‘โทนี ร็อบบินส์’ กว่าจะเป็น 'ไลฟ์โค้ช' มหาเศรษฐี ชีวิตรันทด แม่ติดยา-ไร้บ้าน-เป็นภารโรง

‘โทนี ร็อบบินส์’ กว่าจะเป็น 'ไลฟ์โค้ช' มหาเศรษฐี ชีวิตรันทด แม่ติดยา-ไร้บ้าน-เป็นภารโรง

‘โทนี ร็อบบินส์’ ชายผู้มีชีวิตวัยเด็กสุดขมขื่น มีแม่ติดยา ถูกไล่ออกจากบ้าน ไม่ได้เรียนต่อ ต้องไปทำงานเป็นภารโรง สู้ไลฟ์โค้ชคนดังระดับโลก สร้างอาณาจักรธุรกิจจนร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี

  • โทนีเล่าในภายหลังว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตเขาเกิดขึ้นตอนอายุ 17 ปี เมื่อแม่คว้ามีดไล่เขาออกจากบ้าน หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านอีกเลย 
  • หลังออกจากบ้าน โทนีก็ไม่ได้เรียนหนังสือต่อในระดับมหาวิทยาลัย เขาจำต้องละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักข่าวสายกีฬาไป และต้องทำงานเป็นภารโรงที่มีรายได้สัปดาห์ละ 40 ดอลลาร์
  • หลังฟังจิม โรห์น พูดจบ โทนีปวารณาตัวเองเป็นศิษย์ของจิม เขาพยายามเข้าถึงจิมด้วยการขอไปทำงานด้วย กระทั่งได้กลายเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาจัดการสัมมนาของจิมสมใจ

ชีวิตของ ‘โทนี ร็อบบินส์’ ถ้าจะบอกว่า “เริ่มต้นจากศูนย์” คงจะน้อยไป ต้องบอกว่า “เริ่มต้นจากติดลบ” 

แต่แทนที่จะใช้ความยากจนและความบอบช้ำทางจิตใจในวัยเด็ก มาเป็นข้ออ้างในการใช้ชีวิตเกกมะเหรกเกเร เขากลับใช้มันเป็นแรงผลักดันจนก้าวมาสู่การเป็น ‘นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ’ และ ‘ไลฟ์โค้ช’ ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก

วัยเด็กอันแสนขมขื่นของ ‘โทนี ร็อบบินส์’

ความจริงแล้วเขาไม่ได้ชื่อโทนี ร็อบบินส์ มาตั้งแต่เด็ก แต่มีชื่อแรกเกิดว่า ‘แอนโทนี เจ. มาฮาโวริค’ เกิดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1960 ที่เมืองเกลนโดรา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน 

พออายุได้ 7 ขวบ พ่อแม่ก็หย่ากัน เขาและน้องอีก 2 คนอยู่กับแม่ที่พึ่งพาไม่ค่อยจะได้ เธอครบสูตรทั้งหยาบคาย ชอบใช้ความรุนแรง ติดยาเสพติดและติดเหล้า หลังเลิกกับพ่อ แม่ก็มีสามีอีกหลายคน ครอบครัวไร้ความมั่นคงทางการเงิน บ้านของเขาไม่มีเงินจัดงานเฉลิมฉลองในวันสำคัญใด ๆ 

เมื่อโทนีอายุได้ 12 ปี เขาเปลี่ยนนามสกุลเป็น ‘ร็อบบินส์’ ซึ่งเป็นนามสกุลของพ่อเลี้ยงที่ชื่อว่า ‘จิม ร็อบบินส์’ ซึ่งรับเลี้ยงดูเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่หลังจากนั้นอีก 2 ปี เขาก็กลายเป็นกำลังหลักของครอบครัว ต้องดูแลน้องชายและน้องสาว ทำอาหาร และรับจ้างทำงานช่างต่าง ๆ เพื่อหาเงินเข้าบ้าน แต่บางครั้งเขาก็หาเงินได้ไม่มากพอ ทำให้สี่ชีวิตต้องกลายเป็นคนไร้บ้านอยู่ช่วงหนึ่ง 

“ด้วยความที่ผมต้องดูแลน้องชายและน้องสาว ผมเลยกลายเป็นนักจิตวิทยาโดยปริยาย” เขาเล่าถึงความหลัง 

