05 ต.ค. 2568 | 18:00 น.
KEY
POINTS
“บางคนอาจใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อตามหาว่าตัวเองเป็นใคร
แต่ผมกลับพบว่าสิ่งที่ตามหามาโดยตลอด มันอยู่ในจุดเริ่มต้นของตัวผมเอง”
‘ดิว-ธันพงศ์ ใจคำ’ เขาคือชายที่ไม่เคยลืมถิ่นกำเนิดของตัวเองแม้แต่วินาทีเดียว ธันยพงศ์บอกว่าหลายคนอาจเกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่เขาเกิดบนกองข้าวในอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ห่างไกลจากตัวเมืองกว่า 60 กิโลเมตร สถานที่ที่ทำให้เขา ‘รัก’ และเคารพอาชีพชาวนา ซึ่งเปรียบเสมือนกับกระดูกสันหลังของชาติ และไม่เคยมีสักครั้งที่รู้สึกอับอายกับการเกิดมาเป็นลูกชาวนา
ปัจจุบัน ธันยพงศ์เป็นผู้จัดการแผนกและรักษาการผู้จัดการฝ่ายของบริษัทยานยนต์แห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขาใช้ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากสาขาวิชาวิศวกรรมยานยนต์อย่างตรงจุด จนทำให้เขาไม่เคยคิดจะเปลี่ยนงานไปทำที่บริษัทอื่นอีกเลย ซึ่งในวงการถือว่าน้อยนักที่เราจะเจองานที่ใช่ในบริษัทระดับโลกตั้งแต่ครั้งแรกของการทำงาน เรียกได้ว่าชายคนนี้โชคดีราวกับถูกลอตเตอรี่ตั้งแต่ได้รับโอกาสจนถึงปัจจุบันและยังคงยืนหยัดทำอยู่ตรงนั้นไม่เปลี่ยนใจไปไหน อีกทั้งเขายังบอกต่ออีกว่าบริษัทเป็นบริษัทชั้นนำที่มีการดูและพนักงานได้ดีในอันดับต้น ๆ อีกด้วย
หลายคนคงเคยเห็นผลงานของเขาผ่านตามาบ้าง อย่างเช่นเจ้า ‘แมวกอดปลา’ ที่เคยกลายเป็นไวรัลอยู่ช่วงหนึ่งกับวลีเด็ดที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีแมว” ที่สร้างความฮือฮาว่าประเทศไทยมีคนทำแบบนี้ด้วยเหรอ ราวกับถอดแบบมาจากประเทศญี่ปุ่น
ใช่, เมืองไทยของเราก็มี และเจ๋งมากด้วย
และก็จะยังมีอยู่เรื่อยไป ในปีนี้ราวเดือนกันยายน 2025 ผืนนาแห่งนี้จะถูกเนรมิตเป็นผืนผ้าใบขนาดยักษ์อีกครั้ง เพื่อให้นาข้าวแสดงสีสันในช่วงฤดูหนาวตรงกับช่วงเวลาการท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวสามารถเข้ารับชมได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม-มีนาคม และจะเป็นอย่างนี้ในทุก ๆ ปี
“เราซึมซับทุกคำสอนของพ่อแม่ โดยเฉพาะเรื่องนาข้าว จะบอกว่ามันอยู่ในสายเลือดไปแล้วก็คงไม่ผิด”
ธันยพงศ์เป็นเด็กต่างจังหวัด เห็นพ่อแม่ทำไร่ ทำนา ทำปศุสัตว์ และสีข้าว ตั้งแต่จำความได้ เรียกได้ว่าบนที่ดินผืนนี้ เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายคนเป็นพ่อแม่คงไม่ผิดนัก เมื่อเขาโตขึ้นความคิดที่จะหวนกลับบ้านก็ปรากฏขึ้นเป็นระยะ บวกกับอยากมีอาณาจักรเหมือนฝันในวัยเด็กเป็นของตัวเอง ซึ่งอาณาจักรแห่งนั้นจะต้องเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ สงบสุข และปราศจากสิ่งฟุ้งเฟ้อ คล้ายกับเรื่องเล่าในโลกเทพนิยาย
