ไขความลับ ‘เซลล์ซอมบี้’ จากกลไกธรรมชาติสู่ความหวังในการยืดอายุ

ไขความลับ ‘เซลล์ซอมบี้’ จากกลไกธรรมชาติสู่ความหวังในการยืดอายุ

เวงกี รามกฤษณัน (Venki Ramakrishnan) เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมี ผู้ค้นพบ 'เซลล์ซอมบี้' หรือเซลล์ที่หยุดทำงานแต่ไม่ตาย ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็ง

KEY

POINTS

หากเอ่ยถึงคำว่า “ซอมบี้” ภาพที่หลายคนนึกอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่ไม่ใช่คนเป็น แต่ก็ไม่ใช่คนตายจริง ๆ เดินดุ่ม ๆ แบบไร้ทิศทางและสร้างความเดือดร้อนให้แก่สิ่งรอบข้าง ปรากฏในจินตนาการของนิยายสยองขวัญสักฉาก ทว่า ซอมบี้ที่แท้จริงนั้นอยู่ “ใกล้ตัวเรา” มากกว่าที่คิด เพราะตัวมันกำลังอาศัยอยู่ในร่างกายของเราเอง 

นั่นคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ เรียกว่า “เซลล์ชรา” (Senescent Cells) เซลล์ประเภทนี้ ไม่ใช่ทั้งเซลล์ที่มีชีวิตสมบูรณ์ และก็ไม่ใช่เซลล์ที่ตายแล้ว หากแต่เป็นเซลล์ที่หยุดการทำงานหลักไป แต่ยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อที่เคยรับผิดชอบ

เวงกี รามกฤษณัน (Venki Ramakrishnan) เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมี และผู้เขียนหนังสือ Why We Die: The New Science of Ageing and the Quest for Immortality (2024) อธิบายว่า การทำความเข้าใจเซลล์ชราถือเป็นหัวใจสำคัญของการไขความลับแห่งชราภาพ เพราะเซลล์ชราเปรียบเสมือนเส้นใยเล็ก ๆ ที่ถักทออยู่ในทุกระบบของร่างกาย และการสะสมจำนวนของเซลล์เหล่านี้ คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ร่างกายค่อย ๆ เสื่อมลง

ไขความลับ ‘เซลล์ซอมบี้’ จากกลไกธรรมชาติสู่ความหวังในการยืดอายุ

ความน่าสนใจของเซลล์ชราอยู่ตรงที่บทบาทอันกำกวม พวกมันไม่ได้เป็นเพียง “เซลล์เสีย” ที่ร่างกายลืมกำจัดออกไป แต่คือผลลัพธ์ของกลไกป้องกันตามธรรมชาติ เมื่อเซลล์เผชิญกับความเสียหายที่รุนแรงเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ มันเลือกที่จะหยุดทำงานเพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นต้นกำเนิดของมะเร็ง นี่คือระบบความปลอดภัยที่วิวัฒนาการขึ้นเพื่อปกป้องเราในวัยหนุ่มสาว แต่ในขณะเดียวกัน การที่เซลล์เหล่านี้ยังคงอยู่ในร่างกายก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่รอวันสร้างปัญหา

สิ่งที่ทำให้ภาพของ “เซลล์ซอมบี้” ยิ่งชัดเจนขึ้น คือลักษณะการดำรงอยู่ของมัน เซลล์ชราไม่ได้หายไปเฉย ๆ หากแต่ยังคงปล่อยสารเคมีบางชนิดออกมา สารเหล่านี้อาจกระตุ้นการอักเสบหรือรบกวนเซลล์รอบข้าง ทำให้เนื้อเยื่อที่ควรทำงานได้อย่างราบรื่นกลับติดขัด การสะสมของเซลล์ลักษณะนี้ จึงเปรียบได้กับการที่มีคนจำนวนหนึ่งอยู่ในสังคมโดยไม่ทำงาน แต่ยังสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ๆ รอบตัว

รามกฤษณัน ชี้ให้เห็นว่าความเข้าใจเรื่องเซลล์ชราไม่ใช่เพียงเรื่องในเชิงวิชาการ หากแต่เกี่ยวพันโดยตรงกับชีวิตประจำวันของเรา เพราะเซลล์เหล่านี้มีอยู่ในร่างกายของทุกคนตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เพียงแต่ในวัยนั้นร่างกายยังมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงพอที่จะกำจัดมันออกไปได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มเสื่อมถอย เซลล์ชราจึงค่อย ๆ สะสม และกลายเป็นหนึ่งในตัวเร่งให้เกิดความเสื่อมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาการข้อเสื่อม แผลหายช้า หรือแม้แต่ความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง

