‘ฉลาม’ ตัวจุดชนวนสงครามใต้น้ำ คุกคามสายเคเบิลมานานกว่า 120 ปี

‘ฉลาม’ ตัวจุดชนวนสงครามใต้น้ำ คุกคามสายเคเบิลมานานกว่า 120 ปี

ฉลามเป็นภัยคุกคามต่อสายเคเบิลใต้น้ำมาเป็นเวลานาน โดยมีการบันทึกเหตุการณ์ความเสียหายตั้งแต่ยุคสายโทรเลขจนถึงสายเคเบิลใยแก้วนำแสงในปัจจุบัน

KEY

POINTS

เหตุการณ์ Cloudflare (คลาวด์แฟลร์) ล่มเมื่อคืนวันที่ 18 พ.ย. 2568 ทำเอาคนทั่วโลกถึงกับต้องสวดภาวนาให้กลับมาใช้ได้เร็ววัน เพราะดูเหมือนว่าชีวิตของใครหลายคน จะขึ้นอยู่กับบริการของคลาวด์แฟลร์อยู่ไม่น้อย การล่มครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เพียงแอพพลิเคชั่น X (เอ็กซ์) ใช้งานไม่ได้เท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เว็บไซต์ทั่วโลกที่ใช้ระบบดังกล่าวใช้ไม่ได้ทั้งหมด 

ส่วนคำถามที่ว่าทำไมคลาวด์แฟลร์ถึงสำคัญ ลองจินตนาการถึงระบบรักษาความปลอดภัยระดับโลกที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็คงไม่มีใครทำให้เรารู้สึกปลอดภัยได้เท่าเจ้าสิ่งนี้ มั่นใจว่าจะไม่ทำให้ผู้ใช้บริการผิดหวัง มั่นใจในความปลอดภัยสุดขีด เพราะนี่คือผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Web Application Firewall) เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากผู้ไม่หวังดีบนอินเทอร์เน็ต และช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่น (Content Delivery Network หรือ CDN) เสมือนเกราะป้องกันความปลอดภัยในโลกดิจิทัล แต่แล้วระหว่างกำลังนั่งไถหน้าจอ กดเข้าเว็บไซต์ที่สนใจอยากจะอ่านข้อมูล กลับพบว่าไม่สามารถโหลดอะไรได้เลย ราวกับถูกทิ้งให้เคว้งอยู่แค่หน้าจอขาวโพลน

โดยปกติแล้ว ทุกครั้งที่เราเปิดหน้าเว็บ เบื้องหลังคือการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ของเราและเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บเว็บไซต์นั้นไว้ แต่ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์มีขีดจำกัด เมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมากหรือเปิดหลายแท็บพร้อมกัน ภาระที่ถาโถมเข้ามาก็อาจทำให้การโหลดช้าลง หรือหนักกว่านั้นคือเว็บล่มไปเลย

ปัญหานี้เองที่ทำให้คลาวด์แฟลร์ถือกำเนิดขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นเสมือนเกราะป้องกันและผู้ช่วยแบกรับภาระให้เซิร์ฟเวอร์ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายโหลดให้เว็บทำงานได้เร็วขึ้น ป้องกันการโจมตี หรือเสริมความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง จนกลายเป็นบริการ CDN ที่โดดเด่นและเป็นที่พึ่งของเว็บไซต์ทั่วโลกในวันนี้

แต่กว่าจะมาถึงยุคของคลาวด์แฟลร์อย่างในทุกวันนี้ ในอดีตเคยมีเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้อินเทอร์เน็ตล่มพร้อมกันด้วยเช่นกัน โดยมีหลายสาเหตุมาจากสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลลึก ที่ไม่สามารถเอาผิดตามตัวบทกฎหมายได้

และนี่คือเรื่องราวของ ‘ฉลาม’ ศัตรูตัวร้ายของสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตใต้น้ำมาตั้งแต่ปี 1901 จนทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวแล้วปรับตัวเล่า เพื่อไม่ให้เม็ดเงินมหาศาลต้องสูญสลายไป เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นของฉลามยักษ์

