‘ทิทูบา’ โศกนาฏกรรมล่าแม่มดใต้เงาชายเป็นใหญ่

‘ทิทูบา’ โศกนาฏกรรมล่าแม่มดใต้เงาชายเป็นใหญ่

จากหญิงรับใช้เชื้อสายแคริบเบียนในบ้านบาทหลวงผิวขาว สู่ชื่อที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์การล่าแม่มดแห่งซาเล็ม ‘ทิทูบา’ ไม่ได้ถูกจองจำเพียงเพราะคาถาหรือปีศาจ แต่เพราะเธอเป็นผู้หญิง ผิวสี และแตกต่างในโลกที่ชายผิวขาวนิยามว่าศักดิ์สิทธิ์ เรื่องราวของเธอจึงไม่ใช่เพียงตำนานแม่มด หากคือโศกนาฏกรรมของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกเผาทั้งเป็นใต้เงาระบบชายเป็นใหญ่

KEY

POINTS

ทุกเดือนตุลาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบตะวันตกมักจะถูกเรียกกันว่า ‘Season of the Witch’ หรือ ‘ฤดูกาลแห่งแม่มด’ จากชื่อนี้เราคงจะเห็นภาพผู้หญิงหน้าตาน่ากลัวสวมหมวกปลายแหลม ขี่ไม้กวาด ท่องคาถาประหลาด หรือพ่วงสัตว์ประจำตัวอย่างแมวดำ

แต่ในอีกด้านหนึ่ง คำว่า ‘แม่มด’ เคยเป็นมากกว่าภาพแฟนตาซีหรือความบันเทิง มันคือคำกล่าวหาที่เคยทำลายชีวิตของผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้หญิงที่ถูกมองว่าผิดแผก แตกต่าง หรือกล้าคิดต่างจากขนบของสังคมในยุคนั้น

หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือ ‘การล่าแม่มดแห่งซาเล็ม’ (The Salem Witch Trials) เมื่อปี ค.ศ. 1692 ณ เมืองเล็ก ๆ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เหตุการณ์อันโกลาหลนี้ได้สร้างบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับผู้คน หนึ่งในนั้นคือ ‘ทิทูบา’ (Tituba) หญิงสาวเชื้อสายแคริบเบียนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด

ย้อนไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 อาณานิคมอังกฤษใน ‘โลกใหม่’ ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการสถาปนาอัตลักษณ์และระเบียบสังคม ‘ซาเล็ม’ (Salem Village) ก่อตั้งโดยกลุ่มโปรเตสแตนต์สายปุริตัน (Puritans) ที่อพยพมาจากอังกฤษเพื่อสร้างชุมชนต้นแบบของ ‘เมืองศักดิ์สิทธิ์’ (City upon a Hill) ตามคติของ ‘จอห์น วินธรอป’ (John Winthrop) สังคมปุริตันเคร่งครัดทางศีลธรรม การไม่เชื่อฟังศาสนาถูกมองว่าเป็นภัยต่อพระเจ้าและสังคม เขาเชื่อว่าการมีทรัพย์สินเงินทองมากจะทำให้พระเจ้ารับมนุษย์ขึ้นสวรรค์ ทำให้คนยากจน คนผิวสี หรือคนที่แตกต่าง ถูกมองว่าด้อยกว่า

ซาเล็มในตอนนั้นเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความเชื่อในปีศาจและแม่มด บรรยากาศตึงเครียดทั้งด้านศาสนา เศรษฐกิจ และการเมือง การเป็นชุมชนต้นแบบของเมืองศักดิ์สิทธิ์ทำให้ชาวบ้านต้องรักษาความบริสุทธิ์และความเป็นระเบียบทุกด้าน

วันหนึ่ง กลุ่มเด็กหญิงในหมู่บ้านเริ่มมีอาการประหลาด ตัวแข็งเกร็ง ชัก ตะโกน พูดเพ้อถึงปีศาจ หมอในหมู่บ้านตรวจแล้วบอกว่า “นี่เป็นฝีมือของแม่มด” ประโยคนี้เป็นชนวนให้ทั้งหมู่บ้านเริ่มตื่นตระหนก

เด็กคนหนึ่งที่แสดงอาการนั้นคือ ‘อบิเกล วิลเลียมส์’ (Abigail Williams) หลานสาวของ ‘บาทหลวงซามูเอล แพริส’ (Samuel Parris) อีกคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกันคือ ‘ทิทูบา’ (Tituba) หญิงรับใช้เชื้อสายแคริบเบียนที่ถูกซื้อมาจากบาร์เบโดสมาเป็นทาสในครัวเรือน

