ดิดิเยร์ ดร็อกบา อดีตนักบัญชี ชายผู้หยุดสงครามกลางเมืองได้

ดิดิเยร์ ดร็อกบา อดีตนักบัญชี ชายผู้หยุดสงครามกลางเมืองได้

อดีตนักบัญชี ชายผู้หยุดสงครามกลางเมืองได้

ดิดิเยร์ ดร็อกบา นักเตะเจ้าของฉายา “เจ้าแมลงสาบ” ประกาศรีไทร์จากวงการฟุตบอลหลังจบฤดูกาล 2018/19 นอกจากฝีเท้าในการเล่นฟุตบอลแล้ว เรื่องราวชีวิตของ ดิดิเยร์ กลายเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกมากมาย โดยเฉพาะในด้านการศึกษา และฐานะคนที่มีส่วนช่วยยุติสงครามกลางเมืองในประเทศ ‘ติโต้’ หรือแปลเป็นไทยว่า เจ้ายักษ์ คือฉายาในวัยเด็กของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา เขาเกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1978 ที่เมืองอาบีจาน ประเทศโกตดิวัวร์ หรือ ไอเวอรี่โคสต์ ดิดิเยร์เติบโตมาในหมู่บ้านที่ยากจน ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนที่หิวโหย และอดอยาก ซึ่งนั่นรวมไปถึงครอบครัวของเขาด้วย ช่วงนั้นเศรษฐกิจของโกตดิวัวร์อยู่ในสภาวะวิกฤต ประชาชนกว่าพัน ๆ คน ต้องอพยพไปประเทศฝรั่งเศส ที่ซึ่งเปรียบเหมือนทุ่งหญ้าเขียวขจีของเหล่าคนอพยพ ร่างกายของดิดิเยร์ หยุดเจริญเติบโต อันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ พ่อแม่ของเขาก็ตกงาน แถมเงินที่จะซื้อข้าวกินก็ยังไม่มี แหล่งเงินเดียวที่คอยผดุงชีพครอบครัวนี้เอาไว้ได้ก็มาจากลุงแท้ ๆ ของเขา มิเชล โกบา นักฟุตบอลเชื้อสายโกตดิวัวร์ ที่อาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส (ในเวลานั้นฝรั่งเศสมีนักฟุตบอลผิวสีที่เป็นคนอพยพจำนวนมาก) โกบาวางแผนกลับบ้านเกิด และกะจะพาดิดิเยร์ในวัย 5 ขวบและเหล่าญาติ ๆ กลับมาฝรั่งเศสไปด้วยกัน โดยหวังลึก ๆ ว่ามันจะทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้นได้ แต่แผนการของโกบาก็ล่มไม่เป็นท่าเพราะวีซ่าเดินทางกลับโกตดิวัวร์ของเขาถูกกงสุลของฝรั่งเศสปฏิเสธ ทางเลือกเดียวของเขาในตอนนั้นคือ ส่งเงินกลับไปให้ครอบครัวดร็อกบาเพื่อทำวีซ่าเข้าฝรั่งเศส กับเงื่อนไขที่ว่าเงินจำนวนดังกล่าวพอสำหรับคนเดียวเท่านั้น หลังจากปรึกษาหารือกัน ครอบครัวดร็อกบาตัดสินใจให้ ‘ดิดิเยร์’ ลูกชายตัวเล็กเป็นตัวแทนของครอบครัวเดินทางไปฝรั่งเศส การเดินทางคนเดียวเป็นสิ่งที่ดิดิเยร์กลัว เขาในตอนนั้นคือเด็กตัวเล็กๆ จน ๆ ผู้ที่ไม่เคยเห็นเครื่องบินมาก่อนทั้งชีวิต แถมต้องทิ้งบ้านเกิดเพื่ออนาคตของตัวเอง (ครอบครัว) ก่อนออกเดินทาง แม่ของดิดิเยร์นำป้ายที่เขียนข้อความว่า ‘ ดิดิเยร์ ดร็อกบา มาเพื่อพบมิเชล โกบา ในปารีส’ มาห้อยที่คอของเขาไว้ ผู้คนในสนามบินต่างพากันแปลกใจต่อการกระทำของครอบครัวดร็อกบา ทุกคนต่างคิดว่า “ครอบครัวนี้เป็นบ้าอะไรถึงปล่อยให้เด็กตัวเล็ก ๆ ไปเผชิญชีวิตตัวคนเดียว” ที่สนามบินชาร์ลส์ เดอ โกล เด็กน้อยดิดิเยร์ เดินก้มหน้าไปหาลุงของเขาที่รออยู่ ตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามและความกดดัน “ทำไมต้องเป็นเรา”  หลายเดือนต่อมาหลังจากที่เขาเริ่มปรับตัวในเมืองหลวงของฝรั่งเศสได้ คำถามที่ไม่ได้รับการตอบก็ค่อย ๆ คลี่คลายออกมา ครอบครัวดร็อกบาอยากให้ดิดิเยร์เดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อโฟกัสกับการเรียนและด้านวิชาการเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าความรู้จะช่วยให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม โกบา ไม่คิดเช่นนั้น เขาเห็นแววและต้องการให้ดิดิเยร์ กลายมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนกับเขา โกบา พาดิดิเยร์เดินไปสมัครตามศูนย์ฝึกฟุตบอลต่าง ๆ และดูเหมือนว่าดิดิเยร์ก็เริ่มชอบฟุตบอลเรื่อย ๆ แล้ว ความเห็นที่ไม่ตรงกันกันเกี่ยวกับอนาคตของเด็กน้อยดิดิเยร์ ระหว่างครอบครัวดร็อกบา และโกบา ได้ตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ดิดิเยร์จะได้เล่นฟุตบอลต่อ แต่ต้องควบคู่ไปกับการเรียนวิชาการด้วย สิ่งนี้ส่งผลให้ ดิดิเยร์ ต้องออกจากโรงเรียนฟุตบอล และหันมาเรียนวิชาการมากขึ้น แม้จะได้เล่นกับทีมเยาวชนของโรงเรียนอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีเหมือนตอนที่ได้อยู่กับฟุตบอลตลอดเวลา บวกกับการที่ต้องจากครอบครัวมาไกลนั่นทำให้เขาเริ่มมีอาการคิดถึงบ้าน “ผมจำเวลาช่วงที่อยู่ฝรั่งเศสใหม่ ๆ ได้ ผมร้องไห้ทุกวัน แต่นั่นไม่ใช่เพราะอยู่ฝรั่งเศสนะ ผมสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ลึก ๆ มันเป็นเพราะผมต้องห่างบ้านมาไกลมาก ๆ และผมก็คิดถึงพวกเขา (ครอบครัว) มาก”

