘ชาลี ส.ชัยทมิฬ’ ในการชิงแชมป์ของเวทีลุมพินี รุ่นเฟเธอร์เวท 

ในปี พ.ศ. 2545 ‘บัวขาว ป.ประมุข’ มีโอกาสขึ้นชกในต่างประเทศโดยสามารถบุกไปชนะเท็คนิเคิลน็อกเอ้าต์ ต่อ ‘มิคิทาดะ อิการาชิ’ นักชกญี่ปุ่นถึงกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะกลับมาคว้าแชมป์ของเวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง แต่เป็นในรุ่นไลท์เวท โดยชนะคะแนน ‘ขุนศึก เพชรสุภาพรรณ’ เจ้าตัวเริ่มจะโชว์ฟอร์มฉายแววความเป็นยอดมวยเมื่อสามารถครองแชมป์รายการ ‘โตโยต้า มวยไทย มาราธอน’ รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 140 ปอนด์ ณ สนามมวยเวทีลุมพินี โดยในรอบชิงชนะเลิศ ‘บัวขาว ป.ประมุข’ สามารถเอาชนะคะแนน ‘ซาโตชิ โคบายาชิ’ นักมวยจากประเทศญี่ปุ่นไปได้ จากนั้นในปีถัดมาก็เริ่มมีโอกาสไปชกต่างประเทศมากขึ้น

 

เบนเข็มสู่ K1 แชมป์สร้างชื่อสู่ระดับอินเตอร์

ในปี พ.ศ. 2547 ‘บัวขาว ป.ประมุข’ เดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันศึกมวย K-1 ในรายการ K-1 World MAX World Championship 2004 ที่ประเทศญี่ปุ่น และสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ โดยรอบชิงชนะเลิศเอาชนะนักมวยเจ้าถิ่นอย่าง ‘มาซาโตะ โคบายาชิ’ ซึ่งนั่นทำให้ชื่อของเจ้าตัวได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศญี่ปุ่นเนื่องจากคู่ต่อสู้ที่เขาเพิ่งเอาชนะมาได้นั้นคือแชมป์เก่าของรายการนี้ และเป็นนักมวยขวัญใจเจ้าถิ่น

ปีถัดมา ‘บัวขาว ป.ประมุข’ ยังคงเข้าร่วมศีกมวย K-1 อีกครั้ง โดยลงป้องกันแชมป์ K-1 World MAX World Championship โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การแข่งขันในรอบรองชนะเลิศ เมื่อเจ้าตัวต้องโคจรมาพบกับ ‘อัลเบิร์ต คราอุส’ นักมวยจากเนเธอร์แลนด์ ที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์รายการนี้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว และเป็นผู้ปราบ ‘เก้าล้าน เก้าวิชิต’ นักมวยจากไทยในรอบชิงชนะเลิศครั้งนั้น

ด้าน ‘บัวขาว ป.ประมุข’ เองก็เพิ่งเสียท่าพ่ายแพ้ให้กับ ‘อัลเบิร์ต คราอุส’ มาเมื่อ 5 เดือนก่อนหน้านี้เอง นับเป็นศึกหนักและเป็นศึกที่ต้องพบกับของจริง ซึ่งเจ้าตัวฟิตซ้อมมาอย่างดี ทุ่มเททุกอย่างที่มีและผลการแข่งขันในครั้งนี้ก็เป็นนักชกไทยที่ทำได้ดีกว่าสามารถล้างแค้นเอาชนะไปได้ ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศต่อไป

ในรอบชิงชนะเลิศ แฟนหมัดมวยทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นต่างจับจ้องส่งกำลังใจให้กับ ‘บัวขาว ป.ประมุข’ อย่างล้นหลาม เพื่อให้เจ้าตัวสามารถป้องกันแชมป์ K-1 World MAX World Championship ให้จงได้ เพราะมันจะเป็นประวัติศาสตร์ของรายการนี้ที่แชมป์เก่าสามารถป้องกันแชมป์ได้ และ ‘บัวขาว ป.ประมุข’ จะเป็นนักมวยคนแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้ 2 สมัย แต่แม้ว่าเจ้าตัวจะมีความพร้อมมามากเพียงใด กำลังเปี่ยมล้นมาขนาดไหน ก็ไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันได้ เมื่อในรอบชิงชนะเลิศต้องพ่ายแพ้ให้กับ ‘แอนดี้ ซาวเวอร์’ จากเนเธอร์แลนด์ไป

ปี พ.ศ. 2549 ‘บัวขาว ป.ประมุข’ เข้าร่วมการแข่งขันศึก K-1 World MAX World Championship เป็นครั้งที่ 3 และสามารถสร้างผลงานได้อย่างเยี่ยมยอดเมื่อผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน โดยคู่ต่อสู้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น ‘แอนดี้ ซาวเวอร์’ แชมป์เก่าที่หักอก ‘บัวขาว ป.ประมุข’ ไปในรอบชิงชนะเลิศครั้งที่แล้ว 