ภาระและความรับผิดชอบ ทำให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวตั้งแต่อายุเพียงสิบปีต้น ๆ มีเพียงชีวิตในโรงเรียนเท่านั้นที่ทำให้เขาได้สัมผัสถึงความเป็นเด็ก

เมื่อได้อยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ เขาพบว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษในการพูดในที่สาธารณะ และสนใจเรื่องราวของนักเขียนสร้างแรงบันดาลใจอย่าง ‘เดล คาร์เนกี’ เขาหล่อหลอมตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นเด็กที่โดดเด่นถึงขั้นได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนในปีสุดท้าย 

แต่ถึงแม้จะมีจิตใจที่แข็งแกร่ง โชคชะตายังเล่นตลกกับเขาไม่เลิก โทนีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกต่อมใต้สมอง ซึ่งมีผลต่อการผลิตฮอร์โมนหลายชนิดที่มีความสำคัญต่อการทำงานในหลายระบบของร่างกาย 

เนื้องอกนี้ได้เปลี่ยนเขาจากเด็กชายรูปร่างเตี้ยไปเป็นหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม ปัจจุบันเขาตัวสูงกว่าตอนเรียนมัธยมถึง 10 นิ้ว 

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงชีวิตวัยเด็กที่แสนขมขื่นเหล่านี้ เขากลับมองโลกในแง่ดีและบอกว่า “ชีวิตคือของขวัญ มันมอบสิทธิพิเศษ โอกาส และความรับผิดชอบ เพื่อให้เราตอบแทนด้วยการเป็นคนที่ดียิ่งขึ้น”

แม่คว้ามีดไล่ออกจากบ้าน 

โทนีเล่าในภายหลังว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตเขาเกิดขึ้นตอนอายุ 17 ปี เมื่อแม่คว้ามีดไล่เขาออกจากบ้าน หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านอีกเลย 

“ถ้าแม่ของผมเป็นแม่อย่างที่ผมต้องการ ผมคงไม่มีแรงผลักดันขนาดนี้ ผมคงไม่หิวโหย ผมคงไม่ทุกข์ทรมาน แล้วผมก็คงไม่สนใจความทุกข์ของคนอื่นมากเท่าตอนนี้ มันทำให้ผมหมกมุ่นอยู่กับความปรารถนาที่จะทำความเข้าใจผู้คนและช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้พวกเขา”

และสำหรับใครที่มีเรื่องราวในอดีตที่แสนเจ็บปวดไม่ต่างจากเขา เขาบอกกับคนเหล่านั้นว่า “อดีตไม่ใช่ตัวตัดสินอนาคต” 

‘โทนี ร็อบบินส์’ เริ่มต้นอาชีพของเขาได้อย่างไร?

หลังออกจากบ้าน โทนีก็ไม่ได้เรียนหนังสือต่อในระดับมหาวิทยาลัย เขาจำต้องละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักข่าวสายกีฬาไป และต้องทำงานเป็นภารโรงที่มีรายได้สัปดาห์ละ 40 ดอลลาร์ ระหว่างนี้เขาเริ่มติดตามผลงานของนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่ชื่อ ‘จิม โรห์น’ ซึ่งเป็นนักการตลาดที่ผันตัวมาเป็นนักพูด 

วันหนึ่งจิมจัดงานสัมมนา ซึ่งเก็บค่าบัตรเข้าชม 35 ดอลลาร์ โทนีไม่รอช้ารีบหาซื้อบัตร ทั้งที่มันเงินจำนวนมากสำหรับเขา 

“ผมตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการนำเงินที่เป็นรายได้หนึ่งสัปดาห์ไปซื้อบัตรเข้างานนี้ ตอนที่ผมนั่งฟังที่นั่น ผมเหมือนโดนสะกดจิต” 

สิ่งที่จิมนำมาพูดนั้นหลัก ๆ เป็นปรัชญาความเป็นผู้นำ เน้นคำสอนที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในสิ่งที่คุณได้รับ คนเราจะมีความสุขได้จากสิ่งที่คุณเป็นต่างหาก” 

หลังฟังจิมพูดจบ โทนีปวารณาตัวเองเป็นศิษย์ของจิม เขาพยายามเข้าถึงจิมด้วยการขอไปทำงานด้วย กระทั่งได้กลายเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาจัดการสัมมนาของจิมสมใจ 