ต้นเหตุ: ความเสียหายของ DNA

ร่างกายมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มหัศจรรย์ที่สุด แต่แม้จะถูกสร้างขึ้นด้วยความซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง มันก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเปราะบางได้ โดยเฉพาะในระดับ ดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งเปรียบเสมือนคู่มือการทำงานของชีวิต ทุกวัน ดีเอ็นเอในเซลล์ของเราต้องเผชิญกับการโจมตีนับแสนครั้ง บางครั้งเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น รอยแตกจากการสัมผัสกับน้ำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลายหมื่นครั้งต่อวัน ขณะที่บางครั้งความเสียหายรุนแรงถึงขั้นทำให้สายดีเอ็นเอขาดออกจากกัน

ปกติแล้วร่างกายมีกลไกซ่อมแซมความเสียหายเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าไม่สมบูรณ์แบบเสมอไป เมื่อเซลล์เผชิญกับความเสียหายที่มากเกินกว่าจะฟื้นฟูได้ จะเกิดการตัดสินใจครั้งสำคัญสองทาง หนึ่งคือการเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า apoptosis หรือการ “ฆ่าตัวตาย” ของเซลล์ วิธีนี้เป็นเสมือนการสละตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรง เช่น การกลายพันธุ์ที่อาจนำไปสู่มะเร็ง อีกทางเลือกหนึ่ง คือการเข้าสู่สภาวะ senescence หรือการ “ชรา” ของเซลล์

ไขความลับ ‘เซลล์ซอมบี้’ จากกลไกธรรมชาติสู่ความหวังในการยืดอายุ

เมื่อเซลล์เข้าสู่ภาวะชรา มันหยุดการแบ่งตัวโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ยอมตายเหมือนเซลล์ที่เข้าสู่ apoptosis มันยังคงอยู่ในเนื้อเยื่อ เปรียบได้กับพนักงานในสำนักงานที่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ นอกจากไม่ทำหน้าที่ของตนแล้ว แต่ยังรบกวนการทำงานของผู้อื่นด้วย ภาวะนี้เองที่ทำให้เซลล์เหล่านี้ได้รับฉายาว่า “เซลล์ซอมบี้”

รามกฤษณัน อธิบายว่า การเลือกเข้าสู่ภาวะชราเป็นผลลัพธ์จากกลไกการตอบสนองต่อความเสียหายของดีเอ็นเอ คือทางออกที่วิวัฒนาการวางไว้ เพื่อช่วยให้สิ่งมีชีวิตรอดพ้นจากโรคร้ายในวัยหนุ่มสาว แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือการสะสมของเซลล์ที่ไร้ประโยชน์และก่อปัญหาในระยะยาว

ดาบสองคมของเซลล์ชรา

หากมองในมุมวิวัฒนาการ เซลล์ชรามิได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำร้ายร่างกายของเราโดยตรง ตรงกันข้าม มันคือหนึ่งในกลไกป้องกันภัยที่ทรงพลังที่สุด เมื่อเซลล์ได้รับความเสียหายจนเสี่ยงต่อการกลายเป็นมะเร็ง การเข้าสู่ภาวะชราก็เปรียบเหมือนการกดปุ่มหยุดฉุกเฉิน เพื่อให้เซลล์นั้นหยุดการแบ่งตัวทันที และไม่ส่งต่อความผิดพลาดไปยังเซลล์รุ่นถัดไป กลไกนี้ช่วยลดโอกาสที่เซลล์ที่มีดีเอ็นเอเสียหายจะขยายตัวกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายได้ นี่คือ “ด้านสว่าง” ของเซลล์ชราที่ทำให้เรารอดพ้นจากโรคร้ายในช่วงวัยหนุ่มสาว