“มันคือฝันในวัยเด็กของเรา แต่ว่าพอโตมาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฏจักรชีวิต เช่น วงจรชีวิตของเกษตรกร หรือว่าในด้านของทฤษฎีของเกษตรทฤษฎีใหม่ รวมถึงเกษตรพอเพียง พบว่าจริง ๆ แล้ว ความฝันเราไม่ได้เกินเอื้อมหรือหนักหนาอะไรมากนัก เราสามารถทําได้ แต่แค่ทำในบริบทที่ต่างกัน”
จึงไม่แปลกที่ความฝันของเขาจะไม่ใช่แค่การกลับไปทำนา แต่คือการเนรมิตให้ทุ่งนาเป็นเหมือนโลกในฝัน โดยการนำ ‘ศิลปะ’ มาถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตคนชนบท ในแบบที่คนเมืองก็สามารถเข้าถึงได้
แม้วันนี้เขาจะทำงานอยู่ห่างจากบ้านหลายร้อยกิโลเมตร แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่มีต่อผืนนาจางหายไป จึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ในเมื่อเลือกทางใดทางหนึ่งไม่ได้ แล้วทำไมเราจะต้องเลือก? จงทำในสิ่งที่หัวใจต้องการ
“ชีวิตคนเรามันเหมือนจะเลือกได้จริง ๆ นะ” เขาว่า
“แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนอาหารตามสั่งอยู่ดี” เขาเปรียบเปรย “ถึงแม้เราอยากกินกะเพราไข่ดาว แต่มันเป็นกรอบที่แม่ค้าวางไว้ให้เราตั้งแต่แรก เหมือนเราได้เลือก แต่จริง ๆ แล้วเขาเลือกไว้ให้เราก่อน”
“ผมก็ถือว่าผมได้เลือกอาชีพนี้ (วิศวกรยานยนต์) และรักในสิ่งที่ทำมาเสมอ ถามว่าปัจจุบัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตขนาดไหน ผมว่าอาชีพนี้ตอบโจทย์มากพอสมควร แต่ก็ยังมีความฝันที่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่ได้อยู่ขั้วตรงข้ามกันเสียทีเดียว เราสามารถที่จะทำคู่ขนานกันไปได้”
“ทั้งสองอย่างมันคืออาชีพเหมือนกัน แต่อาชีพหนึ่งเราได้มาจากสิ่งที่เราร่ำเรียนมา กับอีกอาชีพหนึ่งเป็นการส่งต่อด้านภูมิปัญญา วัฒนธรรมหรือสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้”
“ผมกําลังบอกว่าไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร มันสําคัญทั้งคู่ แค่ใช้ทักษะแตกต่างกัน เราสามารถนำทั้งสองอย่าง เอามาประยุกต์ใช้ร่วมกันให้มันลงตัว และสนุกไปกับมันได้ ก็เลยเกิดเป็นกิมมิคที่สะท้อนตัวตนของเราผ่านผืนนาขึ้นมา”
แต่การออกมาทำตามความฝันนั้น ย่อมมีบางสิ่งที่ต้องแลก หรือเสียไประหว่างทาง เพราะความฝันต้องใช้ความพยายามและความทุ่มเท เงิน และเวลา นี่คือสิ่งที่ต้องแลกครั้งใหญ่เพื่อให้ได้ภาพนั้นออกมา
“ตอนเราไปดูนาที่ญี่ปุ่นมันสุดยอดมากเลยนะ เคยเห็นแต่ในอินเทอร์เน็ต แต่พอไปเห็นของจริง ปรากฏว่า โห! มันขนาดนี้เลยเหรอ มันเกิดจากความร่วมมือของของหลายฝ่าย มีระดับผู้นำผลักดันอย่างเข้มแข็ง ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถรักษาวัฒนธรรมของเขาได้อย่างดีเยี่ยมในเรื่องนี้ แล้วทำไมเมืองไทยเราไม่มีใครทำแบบนี้บ้าง?
