‘แอนดรูว์ เมาน์ตแบตเทน วินด์เซอร์’ จากเจ้าชายถึงบทเรียนราชวงศ์อังกฤษยุคใหม่

‘แอนดรูว์ เมาน์ตแบตเทน วินด์เซอร์’ จากเจ้าชายถึงบทเรียนราชวงศ์อังกฤษยุคใหม่

‘แอนดรูว์ เมาน์ตแบตเทน วินด์เซอร์’ จากเจ้าชายผู้ได้รับยกย่องในราชนาวีอังกฤษ สู่ชายผู้ถูกถอดยศและต้องเผชิญกับบทเรียนแห่งความโปร่งใสในราชวงศ์ยุคใหม่ 

KEY

POINTS

31 ตุลาคม 2025 คือวันที่คำว่า ‘เจ้าชาย’ ถูกปลดออกจากชีวิตชายวัย 65 ปี ‘แอนดรูว์ เมาน์ตแบตเทน วินด์เซอร์’ (Andrew Mountbatten Windsor) เดินออกจาก ‘Royal Lodge’ สถานที่ประทับหรูขนาด 30 ห้อง เพื่อย้ายไปยังบ้านพักส่วนตัวบนที่ดินของกษัตริย์ที่แซนดริงแฮม ทุกก้าวย่างของเขาสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์อังกฤษในยุคที่ความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสาธารณะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

แอนดรูว์ประสูติเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1960 ณ พระราชวังบักกิงแฮม เป็นพระโอรสองค์ที่สามของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป พระนามเต็มของพระองค์คือ ‘แอนดรูว์ อัลเบิร์ต คริสเตียน เอ็ดเวิร์ด’ ตั้งแต่เด็ก แอนดรูว์เติบโตในเงาของสถาบันที่มั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทรงได้รับการศึกษาและฝึกฝนเพื่อเป็น ‘เจ้าชาย’ ผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง

ในปี 1979 พระองค์ทรงเข้าร่วมราชนาวีอังกฤษ ผ่านการฝึกจากวิทยาลัยดาร์ทมัธ และเข้าร่วมรบในสงครามฟอล์กแลนด์ในปี 1982 ความกล้าหาญในสนามรบทำให้เจ้าชายได้รับการยกย่อง และทรงรับราชการทหารเรือเป็นเวลา 22 ปี ก่อนเกษียณในเดือนกรกฎาคม 2001

หลังเกษียณ แอนดรูว์ได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่ง ‘ผู้แทนพิเศษด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักร’ ทรงทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาลเพื่อส่งเสริมประเทศเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุน นอกจากนี้ยังทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเพื่อสนับสนุนพระราชินีผู้เป็นมารดา ในฐานะพระราชวงศ์ที่ปฏิบัติงานเต็มตัว พระองค์ได้รับเงินสนับสนุนจากราชสำนักปีละ 249,000 ปอนด์ (ข้อมูลล่าสุดปี 2010)

ชีวิตส่วนพระองค์ก็ดูราบรื่น พระองค์อภิเษกสมรสกับ ‘ซาราห์ เฟอร์กูสัน’ (Sarah Ferguson) ในปี 1986 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ และมีพระธิดาสองพระองค์คือ ‘เจ้าหญิงเบียทริซ’ และ ‘เจ้าหญิงยูจีนี’ แม้ภายหลังทั้งสองพระองค์ทรงหย่าร้างในปี 1996 แต่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ในฐานะครอบครัว

หากเรื่องราวจบเพียงเท่านี้ ชีวิตของแอนดรูว์คงเป็นเพียงชีวประวัติของเจ้าชายผู้รับใช้ประเทศและราชวงศ์อย่างสง่างาม ทว่าชะตากรรมของพระองค์กลับพลิกผันเมื่อทรงรู้จักกับ ‘เจฟฟรีย์ เอพสไตน์’ (Jeffrey Epstein) ในปี 1999 นักการเงินผู้ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ทางเพศ การแนะนำเกิดขึ้นผ่าน ‘กิสเลน แม็กซ์เวลล์’ (Ghislaine Maxwell) เพื่อนร่วมวงสังคมของทั้งคู่

ในปี 2000 เอพสไตน์และแม็กซ์เวลล์เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติครบ 40 ปีของเจ้าชาย ณ ปราสาทวินด์เซอร์ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายและเอพสไตน์ถูกจับตามองในหลายปีต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคำกล่าวอ้างจาก ‘เวอร์จิเนีย จิฟเฟร’ (Virginia Giuffre) ที่ระบุว่าถูกพระองค์บังคับให้มีเพศสัมพันธ์ในปี 2001 ขณะที่เธอยังอายุ 17 ปี

ตามคำกล่าวอ้าง จิฟเฟรถูกล่อลวงไปมีเพศสัมพันธ์สามครั้ง ทั้งในลอนดอน นิวยอร์ก และเกาะส่วนตัวของเอพสไตน์ การเผชิญหน้าครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2001 ณ บ้านพักของแม็กซ์เวลล์ในลอนดอน โดยจิฟเฟรอ้างว่าเจ้าชายแอนดรูว์ทรงแสดงความรู้สึกว่าการมีเพศสัมพันธ์กับเธอเป็น ‘สิทธิโดยกำเนิด’ หลังจากนั้นเอพสไตน์ให้เงินเธอ 15,000 ดอลลาร์