ไขความลับ ‘เซลล์ซอมบี้’ จากกลไกธรรมชาติสู่ความหวังในการยืดอายุ

แต่ดาบเล่มเดียวกันก็มีคมอีกด้านที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อเซลล์หยุดการทำงานแล้วไม่ถูกกำจัดออกไป มันจะเริ่มส่งสัญญาณเคมีออกมาอย่างต่อเนื่อง สัญญาณเหล่านี้ส่วนหนึ่งมีประโยชน์ในระยะสั้น เช่น กระตุ้นการอักเสบเพื่อเรียกระบบภูมิคุ้มกันเข้ามาช่วยซ่อมแซมบาดแผล ทว่า เมื่อเวลาผ่านไป และโดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันของเราก็เสื่อมถอย ความสามารถในการกำจัดเซลล์ชราลดลง ผลลัพธ์คือเซลล์เหล่านี้ค่อย ๆ สะสมอยู่ในร่างกายเหมือนขยะที่ไม่มีใครเก็บ

การสะสมนี้ไม่เพียงทำให้เนื้อเยื่อทำงานได้ด้อยลง แต่ยังเป็นแหล่งกำเนิดของ การอักเสบเรื้อรัง ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า inflammaging ความอักเสบที่ยืดเยื้อไม่ได้มีอาการฉับพลันให้สังเกตง่าย ๆ เหมือนการติดเชื้อ แต่จะค่อย ๆ กัดกร่อนสุขภาพในระยะยาว เป็นหนึ่งในปัจจัยร่วมของโรคชราแทบทุกชนิด ตั้งแต่โรคหัวใจ เบาหวาน ไปจนถึงอัลไซเมอร์

ดังนั้น เซลล์ชราจึงมีสองบทบาทในร่างกายเรา ในช่วงชีวิตที่ยังหนุ่มแน่น มันเป็นเหมือนยามรักษาความปลอดภัย ปกป้องเราจากภัยเงียบอย่างมะเร็ง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ยามที่เคยคุ้มครองเรากลับกลายเป็นผู้อยู่อาศัยที่สร้างความเดือดร้อน นี่คือความย้อนแย้งของธรรมชาติที่ รามกฤษณัน เรียกว่า “ราคาที่เราต้องจ่าย” สำหรับการมีชีวิตยืนยาว

หลักฐานจากการทดลอง

แนวคิดว่าเซลล์ชราเป็นตัวเร่งให้ร่างกายแก่ลง ไม่ได้เป็นเพียงสมมติฐานที่ตั้งอยู่บนทฤษฎี แต่ได้รับการพิสูจน์จากการทดลองจริง ที่พลิกความเข้าใจเรื่องการชราของมนุษย์และสัตว์อย่างสิ้นเชิง หนึ่งในงานสำคัญเกิดขึ้นที่ Mayo Clinic ในรัฐมินนิโซตา โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ยาน ฟาน เดอูร์เซน (Jan van Deursen) และทีมงานของเขา พวกเขาใช้หนูทดลองสายพันธุ์พิเศษที่มีลักษณะชราเร็วกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า progeroid mice เพื่อทดสอบว่า หากสามารถกำจัดเซลล์ชราออกไป ผลลัพธ์ต่อสุขภาพและอายุขัยจะเป็นอย่างไร

ทีมวิจัยได้พัฒนาวิธีระบุเซลล์ที่อยู่ในภาวะชรา โดยใช้เครื่องหมายชีวภาพเฉพาะ ก่อนจะหาทางทำลายเซลล์เหล่านั้น เมื่อหนูทดลองที่แก่ก่อนวัยถูกกำจัดเซลล์ชราบางส่วนออก ผลที่ได้กลับเกินกว่าที่ใครคาดคิด เนื้อเยื่อหลายชนิดแสดงสัญญาณของความเสื่อมที่ช้าลง ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ ไขมัน หรือแม้กระทั่งดวงตา และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ แม้ในหนูที่มีอายุมากแล้ว การกำจัดเซลล์ชรายังสามารถชะลอโรคที่เกิดขึ้นไปแล้วได้อีกด้วย

ไขความลับ ‘เซลล์ซอมบี้’ จากกลไกธรรมชาติสู่ความหวังในการยืดอายุ

ผลการทดลองนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มมองเซลล์ชราในมุมใหม่ จากเดิมที่เชื่อว่ามันเป็นเพียงผลข้างเคียงของความแก่ชรา สู่การยอมรับว่ามันอาจเป็นปัจจัยผลักดันที่ทำให้ร่างกายเสื่อมลงเร็วขึ้น ฟาน เดอูร์เซน และทีมได้แสดงให้เห็นว่า หนูที่ได้รับการกำจัดเซลล์ชรา จะมีสุขภาพที่ดีกว่า พวกมันเคลื่อนไหวได้มากขึ้น หัวใจทนต่อความเครียดได้ดีกว่า ไตทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น และยังต้านทานมะเร็งได้นานกว่าหนูที่ปล่อยให้เซลล์ชราสะสมตามธรรมชาติ