หลังจากกลับมาประเทศไทย เขา Research และพบว่า มีคนเคยทำศิลปะแนวนี้มาบ้างแล้ว แต่ใช้ข้าวที่มีสีสันเพียง 2–3 สีเท่านั้น ซึ่งต่างจากสิ่งที่ธันยพงศ์จินตนาการไว้ เขาจึงตั้งใจไว้ในใจว่า สักวันเขาจะเปลี่ยนผืนนาของตัวเอง ให้กลายเป็นงานศิลปะที่ผู้คนต้องหยุดมอง และพูดได้เต็มปากว่า “นี่แหละ ข้าวไทย”
ประจวบเหมาะกับมีโครงการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ [วิทยาเขตกำแพงแสน] มาพอดี ที่พัฒนาข้าวสายพันธุ์สรรพสี หรือ Rainbow Rice และมีการจัดโครงการศิลปะบนผืนนา Season1 เขาจึงไม่ลังเลที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการ โดยมีเพื่อนพี่น้องชาวนาและหลายหน่วยงานชั้นนำจากทุกภูมิภาคลงชื่อเข้าร่วมด้วย และสุดท้ายเขาก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 14 จากทั่วประเทศ
โดยมีโจทย์เรียบง่ายว่า ‘ให้เกิดภาพศิลปะบนผืนนาด้วยข้าวสรรพสี’
เพียงสั้น ๆเท่านี้ ที่ทำให้ชีวิตของธันยพงศ์เปลี่ยนไป จนแทบไม่อยากเชื่อว่า ชายคนนี้มีอาชีพหลักคือวิศวกร
“โจทย์ที่เขาให้มา ค่อนข้างยากสำหรับคนที่ไม่เคยทำ… แต่สำหรับคนที่เคยทำมาแล้ว ผมก็ว่ามันก็ยังยากอยู่ดี” เขาหัวเราะ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลากหลายที่ต้องผ่านมันให้ได้
“ผมเลยมีไอเดียว่า ไหน ๆ ก็ทำแล้ว ก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้เหมือนกับที่ญี่ปุ่นไปเลย มันก็เลยเป็นแรงบันดาลใจเพื่อที่ขับเคลื่อนตรงนี้ ดังนั้นจะต้องหาสายพันธุ์ข้าวพิเศษในประเทศ เทคโนโลยีที่จะสามารถทำให้เราทำงานาง่ายขึ้น ภูมิปัญญาดั้งเดิม และศิลปะที่เข้าถึง เพื่อให้เข้ากับผืนนาของเราได้จริง ๆ”
“แล้วอีกอย่างคือ เราอยากทำเพื่อส่งแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คนให้เข้าถึงผืนนาได้ง่ายขึ้น มันคงจะดีกว่ามั้ย หากเราการทำนาของเรา อยู่ในรูปแบบที่คนมองแล้วรู้สึก ว้าว แทนความรู้สึกจากการมองนาข้าวทั่วไป” ซึ่งปัจจุบันก็เจ็บช้ำกับราคา และผลกระทบจากธรรมชาติมากพอแล้ว มาถึงตรงนี้ผมสงสารชาวนามาก
“ก็เลยเป็นคล้าย ๆ กับกุศโลบายอย่างหนึ่งของผม ที่ไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองอย่างเดียว แต่มองถึงความเป็นไปได้ที่เราอยากจะให้ข้าวไทย มีจุดขายมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่แทบจะไม่มีใครสนใจเราเลย ขนาดนาข้าวของเราที่ไปไกลถึงระดับโลก ปัจจุบันถนนเข้านาของผมทุกวันนี้ยังเป็นดิน เมื่อฝนตกยังเละอยู่เลย”
ทุกเย็นวันศุกร์ ธันยพงศ์จะขับรถจากอยุธยาไปดอนเมือง ขึ้นเครื่องบินไปเชียงราย แล้วขับรถอีก 60 กิโลเมตรจากสนามบินกลับถึงบ้าน เพื่อรังสรรค์ ‘งานศิลปะ’ ด้วยมือของเขาเอง เขาทำแบบนี้ทุกสัปดาห์ เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในทุกๆขั้นตอน โดยไม่มีใครเข้าใจ และนั่นคือจุดที่เขาต้องแลกด้วยเวลาและค่าใช้จ่าย