ศัตรูตามธรรมชาติ

เหตุการณ์ฉลามกัดสายเคเบิลใยแก้วนำแสงใต้ทะเลถูกบันทึกครั้งแรกเมื่อปี 1985-1987 บริเวณหมู่เกาะคานารี โดยสายเคเบิลโทรคมนามาที่เชื่อมระหว่างเกาะกรานคานาเรีย และเทเนริเฟ  (Gran Canaria และ Tenerife) ซึ่งเปิดใช้งานจริงในมหาสมุทรเป็นครั้งแรก พบว่าเกิดความเสียหายหลายต่อหลายครั้ง และเมื่อผู้เชี่ยวชาญสำรวจเศษซากของสายเคเบิลพบว่า บนสายมีร่องรอยฟันฉลามฝังอยู่ในปลอกโพลีเอทิลีน การทดสอบโดยนักวิทยาศาสตร์ของ Bell Laboratory ระบุว่า ผู้ก่อเหตุคือฉลามสายพันธุ์ Crocodile Shark ซึ่งอาศัยในระดับน้ำ 1,060–1,900 เมตร ส่วนฉลามสายพันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยในระดับน้ำต่างกัน ไม่ได้สนใจสายเคเบิล

หากย้อนกลับไปยังช่วงปี 1901–1957 ซึ่งเป็นยุคที่ใช้สายเคเบิลโทรเลขใต้น้ำเป็นหลัก พบความเสียหายอย่างน้อย 28 ครั้ง ต่อมาในปี 1959–2006 เมื่อสายเคเบิลแบบแกนร่วม (coaxial) เริ่มแพร่หลาย ก่อนถูกแทนที่ด้วยระบบใยแก้วนำแสงในปี 1988 พบเหตุความเสียหายประมาณ 11 ครั้ง หรือคิดเป็น 0.5% ของความเสียหายทั้งหมด 

และเพื่อไม่ให้ศัตรูตามธรรมชาติสร้างความเสียหายมากไปกว่านี้ พวกเขาจึงพัฒนาปลอกป้องกันของสายเคเบิลให้แข็งแรงขึ้น จนสามารถแก้ปัญหาได้ในที่สุด เห็นได้จากสถิติความเสียหายที่ลดลงในช่วงปี 2008–2013 จะพบว่าไม่มีเหตุความเสียหายจากฉลามอีกเลย

การลดลงดังกล่าวสอดคล้องกับการออกแบบสายเคเบิลที่มีความแข็งแรง ทนทานขึ้น และมีมาตรการป้องกันต่าง ๆ เข้ามาช่วยลดความเสียหาย แต่นอกเหนือจากฉลามหรือสัตว์ในท้องทะเลลึกแล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่ตามมาติด ๆ คือ กิจกรรมเรือและการประมงที่เป็นสาเหตุของความเสียหายกว่า 65–75% โดยความเสียหายอื่น ๆ เกิดจาก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่มใต้ทะเล กระแสน้ำ (น้อยกว่า 10%) ความล้มเหลวของชิ้นส่วนสายเคเบิล (5%) และบางครั้งก็พบว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ‘ไม่ทราบสาเหตุ’ ซึ่งมีอยู่ราว 10–20%

เนื่องจากกิจกรรมเดินเรือและการทำประมงเพิ่มมากขึ้นบนไหล่ทวีป (continental shelf) สายเคเบิลใยแก้วนำแสงจึงถูกป้องกันเพิ่มเติมด้วยการหุ้มเกราะเหล็ก (steel wire armour) รอบสายเคเบิล และฝังใต้ทะเลลึกถึง 3 เมตร มาตรการเหล่านี้ใช้เป็นปกติในระดับความลึก น้อยกว่า 200 เมตร และอาจขยายไปถึง 2,000 เมตร ในพื้นที่ที่มีการประมงน้ำลึกจำนวนมาก กลายเป็นว่าสายเคเบิลก็ได้รอดพ้นจากการถูกฉลามกัด และน้ำมือมนุษย์ไปพร้อมกัน