โทนีทำงานหนักวันละ 12-14 ชั่วโมง แต่ก็ไม่เคยท้อ เขาใช้วิธีครูพักลักจำเฝ้าดูจิมที่ขึ้นเวทีพูดสร้างแรงบันดาลใจหลายร้อยครั้งทั่วอเมริกาเหนือ 

หลังจากจิมเสียชีวิตเมื่อปี 2552 โทนีกล่าวยกย่องจิมว่า “ทุกอย่างเริ่มต้นจากการที่ผมได้คำปรึกษาจากเขา เขาให้แนวทางการมองชีวิตแก่ผม โดยที่ไม่ภาวนาขอให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ขอให้ผมดีขึ้น เขาทำให้ผมรู้ว่าเคล็บลับของชีวิตคือการทำงานกับตัวเองให้หนักขึ้นมากกว่าสิ่งอื่นใด แล้วผมถึงจะมอบอะไรให้กับผู้อื่นได้ เขาเป็นผู้ที่หล่อหลอมผมจริง ๆ” 

เส้นทางการเป็นนักพูดของโทนีก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ช่วงแรก ๆ เขาก็ต้องค้นหาสไตล์ที่เหมาะกับตัวเองและสามารถเข้าถึงผู้ฟัง บางครั้งเขาก็รู้สึกท้อและแอบคิดในใจว่าจะต้องกลับไปมีชีวิตที่ลำบากยากจนเหมือนพ่อแม่ 

แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยเหลือผู้ที่กำลังทุกข์ยากให้กลับมาลุกได้ เขาจึงพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง เขาใช้น้ำเสียงและลีลาการพูดที่น่าหลงใหลออกตระเวนพูดสร้างแรงบันดาลใจบนถนน  จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา

ช่วงทศวรรษ 1980 ชีวิตของโทนีเริ่มไต่สู่อีกระดับ เขาจัดโปรแกรมพัฒนาตัวเองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านการสื่อสารและการเป็นผู้นำ การเผชิญหน้ากับความกลัว และการเอาชนะอุปสรรค โดยมักใช้การสร้างแบบจำลอง, โปรแกรมภาษาประสาทสัมผัส (Neuro-linguistic programming) หรือการปลุกจิตใต้สำนึกให้มีพลังคิดบวก รวมถึงกิจกรรมเดินบนถ่านที่ติดไฟ ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพา ‘โอปราห์ วินฟรีย์’ มาร่วมเดินด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเต้นรำและกิจกรรมเติมพลัง การนวดและการออกกำลังกาย

หลังจากนั้นก็เริ่มเขียนหนังสือ ซึ่งต่อมากลายเป็นหนังสือขายดีที่ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเมื่ออายุได้ 26 ปี
ในปี 2007 เขาเปลี่ยนตัวเองจากเด็กหนุ่มที่มีรายได้สัปดาห์ละ 40 ดอลลาร์ เป็นปีละ 30 ล้านดอลลาร์ ได้สำเร็จ 

‘โทนี ร็อบบินส์’ รวยแค่ไหน?

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนมากกว่า 50 ล้านคนใน 100 กว่าประเทศ ได้เรียนรู้จากเขาผ่านหนังสือ รายการเสียง รายการสด ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ การฝึกสอนส่วนตัว 

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นขุมรายได้อันมหาศาลของเขา เช่น ในการพูด 1 ครั้งเขาจะได้เงินมากถึง 300,000 ดอลลาร์, ผู้เข้าร่วมจะต้องจ่ายเงินครั้งละ 10,000 ดอลลาร์เพื่อเข้าร่วมโปรแกรมต่าง ๆ, การขายหนังสือที่ขายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่ม, การขายคลิปเสียง, รายได้จากธุรกิจออกใบรับรองไลฟ์โค้ช

ที่สำคัญคือการเทรนด์ส่วนตัวให้กับเซเลบ ผู้ประกอบการชั้นนำ และผู้นำระดับโลก เช่น บิล คลินตัน, จอร์จ บุช, โดนัลด์ ทรัมป์, ปีเตอร์ กูเบอร์, มาร์ค เบนิออฟ,  โอปราห์ นักร้องดังอย่างพิตบูล, เซเรนา วิลเลียมส์ และเจ้าหญิงไดอานา