“มันต้องบ้ามากพอนะในการทำอะไรแบบนี้” เขายอมรับตามตรงว่าตัวเองก็มีลูกบ้าไม่น้อย
“วันศุกร์ต้องบินกลับบ้าน วันจันทร์จะต้องกลับมาทำงานให้ทัน อันนี้ยังไม่รวมเรื่อง Technical ที่ผมใช้ความละเอียดมากพอสมควร ผมใช้ดาวเทียมในการสร้างสเกล แล้วก็ปรับGPSร่วมกับทีมทุกจุด เพราะเกิดจากจินตนาการล้วน ๆ และทดลองใช้กันเองไม่มีตำราเล่มใหนสอน”
“ตอนนั้นไปเล่าให้ใครฟัง ไม่มีใครเข้าใจเลย” เขายอมรับ แม้แต่เวลาเขาพูดว่าได้ถูกคัดเลือกจากทั่วประเทศ ติด 1 ใน 14 เลยนะ และเป็นโอกาสที่จะทำผลงานให้กับจังหวัดเพราะไม่อยากให้น้อยหน้าใคร ก็แทบไม่มีใครสนใจและไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ คงไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำศิลปะบนผืนนาข้าวได้ ด้วยข้าว 5 กิโลกรัมได้สำเร็จ
“ผมลองคำนวณปริมานการใช้ข้าวแล้วจากที่ได้รับมา 5 สายพันธุ์ [สายพันธุ์ละ 1 กิโลกรัม] การที่จะทำปลูกให้ได้เต็มผืนนา 5-6 ไร่ของเรา มีทางเดียวเลยคือจำเป็นต้องเพาะทีละเมล็ด” และใช้สายพันธุ์ท้องถิ่นช่วยเสริม
“ผมก็เลยต้องใช้ความพยายามสูงมาก เวลาเราตั้งใจอยากทำอะไร เราก็อยากให้มันเกิดขึ้นจริง”
เราทำงานสองอย่างในเวลาเดียวกัน / สถานที่ห่างกัน / บริบทต่างกัน / และทุกอย่างต้องเป๊ะในเวลาที่เหมาะสม
นี่คือโครงการที่ไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน ที่จะใช้ข้าวหลากสีสร้างภาพวาดขนาดใหญ่ ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาฝัน ไม่มีองค์กรไหนสนับสนุนจริงจัง จนเขาได้เจอกับศิลปินที่ขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
“ผมไปหาทุกองค์กรที่ผมรู้จักและคิดว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพื่อขอการสนันสนุนเรื่องเครื่องมือและการให้ความรู้ และถูกปฏิเสธมาร้อยเปอร์เซ็นต์เนื่องจากต่างฝ่ายต่างมองว่าไม่เกี่ยวข้องโดยตรง จนเราเริ่มต้นด้วยการไปขอความร่วมมือจากทางพี่ ๆ ศิลปินที่ขัวศิลปะจังหวัดเชียงราย เพื่อเริ่มต้นการออกแบบและขอเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะโลก ไทยแลนด์เบียนนาเล่ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพ โดยต้องการที่จะเล่าเรื่องสื่อความหมายในเชิงศิลปะร่วมสมัยและช่วงเวลาอย่างเหมาะสม โชคดีพี่ๆศิลปินก็เข้าใจคอนเซ็ปต์ของผม”
และนั่นคือจุดที่ศิลปะบนนาข้าว ซีซั่นแรก ถือกำเนิดขึ้น
ผลงานที่ออกมาคือ ‘แมวกอดปลา’ ภาพศิลปะที่ใช้ข้าว 7 สี ถ่ายทอดอารมณ์อบอุ่น น่ารัก และเข้าใจง่าย จนกลายเป็นไวรัล จนสำนักข่าวระดับโลกอย่างรอยเตอร์บินมาทำข่าว