Google ผู้ประสบภัยรายใหญ่จากฉลาม

ในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2014 หรือราว 11 ปีก่อน ผู้ประสบภัยรายใหญ่คงหนีไม่พ้น Google เมื่อฉลามกัดสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติกใต้มหาสมุทรแปซิฟิกเสียหาย ว่ากันว่าพวกมันคงเข้าใจผิดคิดว่าสายยาว ๆ ที่ทอดผ่านอยู่ใต้น้ำลึกจะเป็นอาหารชนิดใหม่ เลยพากันเข้ามาลิ้มรสชาติดู และนั่นทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ถึงกับเขว เพราะนี่คือการเข้ามาทำลายสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติกที่ทำหน้าที่ขนส่งการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตทั่วโลกจนเสียหายย่อยยับ

ใช่ว่าจะไม่มีหลักฐานเสียทีเดียวว่า ‘ฉลาม’ เป็นผู้ร้าย เพราะในช่วงนั้นมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเฝ้าระวังใต้น้ำ ที่กำลังฉายภาพฉลามตัวหนึ่งว่ายวนมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะอ้าปากกัดสายเคเบิลเข้าเต็มคำ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ด้านคลาวด์ของ Google บอกว่า บริษัททำงานร่วมกับพันธมิตรบนสายเคเบิลที่พาดผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก โดยการเสริมความแข็งแรงด้วยวัสดุคล้ายเคฟลาร์เพื่อป้องกันความเสียหาย

ซึ่งในแต่ละสายไฟเบอร์จะต้องมีการส่งพลังงานไฟฟ้าผ่านเส้นเดียวกัน เพื่อจ่ายให้กับตัวทวนสัญญาณ (optical repeaters) ที่ติดตั้งเป็นช่วง ๆ ทุกระยะประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อขยายสัญญาณ ดังนั้นสายเคเบิลส่วนใหญ่จึงมีการป้องกันที่ออกแบบมา เพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดการแพร่ของไฟฟ้า หรือสนามแม่เหล็กออกมานอกชั้นป้องกัน แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการป้องกันเหล่านี้สามารถหยุดสนามไฟฟ้าและแม่เหล็กได้ทั้งหมด

ขณะที่สายเคเบิลทองแดงรุ่นเก่าไม่ค่อยพบปัญหาเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการสันนิษฐานว่าฉลามอาจถูกดึงดูดด้วยสนามแม่เหล็กจากแรงดันไฟฟ้าสูงที่ไหลผ่านสายเคเบิล ซึ่งคล้ายกับสัญญาณไฟฟ้าที่ปลาสร้างขึ้น

ส่วนสายเคเบิลไฟเบอร์ออปติกทำหน้าที่ส่งข้อมูลข้ามทวีป ซึ่งต้องผ่านมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของอินเทอร์เน็ต แต่ละสายบรรจุเส้นใยออปติกจำนวนมาก ทำให้มีความบอบบางมากเป็นพิเศษ แต่ต้องยอมรับว่าสายเหล่านี้ สามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึงประมาณ 1 กิกะบิตต่อวินาที หรือเร็วกว่าสายทองแดงราว 100 เท่า

แน่นอนว่า Google อาจไม่ใช่บริษัทเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการถูกฉลามกัด และต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานใต้น้ำ รวมถึงเส้นทางการสื่อสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกต้องมีการซ่อมแซมมากกว่า 50 ครั้งต่อปี (ในช่วงเวลานั้น) จากสาเหตุหลายอย่าง ทั้งจากเรือประมงลากอวน สมอเรือ แผ่นดินไหว ไปจนถึงแรงดันน้ำใต้ท้องทะเล

ส่วนคำถามที่ว่าทำไมฉลามถึงถูกดึงดูดด้วยสายเคเบิลใต้น้ำ? 