ดิดิเยร์ ดร็อกบา อดีตนักบัญชี ชายผู้หยุดสงครามกลางเมืองได้

ดิดิเยร์ ใช้ชีวิตอยู่ในฝรั่งเศสสามปี ก่อนจะตัดสินใจเดินไปบอกลุงของเขาว่า “ผมอยากกลับบ้าน” โกบาโมโหควันออกหู แต่สุดท้ายก็ควักเงินของตัวเองให้ดิดิเยร์ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน ดิดิเยร์ กลับมาในช่วงที่ระบบเศรษฐกิจของโกตดิวัวร์กำลังจะล่มสลายเต็มที ดิดิเยร์ต้องหยุดเรียนเพราะครอบครัวไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้เขา สุดท้ายเขาตัดสินใจไปเล่นฟุตบอลข้างถนนกับเพื่อนจนถึงอายุ 11 ขวบ แม่และพ่อของดิดิเยร์ รู้สึกเสียใจอย่างมากที่ยอมให้เขากลับมา พวกเขารู้ดีว่าถ้าปล่อยให้ลูกอยู่ที่นี่ต่อไปดิดิเยร์จะไม่มีวันได้มีชีวิตที่ดีอีก ทั้งคู่ตัดสินใจบากหน้าไปขอความช่วยเหลือ โกบา อีกครั้ง โกบาตอบสนองคำขอร้องเหล่านั้นโดยการส่งเงินให้ดิดิเยร์ เพื่อเดินทางมาฝรั่งเศสอีกครั้ง โกบายังคงเคารพคำขอของครอบครัวดร็อกบา เขาตัดสินใจให้ดิดิเยร์เข้าเรียนในโรงเรียน และใช้เวลาว่างที่เหลือคอยสอนฟุตบอลให้กับดิดิเยร์แทน แต่ด้วยพรสวรรค์ด้านฟุตบอลอันน่าทึ่งของดิดิเยร์ เขากลายเป็นที่สนใจของหลายทีมในฝรั่งเศส และในปี 1993 ดิดิเยร์ได้มีโอกาสร่วมทีมเยาวชนของสโมสรเลอ วาลัวส์ โดยมาจากการติดต่อให้ของโกบา ดิดิเยร์รู้ดีว่าเขามีโอกาสในชีวิตมากขนาดนี้เป็นเพราะความเสียสละของครอบครัว เขาไม่เคยลืมคำขอของแม่ที่อยากจะเห็นเขาเรียนจบ ดิดิเยร์ตัดสินใจไม่ขอโฟกัสกับฟุตบอลเต็มตัวจนกว่าจะเรียนจบ เขาตัดสินใจเรียนเทียบในวิชาบัญชีของมหาวิทยาลัยเมน ที่สหรัฐฯ พร้อมกับเล่นฟุตบอลที่ เลอ มอง ไปด้วย จนสุดท้ายเขาก็เรียนจบบัญชี ด้วยวัยเพียง 21 ปีเท่านั้น ตอนนี้ดิดิเยร์ก็เป็นนักบัญชีโดยถูกต้องตามกฎหมาย และได้เล่นฟุตบอลเต็มตัวเสียที ในวัย 21 ปี ดิดิเยร์ เริ่มรู้ตัวว่าเป็นสายรุก เขาหันมาเอาดีและเปลี่ยนตำแหน่งจากแบ็คขวามาเป็นกองหน้า เขาโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับเพื่อนในรุ่นเดียวกัน จนสุดท้ายฟอร์มไปเข้าตา แก็งก็อง ทีมในดิวิชั่นสอง และแค่ฤดูกาลแรก เขาก็มีส่วนช่วยให้ทีมรอดตกชั้นได้ ต่อมา โอลิมปิก มาร์กเซย ซื้อตัวดิดิเยร์มาก่อนที่เขาจะโชว์ผลงานโบว์แดงทำ 19 ประตูใน 35 นัด ที่ลงสนามในลีกเอิง คว้าตำแหน่งผู้เล่นแห่งปีไป ในตอนนั้นเขากลายเป็นที่ต้องการของทุกทีมทั่วยุโรปก่อนจะลงเอยกับเชลซีในปี 2004 และสร้างตำนานเรื่อยมา