กว่าจะมาเป็นภาพวาดบนผืนนาให้คนทั้งโลกเห็นนั้น ต้องคิดและวางแผนอยู่หลายเดือน รวมถึงขอความร่วมมือทั้งคนปลูก คนเพาะเมล็ดพันธุ์ ศิลปินและวิศวกร ทั้งหมดใช้งบประมาณส่วนตัวล้วน ๆ และกว่าจะตกลงกันว่าจะนำเสนอเป็นรูปอะไร พวกเขาคิดแล้วคิดอีก มีทั้งปลา ป่าอเมซอน วาฬ นกเงือก ทุกแบบต่างพยายามตีความธรรมชาติบ้านเกิดในรูปแบบศิลปะให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ธันยพงศ์เองก็ขอให้รักษา Concept การออกแบบว่าจะต้องมีสองข้อที่ละทิ้งไม่ได้
หนึ่ง - ให้เกียรติประเทศต้นทาง ซึ่งเป็นพลังให้เขากล้ากลับมาทำตามฝัน [เราจะไม่เคลมว่าเราเป็นคนเริ่มต้น]
สอง - ภาพบนผืนนา จะต้องบอกเล่าความหมายแต่ละสีของข้าวไทยทุกเมล็ด ที่สะท้อนลงบนผืนนาอย่างชัดเจน
ในช่วงของการถกไอเดียที่หาที่ลงไม่ได้จนแทบถอดใจ จนในที่สุด พี่อั๋น นักปราชญ์ อุทธโยธาศิลปินที่มาร่วมออกแบบได้เล่าว่า ในช่วงเวลาที่เค้าทำงานศิลปะทีไรจะมีเจ้าแมวที่ชื่อ “คูเปอร์” มานั่งคลอเคลียข้าง ๆ เป็นเพื่อนเสมอ
นั่นเป็นการปลดล็อคให้ธันยพงศ์ และทีม จนกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ทุกคนตกลงกันว่า
“เราจะวาดรูปแมว”
ซึ่งแมวในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์แห่งโชคดี และพอเอามาเชื่อมโยงกับข้าวไทยหลากสี ซึ่งแต่ละสีล้วนมีความหมายในตัวเอง จึงกลายเป็นภาษาภาพที่สามารถเล่าเรื่องได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งเขายังอยากให้เกียรติกับประเทศญี่ปุ่นที่ได้มอบแรงบันดาลใจดี ๆ แบบนี้กลับมา
แน่นอนว่าภาพแมวนอนกอดปลา ทำให้คนตกหลุมรักเข้าอย่างจัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผืนนาผืนนี้ก็ก่อขึ้นมาจากความรัก เช่นเดียวกับภาพวาดบนผืนนา ที่ก่อกำเนิดมาจากความรักเช่นกัน
“เราทําทุกสิ่งทุกอย่างเพราะความรัก สิ่งเหล่านี้มาจากภายใน เรารักในผืนนา เรารักในพระแม่โพสพ เราเคารพบูชาท่าน และเราก็อยากจะให้ข้าวไทย โด่งดังไปไกลในระดับโลกให้ได้ อีกอย่างแมวก็เป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี ซึ่งจังหวะที่เราทํา ก็เป็นจังหวะที่เหมาะเจาะกันพอดี”
นาของเขาจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘นาแมว’ จนถึงทุกวันนี้
“ใครว่าผมเป็นลูกชาวนาไม่เคยคิดเสียใจเลย เพราะตั้งแต่เกิดมา อาชีพของชาติจะมีอยู่กี่อาชีพกันเชียว กระดูกสันหลังของชาติคือชาวนา แม่พิมพ์ของชาติคือคุณครู รั้วของชาติคือทหาร ซึ่งอาชีพชาวนาเป็นหนึ่งในสามอาชีพของชาติเลยนะ มันจึงเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของผม”
อีกอย่างครอบครัวและคนรอบข้างของธันยพงศ์เองก็เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า ที่คอยให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง แม้ว่าความฝันนั้นจะดูห่างไกลจากความเป็นจริงเพียงใด แต่เพราะกำลังใจที่มี จึงทำให้นาข้าวของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