ดร.คริส โลว์ (Dr. Chris Lowe) ​ผู้เชี่ยวชาญด้านฉลามจากมหาวิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนีย อธิบายว่า บางทีพวกมันอาจแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น 

“ถ้าคุณเอาชิ้นพลาสติกที่มีรูปร่างเหมือนสายเคเบิลไปทิ้งไว้ในทะเล ก็มีโอกาสสูงที่ฉลามจะกัดมันเหมือนกัน” ดร.โลว์ ซึ่งเป็นหัวหน้า Shark Lab ให้สัมภาษณ์กับ Wired เขายังบอกอีกว่า ฉลามแต่ละชนิดตอบสนองต่อสายเคเบิลต่างกัน 

ตัวการสำคัญอาจเป็นฉลามบูลล์ หรือฉลามหัวบาตร (Carcharhinus leucas) ซึ่งมีลำตัวอวบ สีเทา และจมูกสั้นมน เป็นฉลามที่พบแพร่หลายในน้ำอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก และมักพบในพื้นที่ที่บริษัทน้ำมันประสบปัญหาฉลามทำลายสาย streamer

เพื่อหาคำตอบว่าฉลามทำลายสายเคเบิลได้จริงหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์จึงทำการทดสอบ โดยเริ่มจากการสแกนขากรรไกรฉลามบูลล์ตัวจริงเป็น 3 มิติ แล้วนำไปสร้างเป็นแบบจำลองในคอมพิวเตอร์

จากนั้นก็ทดสอบว่าถ้าฉลามกัดสายเคเบิลจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น โดยวัดแรงกัด วัดแรงกระแทก และทดสอบว่าสายเคเบิลจะทนแรงบีบอัดได้แค่ไหน เหมือนกับการจำลองสถานการณ์การโจมตีของฉลามในโลกเสมือน

ผลการทดลองพบว่า ฉลามกัดจนทำลายสายเคเบิลได้จริง แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นขึ้นอยู่กับว่าฉลามพุ่งเข้ามาเร็วแค่ไหน ยิ่งพุ่งเร็ว ยิ่งทำลายได้มาก เหมือนการชนของรถที่ความเร็วต่างกัน

แม้จะได้ข้อสรุปแน่ชัดว่า ฉลามมีส่วนทำลายสายเคเบิลใต้น้ำจริง ๆ แต่จากรายงานของ Popular Science ซึ่งเปิดเผยถึงโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ปี 2009 ชี้ว่า มีตัวการอื่นด้วยเช่นกัน 

“ปลา รวมถึงฉลาม มีประวัติยาวนานในการกัดสายเคเบิล ซึ่งพบได้จากฟันที่ฝังอยู่ในปลอกหุ้มสายเคเบิล บาราคูด้า ฉลามน้ำตื้นและน้ำลึก และสัตว์อื่น ๆ ถูกระบุว่าเป็นสาเหตุของความเสียหายต่อสายเคเบิล การกัดมักเจาะทะลุชั้นฉนวน ทำให้กระแสไฟฟ้ารั่วลงสู่พื้นน้ำทะเลได้”

ยังไม่นับว่ามันยังถูกทำลายจากสมอเรือหรือแผ่นดินไหวอีกด้วยสุดท้ายแล้ว ดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่ฉลามจะพัฒนาความอยากอาหารต่อสายไฟใต้ทะเล… แต่ก็คงไม่ได้หยุดพวกมันจากการทดลองกัดเล่นเป็นครั้งคราว

ถึงเทคโนโลยีและมาตรการป้องกันจะพัฒนาไปไกลมากแค่ไหน แต่เรื่องราวของฉลามกัดสายเคเบิลก็ยังคงทำให้คนหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นระยะ บ้างก็เอามาทำมีมเล่นว่าชีวิตของมนุษย์ต้องสั่นคลอน เพราะความอยากรู้อยากเห็นของฉลาม…

เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง

 

อ้างอิง

Google reinforces undersea cables after shark bites.

Our Underwater World Is Full Of Cables… That Are Sometimes Attacked By Sharks.

The Global Internet Is Being Attacked by Sharks, Google Confirms.

Why Sharks Attack Undersea Internet Cables.