มาในครั้งนี้นักชกไทยเราจึงจัดหนักจัดเต็ม ออกอาวุธหนักหน่วงรุนแรงจนแชมป์เก่าทนไม่ไหวล้มลงไปกองกับพื้นเวทีครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็เป็น ‘บัวขาว ป.ประมุข’ สามารถเอาชนะเท็คนิเคิลน็อกเอ้าต์ไปได้ คว้าแชมป์ K-1 World MAX World Championship 2006 ไปครองอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นแชมป์สมัยที่ 2 ของตัวเอง 

‘บัวขาว ป.ประมุข’ ที่เป็นชื่อใหม่เป็น ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ยังคงแข่งขันในรายการต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอีกหลายรายการจนในปี พ.ศ. 2557 เจ้าตัวผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศศึก K-1 World MAX World Championship 2014 เป็นการเข้าชิงชนะเลิศรายการนี้เป็นครั้งที่ 4 ของตัวเอง และ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ยังได้ลุ้นเป็นแชมป์ 3 สมัยคนแรก โดยคู่ต่อสู้ในรอบชิงชนะเลิศคือ ‘เอ็นริโก้ เคห์ล’ จากประเทศเยอรมันนี

เกมการชกหลังจากต่อยกันครบยกแล้วปรากฏว่าผลคะแนนเสมอกัน ทำให้ต้องตัดสินกันในยกพิเศษ แต่ก็เป็นฝั่งนักชกไทยที่ไม่ยอมชกต่อจนถูกปรับแพ้ไปในที่สุด ท่ามกลางความงุนงง สงสัย ปนไม่พอใจของแฟนหมัดมวย ณ ขณะนั้น และนั่นก็เปรียบเสมือนไฟต์ปิดตำนานของ บัวขาว บัญชาเมฆ กับซีรี่ส์มวย K-1

 

เปลี่ยนเป็นบัญชาเมฆ เผยแพร่มวยไทย

ช่วงเวลาหนึ่งของ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ หลังจากไปสร้างชื่อเสียงที่เวทีต่างประเทศเสียนาน เจ้าตัวก็เริ่มได้รับความนิยมในประเทศไทย หลายต่อหลายคนเฝ้าคอยจะเห็นนักชกขวัญใจของตนรายนี้ขึ้นชกเวทีในประเทศแบบแสง สี เสียงครบครัน และในปี พ.ศ. 2554 ก็เป็นรายการ ‘Thai Fight’ ที่เจ้าตัวไปเข้าร่วมการแข่งขันและสามารถโชว์ลีลาแม่ไม้มวยไทยจนสามารถคว้าแชมป์ไปครองได้ ชื่อเสียงของ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ในขณะนั้นถือว่าเป็นนักกีฬาที่ได้รับความสนใจจากสังคมไทยมากพอสมควร

ปี พ.ศ. 2555 เจ้าตัวได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการเป็นอิสระจาก ‘ค่าย ป.ประมุข’ แม้ว่าทางค่ายจะทักท้วงและไม่อนุญาตให้เจ้าตัวขึ้นชก แต่ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ก็ยังขึ้นชกในรายการ Thai Fight 2012 ในฐานะแชมป์เก่า โดยหลังจากคว้าชัยชนะเหนือ ‘รัสเต็ม ซารีปอฟ’ นักมวยรัสเซียในนัดเปิดสนามแล้ว ก็กล่าวบนเวทีว่า “ตนขึ้นชกโดยไม่กลัวว่าจะผิดกฎหมาย แม้จะต้องติดคุกก็ตาม” 

ซึ่งภายหลังเจ้าตัวก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ แทน ‘บัวขาว ป.ประมุข’ ดังเช่นทุกวันนี้ และในปีนั้นก็สามารถคว้าแชมป์ ‘Thai Fight’ ไปครองเป็นสมัยที่ 2

แต่เหนืออื่นใด การเข้าร่วมแข่งขันมวยไทยในซีรี่ส์ ‘Thai Fight’ และ ‘Thai Fight Extreme’ ของ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ก็เพื่อเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ซึ่งหลังจากนั้น เจ้าตัวยังคงแข่งขันมวยไทยในรายการพิเศษต่าง ๆ ซึ่งเราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าชื่อเสียง ลีลาการไหว้ครู และลีลาการชกที่สนุกเร้าใจของ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ นั้น มีส่วนช่วยส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมมวยไทยไปสู่เวทีโลก

นี่คือเรื่องราวและผลงานของ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ผู้ที่มีส่วนช่วยทำให้ชาวโลกหันมามองมวยไทย

 

เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (แฟนพันธุ์แท้เอเชียนเกมส์)

ภาพ: แฟ้มภาพ NATION PHOTO