“คนที่ไม่เคยทิ้งเราไปไหนเลย คือ ครอบครัว อยู่ที่อยุธยาผมมีภรรยา มีลูกสาวอีกสองคน เวลาผมจะทำอะไร ต้องทำสุดตัวจริง ๆ และภรรยาก็เข้าใจถึงความมุ่งมั่นของเรา ว่าเราอยากทำอะไรบางอย่างให้เกิดประโยชน์และจุดประกายให้กับสังคม ขอแค่ได้ลองสักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ดี”
“ผมคิดว่าตอนนี้ได้พยายามสุดชีวิตแล้วล่ะ และไม่มีอะไรให้เสียใจเลย ตอนเริ่มทำก็อธิบายให้ครอบครัวฟังว่า สิ่งที่ผมกำลังทำจะเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ทุกคนก็เข้าใจเป็นอย่างดี และผมเองก็ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขามาโดยตลอด”มันจะต้องต้องเสียใจแน่ ๆ หากสิ่งที่ผมคิดนี้ไม่ได้ลงมือทำ
ยอมรับว่าตลอดเวลาที่คุยกัน ผู้เขียนสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของชายคนนี้มาโดยตลอด แม้เวลาจะผ่านมาหลักปี แต่ไฟแห่งความพยายามดูเหมือนจะไม่มอดดับลงแม้แต่น้อย จนอดถามคำถามสั้น ๆ กลับไปไม่ได้ว่า โดยปกติเป็นคนดื้อมั้ย
“ที่สุด” คือคำตอบที่ได้รับ และทำให้เขาระเบิดหัวเราะออกมา
“ผมไม่เถียงเลย” (หัวเราะ)
“ตั้งแต่เด็ก แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ผมค่อนข้างดื้อ มันเป็นส่วนหนึ่งที่ใครพูดอะไรไม่ค่อยฟัง เวลาเราอยากทำอะไรแล้ว มันต้องไปให้สุด ต่อให้มีอะไรขัดขวาง เราก็จะขออธิบายในมุมของเรา แต่ก็จะทำอยู่ดี”
สิ่งที่ธันยพงศ์ทำ ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวแล้วจบ เขามองไกลไปถึงการส่งต่อให้เด็กรุ่นใหม่ ด้วยหัวใจที่ยังห่วงผืนแผ่นดินบ้านเกิดเสมอ
“ทุกวันนี้ลูกหลานเกษตรกรไม่กลับบ้านกันแล้ว ไม่มีใครสานต่ออาชีพชาวนาเลย [หรือมีก็น้อยมาก] ทุกคนอยากเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองทำงานแลกเงินแล้วเอาเงินไปซื้อของกิน มันเป็นวัฏจักรทั่วไป” แต่ก็เข้าใจได้ว่าเกษตรกรรมเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เหนื่อย ต้นทุนและความเสี่ยงสูง
ซึ่งจริงๆแล้วในโหมดนี้เราสามารถทำได้โดยตรง ถ้าปลูกข้าวเองได้ ก็จะได้กินข้าวที่ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มเล่าถึงฝันในอนาคตว่า อยากจะเปิดศูนย์การเรียนรู้ที่ใช้ข้าวเป็นจุดตั้งต้น ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก แปรรูป ไปจนถึงการใช้วัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้จะไม่ใช่แค่ ทำนา-สีข้าว-นำข้าวมาหุง แต่คือการพัฒนาต่อยอดเรื่องข้าวไประดับโลกในมุมของเรา ที่สามารถเล่าได้ถึง ศิลปะ วัฒนธรรม เทคโนโลยี ทั้งในด้านการผลิตและแปรรูป นั่นคือสิ่งที่อยากให้เป็น
“เราไม่ได้โลกสวยนะ แต่หากเราอยากจะทำอะไรให้เกิดขึ้นจริง ก็ย่อมมีหนทาง ผมเชื่ออย่างนั้น เราพูดในฐานะที่ว่าปัญหามันมีแน่นอนอยู่แล้ว ทำใจไว้เลย เราอาจจะต้องใช้เวลา หากว่าจะประสบความสำเร็จ เราก็จะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ค้นหาตัวเองเจอ”