แม้เจ้าชายจะปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด การสัมภาษณ์กับ BBC Newsnight ในเดือนพฤศจิกายน 2019 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ พระองค์ปฏิเสธว่าจำเวอร์จิเนียไม่ได้ แต่ยืนยันว่าในคืนที่เธอกล่าวถึง พระองค์พาลูกสาวไปกินพิซซ่า ในร้าน Pizza Express ที่เมือง Woking เป็น ‘ข้อแก้ตัว’ หรือ ‘alibi’ เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่ได้อยู่กับจิฟเฟร ทำให้ต่อมา คำว่า ‘Pizza Express alibi’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของข้อแก้ตัวที่ถูกสาธารณะมองว่า ไม่ค่อยน่าเชื่อถือหรือขัดแย้งกับหลักฐานอื่น ๆ และกลายเป็นเรื่องล้อเลียนในสื่อหลายแห่ง

ผลกระทบตามมาคือเจ้าชายต้องลาออกจากตำแหน่งผู้แทนพิเศษด้านการค้า และยุติการปฏิบัติพระกรณียกิจสาธารณะ พระราชวังบักกิงแฮมประกาศว่าพระองค์จะไม่เข้าร่วมกิจกรรมในนามของราชวงศ์อีกต่อไป

ในเดือนสิงหาคม 2021 จิฟเฟรยื่นฟ้องเจ้าชายในศาลนิวยอร์ก โดยกล่าวหาการล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่ทนายของพระองค์ปฏิเสธข้อกล่าวหา ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 พระองค์ตกลงทำข้อตกลงยอมความนอกศาล โดยจ่ายเงินชดเชยให้จิฟเฟรโดยไม่ยอมรับความผิด และต่อมาสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงถอดยศทางทหารทั้งหมดของพระองค์

เหตุการณ์ล่าสุดในปี 2025 ยิ่งตอกย้ำความเปลี่ยนแปลง หลังจากเวอร์จิเนีย จิฟเฟร เสียชีวิตและบันทึกความทรงจำของเธอถูกเผยแพร่ ข้อมูลอีเมลจากเจ้าชายถึงเอพสไตน์ในปี 2011 ถูกเปิดเผยว่าไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้างก่อนหน้า

วันที่ 17 ตุลาคม 2025 เจ้าชายประกาศสละพระอิสริยยศ ‘ดยุคแห่งยอร์ก’ โดยสมัครใจ และวันที่ 31 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงถอดพระอิสริยยศและเกียรติยศทั้งหมดที่เหลืออยู่ พระองค์จะไม่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าชาย’ อีกต่อไป แต่จะถูกเรียกขานว่า ‘แอนดรูว์ เมาน์ตแบตเทน วินด์เซอร์’ (Andrew Mountbatten Windsor) และย้ายไปยังบ้านพักส่วนตัวที่แซนดริงแฮม

แม้จะสูญเสียทุกสิ่งที่เคยนิยามตัวเอง แอนดรูว์ยังคงอยู่ในลำดับสืบราชสมบัติ และเป็นองคมนตรีแห่งรัฐในทางเทคนิค แม้จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามกฎหมายใหม่

เรื่องราวของ ‘แอนดรูว์ เมาน์ทแบตเทน วินด์เซอร์’ ไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมส่วนบุคคล แต่เป็นบทเรียนของราชวงศ์อังกฤษว่าในยุคที่สื่อเปิดทุกบานประตูและศีลธรรมต้องตรวจสอบ ความศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจตั้งอยู่บนคำว่า ‘ชาติกำเนิด’ อีกต่อไป

ราชวงศ์อังกฤษในยุคของพระเจ้าชาร์ลส์กำลังเดินบนเส้นด้ายระหว่าง ‘การคงอยู่’ กับ ‘การยอมรับ’ การถอดยศของน้องชายสะท้อนการเลือกที่จะรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบัน แม้ต้องแลกด้วยสายเลือดของตนเอง

‘แอนดรูว์ เมาน์ทแบตเทน วินด์เซอร์’ วันนี้ ไม่เหลือยศ แต่ยังเหลือชื่อ ชื่อที่ไม่มีคำว่า ‘เจ้าชาย’ นำหน้าอีกต่อไป แต่เรื่องราวของเขาจะยังเป็นบทเรียนสะท้อนถึง อำนาจ ความรับผิดชอบ และการตรวจสอบในโลกยุคใหม่

 

เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า

ภาพ: Getty Images 

 

อ้างอิง 

     Evans, Rob. "How Does He Pay for It All? The Mystery of Prince Andrew’s Money." The Guardian, 25 Oct. 2025.

     Fiorillo, Chiara. "Andrew's Two Remaining Royal Perks After He's Stripped of Titles by King Charles." The Mirror, 30 Oct. 2025.

     Giuffre, Virginia. “‘Prince Andrew Believed Having Sex with Me Was His Birthright’: Virginia Giuffre on Her Abuse at the Hands of Epstein, Maxwell and the King’s Bro  ther.” The Guardian, 15 Oct. 2025.

     Guardian staff. "Key Quotes: Prince Andrew on the Epstein Scandal." The Guardian, 16 Nov. 2019.

     SBS News. "From Prince to Pariah: A Timeline of Andrew's Alleged Acts and Long Fall from Grace." SBS, 31 Oct. 2025.

     The Royal Household. "Prince Andrew." The Royal Family.