ดิดิเยร์ ดร็อกบา อดีตนักบัญชี ชายผู้หยุดสงครามกลางเมืองได้

ดิดิเยร์พูดเสมอว่า การศึกษาทำให้เขามีมุมมองที่แตกต่าง และกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

“เงินของผมไม่ได้มาจากการเล่นฟุตบอลหรอก มันมาจากการศึกษา”

ชายผู้ยุติสงคราม !

ในสายตาของชาวโกตดิวัวร์ ดิดิเยร์ เปรียบเป็นพระเจ้าของพวกเขา ถ้าคุณมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศแห่งนี้ คุณจะได้เห็นหน้าของเขาอยู่ในทุกที่ ไล่ตั้งแต่โฆษณาช็อกโกแลต ยันโทรศัพท์มือถือ แม้เขาจะมีชื่อเสียงและความสุขมากเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถนอนหลับสนิทได้สักที อันเนื่องมาจากการเมืองของโกตดิวัวร์ที่ร้อนระอุอยู่บ่อยครั้ง และก็มักจะเกิดสงครามกลางเมืองอยู่เรื่อย ๆ ย้อนกลับไปช่วงรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 2006 โกตดิวัวร์ต้องชนะซูดานเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก และหลังเกมที่พวกเขาสามารถชนะไป 3-1 ระหว่างการเฉลิมฉลองในห้องแต่งตัว ดิดิเยร์ คว้าไมค์และเดินมาที่หน้ากล้องถ่ายทอดสด พร้อมกับเพื่อนนักเตะทุกคน และคุกเข่าเพื่อขอร้องให้กลุ่มติดอาวุธยุติสงคราม “ชาวโกตดิวัวร์ชายและหญิงทั่วประเทศ ชัยชนะในวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าชาวโกตดิวัวร์ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ วันนี้เราทุกคนลงสนามพร้อมจุดมุ่งหมายเดียวกันเพื่อเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก เราสัญญาได้เลยว่านั่นคือการเฉลิมฉลองของประชาชนทุกคน วันนี้เราทุกคนขอร้อง ด้วยการคุกเข่า จงให้อภัยกัน หลายประเทศที่มั่งคั่งในแอฟริกาพวกเขาไม่มีสงคราม ได้โปรดวางอาวุธของคุณซะ และมีการเลือกตั้งกัน ทุกอย่างจะดีขึ้น”

ดิดิเยร์ ดร็อกบา อดีตนักบัญชี ชายผู้หยุดสงครามกลางเมืองได้

ดิดิเยร์ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นที่รักและศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ เขาคิดแค่ว่าสิ่งใดที่จะช่วยให้ประเทศสงบสุข เขาก็จะทำสิ่งนั้น ดิดิเยร์เล่าความรู้สึกในวันนั้นว่า “สิ่งที่ผมทำตอนนั้นมันมาจากสัญชาตญาณของผม นักเตะทุกคนเกลียดสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ ฟุตบอลโลกคือโอกาสที่จะทำให้เราสามารถก้าวผ่านมันไปได้” หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ผ่านมาอีกสามปี สงครามกลางเมืองของโกตดิวัวร์ก็ค่อย ๆ เบาบางลงเรื่อย ๆ ดิดิเยร์ถูกยกย่องจากนิตยสาร TIME ให้เป็น 100 ผู้มีอิทธิพลของโลก ในสายตาของคนทั่วโลกเขาอาจจะเป็นยอดนักเตะคนหนึ่ง แต่ในสายตาของครอบครัวและคนทั้งประเทศเขาคือ “วีรบุรุษ”

“ผมชนะได้ถ้วยรางวัลมาก็เยอะ แต่ไม่มีอะไรช่วยให้เกิดความสงบในประเทศผมได้ ทุกวันนี้ผมภูมิใจกับประเทศ เราไม่ต้องการสิ่งใดเพื่อการเฉลิมฉลองอีกต่อไปแล้ว”