ปี 2002 โทนีได้ร่วมมือกับ Cloe Madanes เพื่อก่อตั้ง Robbins-Madanes Center for Strategic Intervention ซึ่งเป็นโครงการฝึกอบรมไลฟ์โค้ชที่อุทิศตนเพื่อเปลี่ยนแปลงความสามารถของนักเรียน ทั้งในด้านการโน้มน้าว การเป็นผู้นำ และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อคนรอบข้าง

โทนียังได้สร้างและลงทุนในหลายบริษัท ซึ่งรวมถึงบัตรเครดิต อาหารเสริม ทีมกีฬา การบริหารความมั่งคั่ง สถานบริการ หรือแม้แต่การเก็บทรัพยากรจากอวกาศ

มีรายงานว่าเขามีทรัพย์สิน 600 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นเจ้าของอาณาจักรที่มีบริษัทมากกว่า 50 แห่ง สร้างรายได้เกือบ 5,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

แต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพลาดเลยในทางธุรกิจ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าอดีตหุ้นส่วนธุรกิจคนหนึ่งได้ทิ้งหนี้ไว้ให้เขาถึง 150 ล้านดอลลาร์ 

โทนีเล่าว่า เมื่อแบรนด์ของเขาเติบโตและเขาต้องเริ่มจ้างงาน เขาพบปัญหาหลายอย่าง 

“ตอนแรกผมคัดคนทำงานจากคนที่คิดว่าเป็นเพื่อน แต่กลายเป็นว่าพวกเขาเหล่านั้นไร้ความสามารถ ผมเลยต้องคัดเลือกคนทำงานจากพวกที่ไม่ใช่เพื่อน แต่กลับเจอคนที่ไม่ซื่อสัตย์” 

ทว่าโทนีไม่เปิดปากเล่าเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกเพียงว่าเขาคิดแต่เรื่องหาวิธีใช้หนี้ ซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขาเติบโตอย่างมาก 

“เส้นทางสู่ความสำเร็จคือการลงมือทำอย่างหนักแน่นและจริงจัง”

ความสำเร็จของเขาทำให้เขามีรายชื่อติด 50 อันดับปัญญาชนทางธุรกิจ (Top 50 Business Intellectuals) ที่จัดโดย Accenture และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งใน 200 Business Gurus ยอดนิยม จัดโดย Harvard Business Press และยังเคยมีชื่อติดใน Forbes Celebrity 100 อีกด้วย 

ชีวิตสมรสที่ไม่เป็นดังหวัง 14 ปี 

แต่ชีวิตของโทนีก็ไม่ได้ดีพร้อมไปเสียทุกด้าน ความผิดพลาดส่วนตัวครั้งใหญ่ของโทนีคือการแต่งงานกับอดีตภรรยา ‘เบ็คกี้ เจนกินส์’ ตอนอายุ 24 ปี ด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่าหลายข้อ ซึ่งเขาเคยยอมรับกับโอปราห์ว่า “แม้ในวันที่ผมแต่งงาน ผมรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ผมไม่อยากทำให้เธอผิดหวัง มันฟังดูงี่เง่ามาก แต่มันคือความจริง” 

เบ็คกี้มีลูกอยู่แล้ว 3 คนก่อนจะแต่งงานกับโทนี คนโตเป็นลูกชายอายุ 17 ปี คนกลางเป็นลูกสาวอายุ 11 ปี และคนเล็กเป็นลูกชายอายุ 5 ปี โทนีใช้ชีวิตร่วมกับเธอจนกระทั่งลูกคนเล็กของเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย ก่อนที่จะตัดสินใจแยกทางอย่างเจ็บปวด 

ท้ายที่สุดเขาแต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบันคือ ‘เซจ’ ซึ่งเป็นผู้หญิงที่พบกันผ่านความสัมพันธ์ทางธุรกิจ 

จนถึงทุกวันนี้ โทนียังถูกถล่มเรื่องที่เขาหย่ากับเบ็คกี้ แต่เขาก็ไม่เคยเสียใจเลย 

ผมเชื่อแล้วว่าความล้มเหลวและความผิดหวังในอดีตทั้งหมด กำลังวางรากฐานที่นำไปสู่ใช้ชีวิตที่ผมพึงพอใจอยู่ในขณะนี้

 

ภาพ: อินสตาแกรม Tony Robbins

อ้างอิง: 

capitalism

businessinsider

entrepreneur

toolshero

biographybd