การค้นพบนี้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของวิทยาศาสตร์การชรา เพราะบ่งชี้ว่าการแทรกแซงในระดับเซลล์อาจส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อสุขภาพโดยรวม ไม่ใช่เพียงการยืดอายุให้ยาวนานขึ้น แต่คือการเพิ่มช่วงเวลาของชีวิตที่มีคุณภาพหรือที่นักวิจัยเรียกว่า healthspan

Senolytics ยาต้านเซลล์ซอมบี้

เมื่อผลการทดลองของ ยาน ฟาน เดอูร์เซน เปิดประตูให้เห็นว่า การกำจัดเซลล์ชราสามารถชะลอความเสื่อมของร่างกายได้จริง คำถามที่ตามมาก็คือ เราจะทำเช่นเดียวกันนี้กับมนุษย์ได้หรือไม่ นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิดเรื่อง “senolytics” หรือยาที่มีเป้าหมายเจาะจงทำลายเซลล์ซอมบี้โดยเฉพาะ

ในห้องทดลอง นักวิทยาศาสตร์พบว่ายาบางชนิดสามารถกระตุ้นให้เซลล์ชราตายลง ขณะที่ไม่กระทบต่อเซลล์ปกติ การค้นพบนี้สร้างความตื่นเต้นอย่างมาก เพราะไม่เพียงชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ในการยืดอายุขัย แต่ยังอาจช่วยป้องกันหรือชะลอโรคที่มากับวัย เช่น ข้อเสื่อม ต้อกระจก หรือแม้แต่โรคหัวใจและมะเร็งบางชนิด 

ปัจจุบัน งานวิจัยด้าน senolytics จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งในแวดวงวิชาการและในอุตสาหกรรมชีวการแพทย์ที่กำลังแข่งขันกันพัฒนา “ยาต้านเซลล์ซอมบี้” รุ่นแรก ๆ ของโลก

อย่างไรก็ดี การทำลายเซลล์ชราไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการกวาดขยะออกจากห้อง เพราะในบางกรณี เซลล์เหล่านี้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมบาดแผล การกำจัดมากเกินไปอาจทำให้สมดุลของร่างกายเสียหาย นี่จึงเป็นสาเหตุที่การวิจัยด้าน senolytics ต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวัง พร้อมคำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบว่า “เราจะหาวิธีกำจัดเซลล์ซอมบี้อย่างพอดีได้อย่างไร โดยไม่ทำให้ร่างกายขาดกลไกป้องกันตัวเองที่จำเป็น”

แม้ว่ายังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่การวิจัยนี้ได้สร้างความหวังใหม่ให้กับวิทยาศาสตร์การชรา หากสามารถควบคุมและประยุกต์ใช้ senolytics ได้จริง วันหนึ่งข้างหน้าเราอาจไม่ได้เพียงแค่ยืดชีวิตให้นานขึ้น แต่ยังอาจยืดเวลาของการมีสุขภาพดี ไม่ต้องใช้ช่วงบั้นปลายไปกับโรคเรื้อรังและความเสื่อมที่เคยถูกมองว่าเป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้

มิติทางสังคมและเศรษฐกิจ

ความสนใจต่อเซลล์ชราไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในห้องแล็บของนักวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่ได้ขยายตัวไปสู่โลกของธุรกิจและการลงทุน จนกลายเป็นหนึ่งในกระแสที่ใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันมีบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพหลายร้อยแห่งทั่วโลกที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการชะลอวัยและการยืดอายุขัยของมนุษย์ โดยรวมแล้วอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าตลาดหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังเติบโตอย่างต่อเนื่องตามความต้องการของสังคมที่กำลังเผชิญกับสัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทุกปี

เบื้องหลังการเติบโตนี้คือแรงผลักดันจาก “ความหวัง” ของมนุษย์ในศตวรรษใหม่ ที่ไม่เพียงแต่อยากมีชีวิตยืนยาว แต่ต้องการมีชีวิตที่มีคุณภาพ ไม่ถูกถ่วงด้วยโรคเรื้อรังที่มากับวัย การค้นคว้าเกี่ยวกับ senolytics และการกำจัดเซลล์ซอมบี้จึงถูกมองว่าเป็น “คำมั่นสัญญา” ของอนาคต บริษัทสตาร์ตอัปด้านชีววิทยาและบริษัทเภสัชภัณฑ์รายใหญ่ต่างแข่งขันกันลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ หวังว่าจะเป็นผู้บุกเบิกยากลุ่มใหม่ที่อาจเปลี่ยนทั้งระบบการดูแลสุขภาพ

อย่างไรก็ดี เส้นทางนี้ไม่ได้มีแต่โอกาส หากยังเต็มไปด้วยคำถามทางจริยธรรมและเศรษฐกิจ การรักษาที่สามารถยืดอายุสุขภาพได้จริงอาจมีราคาสูงจนเข้าถึงได้เฉพาะคนบางกลุ่ม ทำให้เกิดช่องว่างใหม่ระหว่างผู้ที่สามารถซื้อเวลาเพิ่มให้ชีวิตกับผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ อีกทั้งยังมีคำถามว่า หากมนุษย์สามารถยืดช่วงเวลาของชีวิตออกไปจริง ๆ สังคมจะรับมือกับจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้นอย่างไร ทั้งในแง่ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างเศรษฐกิจ

การวิจัยเรื่องเซลล์ชราจึงมิใช่เพียงเรื่องวิทยาศาสตร์ หากแต่เป็นประเด็นสังคมที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากร ความเท่าเทียม และอนาคตของมนุษยชาติทั้งหมด การไขความลับของเซลล์ซอมบี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเรา แต่คำถามสำคัญคือ เราจะจัดการกับความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไร

ระหว่างความหวังและความจริง

“เซลล์ซอมบี้” อาจฟังดูเป็นเพียงคำเปรียบเปรยในนิยายสยองขวัญ แต่ในความเป็นจริง พวกมันคือสิ่งที่อาศัยอยู่ในร่างกายเราทุกคน และเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่กำหนดเส้นทางชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่ความสามารถในการป้องกันมะเร็งในวัยหนุ่มสาว ไปจนถึงการกลายเป็นชนวนของโรคเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น เซลล์ชราคือดาบสคมของธรรมชาติที่ทำให้เราได้มีโอกาสมีชีวิตยืนยาว แต่ขณะเดียวกันก็เป็นตัวเร่งให้ร่างกายเสื่อมโทรม

งานวิจัยของ ยาน ฟาน เดอูร์เซน แสดงให้เห็นว่า การกำจัดเซลล์เหล่านี้ออกไปสามารถชะลอโรคและยืดอายุสุขภาพในสัตว์ทดลองได้ ความหวังจึงถูกฝากไว้ที่ senolytics ยาที่อาจช่วยปลดแอกเราจากภาระของเซลล์ซอมบี้ ทว่าแม้การค้นพบจะสร้างความตื่นเต้นอย่างมาก แต่ก็ยังเต็มไปด้วยคำถาม ทั้งเรื่องความปลอดภัย สมดุลทางชีววิทยา และผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ หากมนุษย์สามารถยืดอายุขัยออกไปจริง โลกจะรับมือกับผลลัพธ์นั้นอย่างไร

ไขความลับ ‘เซลล์ซอมบี้’ จากกลไกธรรมชาติสู่ความหวังในการยืดอายุ

เวงกี รามกฤษณัน ย้ำว่า การทำความเข้าใจกลไกพื้นฐานของเซลล์ชราไม่ใช่เพียงเพื่อหาวิธียืดชีวิตให้นานขึ้น แต่เพื่อช่วยให้เราเข้าใจความเปราะบางของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” และเชื่อมโยงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราแต่ละวัน การวิจัยเรื่องเซลล์ซอมบี้เป็นการเตือนว่า ความแก่ชราคือกระบวนการที่ซับซ้อนเกินกว่าจะมีคำตอบง่าย ๆ 

ระหว่างเส้นทางของวิทยาศาสตร์กับความฝันของมนุษยชาติ เรายังคงต้องก้าวเดินต่อไปด้วยความเข้าใจและความระมัดระวัง

 

เรื่อง: เอกประภู บรรณสรณ์

 

ที่มา:

- Ramakrishnan, Venki. Why We Die: The New Science of Ageing and the Quest for Immortality. Hodder & Stoughton, 2024.