“เขาเรียกว่าไม่มีที่ไหนจะมีความสุข เท่าที่ที่เราจากมาอีกแล้ว”
“และถ้าความฝันของเราหนักพอ มันก็จะกลั่นออกมาเป็นฝนแห่งความกล้า แล้ววันนั้น เราก็แค่ถามตัวเองว่า ถึงเวลาหรือยัง”
“ผมจะเปรียบเทียบยังไงดี” เขานิ่งคิด
“เอาเป็นว่าเหมือนเป็นลูกเต่าแล้วกัน”
“เหมือนลูกเต่าที่เพิ่งฟักออกจากไข่ แล้วมีเสียงคลื่นคอยนำทางลงสู่ทะเล มันก็คล้ายกับชีวิตเราเหมือนกันนะ พอถึงจุดหนึ่ง เราจะรู้สึกได้เองว่ามันคงถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางไปตามแรงปรารถนา เช่นสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็นคนเลือกที่จะออกหาประสบการณ์ในการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพตามสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมา แต่สุดท้ายแล้วเสียงหัวใจจะส่งสัญญานบอกให้เราในฐานะที่เราโตขึ้นเปรียบเหมือนแม่เต่าที่ต้องกลับไปวางไข่ ณ จุดที่เราเกิดมาเพื่อที่จะสร้างรุ่นถัดไป จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับแต่ละคน ยิ่งเราสามารถทำได้เร็วเท่าไหร่ก็สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับรุ่นถัดไปโดยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาที่เราเจอได้เร็วเท่านั้นนี่คือสิ่งที่เราได้เปรียบแม่เต่า ส่วนตัวแล้วคิดแบบนั้น
“ก็เหมือนกับชีวิตใครหลายคน ที่เราไม่ได้เลือกที่จะเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น แต่มันถูกกำหนดมาด้วยหลายปัจจัย ทำให้เราเหมือนเราใช้ชีวิตทางอ้อม ทั้งๆที่เราแค่อยากใช้ชีวิตแบบไม่เร่งรีบจนเกินไป อยากอยู่แบบเรียบง่าย อยู่กับครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตากัน มีกินโดยไม่ต้องทำงานแลกเงิน เงินเปลี่ยนเป็นของกิน เราอยากกินอะไร เราก็ทำเกษตรกรรมแนวนั้น ดังนั้น ‘บ้าน’ จึงเป็นเหมือนจุดรีเซตของผม”
แต่เขาก็เข้าใจดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมกลับบ้าน
“ถ้าพูดถึงความลังเล ผมเข้าใจเลยนะ เพราะที่เราออกจากบ้านมาก็เพื่อหาเงิน ถ้าที่บ้านมีมากพอ เราก็คงไม่ออกมา ตัวผมเองทำงานในอุตสาหกรรม เราเรียนแบบไหน วางแผนแบบไหนมาในชีวิต ก็จะได้แบบนั้น เป็นสัจธรรม”
แต่ความฝันคือสิ่งที่อยู่ลึกกว่านั้น
“คำถามคือ เราจะกลับบ้านแล้วทำอะไรได้บ้าง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะมีคำตอบแบบเดียวกัน เพราะแต่ละคนก็มีปัญหาและความต้องการที่แตกต่างกัน”
แน่นอนว่าหลายคนอาจรอให้ตัวเองพร้อม แต่สำหรับธันยพงศ์แล้ว ความพร้อมไม่มีอยู่จริง “เราเพียงต้องเพิ่มความกล้า ศรัทธา และเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งยังถือว่ายังมีความโชคดีที่ยังมีบ้านและทรัพยากรให้กลับไปพัฒนาเรามีของดีแต่เราไม่กล้าที่จะใช้มันต่างหาก”
เพราะเขาเองก็เคยรอความพร้อมอยู่นานหลายปี แต่รอเท่าไรก็ไม่เคยรู้สึกพร้อมเสียที
“สุดท้ายผมเลยเปลี่ยนความคิดใหม่ ไม่พร้อม ก็คือพร้อม แล้วถ้าเราอยากทำให้มันเกิดขึ้นจริง มันย่อมมีหนทาง”
ในวันที่งาน Thailand Biennale, Chiang Rai เมื่อปี 2023 กำลังจะเกิดขึ้น เขารู้ทันทีว่า โอกาสมาถึงแล้ว และมันอาจจะมาเพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิต
เขาตัดสินใจลุย โดยไม่รอให้พร้อม
“ถ้าผมพร้อม ผมก็คงไม่ต้องนั่งเครื่องบินกลับบ้านทุกสัปดาห์หรอก ผมก็คงอยู่เชียงราย ทำศิลปะได้เต็มเวลาไปแล้ว แต่มันไม่ใช่แบบนั้น”
“ถ้ามันเป็นขีดจํากัดในหัวใจเรา แล้วหัวใจบอกว่า ‘ต้องทํา’ นั่นแหละคือสัญญาณว่าเราพร้อมแล้วจงลุยเลย แค่นั้นเอง ซึ่งผมว่าทุกคนมีจุดของตัวเอง และถามว่า การที่จะกลับมาเริ่มต้นที่บ้านได้มั้ย ผมบอกเลยว่าได้”
“แต่สำหรับช่วงเวลา ผมคงไม่สามารถตอบได้ว่าเวลาไหน ถึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับคนที่อยากกลับบ้าน”
“จริง ๆ ผมมีการเตรียมการล่วงหน้าที่จะทำสิ่งเหล่านี้นานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่ด้วยกําลังความพร้อมก็ดี จังหวะโอกาสก็ดี ที่พอไปถึง ณ จุดหนึ่ง ที่ทุกอย่างลงตัว เราก็ลงมือทำให้เกิดขึ้นจริงสักครั้งหนึ่ง ก็เป็นการวัดผลว่าเราทำได้จริงนะ ยิ่งเราทําได้ ยิ่งฮึกเหิม ก็ยิ่งมีแรงบันดาลใจที่อยากจะก้าวไปในสเต็ปต่อไปให้มันสําเร็จมากยิ่งขึ้น”
การกลับบ้านจึงเริ่มจากคำตอบเดียวในใจว่า หยุดคิดมาก แล้วลงมือทำ!
1. อย่าละทิ้งความฝันวัยเด็ก บางทีฝันเล็ก ๆ อาจเป็นตัวจุดประกายฝันที่ยิ่งใหญ่กว่า
จากเด็กที่ฝันอยากมีอาณาจักรเหมือนในนิทาน กลายเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างผืนนาให้มีชีวิตที่สงบ และงดงามด้วยศิลปะ
2. ไม่จำเป็นต้องเลือกทางเดียว ถ้าหัวใจยังมีที่ว่างให้ความฝัน
วิศวกรก็สามารถกลับมาทำนาหรือเป็นศิลปินได้ เมื่อเรายอมรับว่าเราเป็นได้มากกว่าหนึ่งบทบาท
3. อย่ารอความพร้อม เพราะมันอาจไม่มีวันมาถึง การเริ่มต้นที่ดีไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างพร้อม เพียงมีใจที่แน่วแน่และหนักแน่น ก็เพียงพอแล้วที่จะออกเดินทาง
4.ใครไม่เชื่อไม่เป็นไรแค่เราเชื่อในตัวเองก็พอ ศิลปะบนนาข้าวอาจฟังดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่เขาเลือกเชื่อตัวเองมากพอ จนภาพในหัวกลายเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกต้องหันมามอง
5.เมื่อรู้สึกว่าเสียงในหัวใจ‘หนักพอ’ก็ให้ลงมือทำ เพราะบางที สิ่งที่เราตามหามาทั้งชีวิต ก็อาจอยู่ตรงจุดเริ่มต้นของเราเองมาตลอด
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : ศิลปะบนนาข้าว เกี้ยวตะวัน ธัญฟาร์ม / Facebook