ในฐานะผู้หญิงผิวสีในบ้านของบาทหลวงแพริสที่เป็นคนผิวขาว ทิทูบาจึงเผชิญอคติทั้งเรื่องเชื้อชาติและศาสนา พฤติกรรมหรือพิธีกรรมพื้นเมืองของเธอถูกมองว่าเป็นเวทมนตร์หรือปีศาจ เช่น การเสี่ยงเซียมซีด้วยไข่ในน้ำ ถูกตีความว่าเป็นพิธีต้องห้ามของโบสถ์ปุริตัน สังคมซาเล็มมองว่าคนผิวสีและชาวอินเดียนแดงมีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์และไสยศาสตร์

มีข้อมูลกล่าวว่าเมื่อทิทูบาถูกนำขึ้นศาล เธอพูดถึงการทำเค้กแม่มด (Witch-Cake) ในวัฒนธรรมของเธอ ซึ่งผสมปัสสาวะเด็กกับข้าวไรย์ให้สุนัขของตระกูลแพริสกิน สิ่งนี้ทำให้บาทหลวงแพริสบังคับให้เธอสารภาพว่าเป็นแม่มด

บันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ทิทูบาถูกนำตัวไปคุมขังและสอบสวนอย่างรุนแรง อาจมีการทุบตีและข่มขู่ชีวิตเพื่อให้เธอสารภาพ

ไม่มีหลักฐานว่าทิทูบามีเวทมนตร์จริง แม้เธอจะสารภาพว่าเป็นแม่มดก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบ ทิทูบาบอกอีกว่ามีแม่มดอีกหลายคนซ่อนตัวอยู่ในเมือง ข้อมูลนี้กลายเป็นชนวนให้มีการกล่าวหาและประหารผู้บริสุทธิ์อีกมาก

หลังจากการล่าทิทูบา การกล่าวหาต่อแม่มดคนอื่น ๆ ในซาเล็มก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว การสารภาพของทิทูบากลายเป็นชนวนให้คนในชุมชนเริ่มชี้นิ้วใส่กันเอง ข้อมูลที่เธอให้ทำให้เกิดการจับกุมและสอบสวนผู้บริสุทธิ์หลายสิบคน การกล่าวหาของเธอกลายเป็นเชื้อเพลิงให้การล่าแม่มดครั้งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนมีผู้ถูกตัดสินประหารชีวิตหลายสิบคน และหลายคนถูกคุมขังโดยไม่มีหลักฐานแน่ชัด

การกล่าวหาแม่มดในซาเล็ม เป็นการควบคุมเสียงและร่างกายผู้หญิงอย่างชัดเจน ผู้หญิงที่กล้าพูดหรือคิดต่างจากกรอบสังคมมักถูกมองว่ามีความเสี่ยงต่อระบบชายเป็นใหญ่ การใช้สมุนไพรหรือการรักษาโรคเองถือเป็นภัยต่อความถูกต้องทางศีลธรรม ผลสำรวจพบว่าผู้ตกเป็นเหยื่อในการล่าแม่มดเกือบ 3 ใน 4 เป็นผู้หญิง

คดีล่าแม่มดสะท้อนปรากฏการณ์ ‘Mass Hysteria’ เมื่อความกลัวและข่าวลือแพร่กระจายรวดเร็ว การกล่าวหาแพะรับบาปจึงกลายเป็นกลไกป้องกันตัวของชุมชน ความจริงถูกกลืนหายไปเหลือเพียงความหวาดระแวง

ชีวิตของทิทูบาถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ ไม่มีบันทึกว่าเธอเป็นอย่างไรต่อ บ้างว่าเธอไม่ได้ถูกแขวนคอ บ้างว่าตายหลังจากนั้นทันที ความยุติธรรมของคนกลุ่มน้อยอยู่ที่ไหน?

เรื่องราวของทิทูบาสะท้อนปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศ ซึ่งยังปรากฏในสังคมร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียหรือการตั้งแพะรับบาปในสังคมออนไลน์ เหตุการณ์ซาเล็มมิใช่เรื่องไกลตัว

อิทธิพลของภาพลักษณ์แม่มดไม่ได้หมดไปหลังการล่าแม่มด ในวัฒนธรรมป๊อป แม่มดปรากฏเป็นสัญลักษณ์ของพลังหญิงและการต่อต้านอำนาจ ซีรีส์ยุค 60-70 ‘Bewitched’ หรือยุค 90 เช่น Sabrina the Teenage Witch, Harry Potter, Buffy the Vampire Slayer แม่มดกลายเป็นตัวละครเอกและสัญลักษณ์ของอิทธิพลหญิง

เราจึงเล่าเรื่องของทิทูบาในเดือนแห่งแม่มดนี้ ไม่ใช่เพื่อรื้อภาพหญิงหมวกแหลมขี่ไม้กวาด แต่เพื่อรื้อคำถามที่ประวัติศาสตร์พยายามกลบฝังไว้ อาณานิคมทำให้เธอกลายเป็น ‘คนอื่น’ ศาสนาทำให้ความเชื่อของเธอกลายเป็น ‘ปีศาจ’ และอำนาจชายผิวขาวทำให้ร่างของเธอกลายเป็นหลักฐานแห่งบาป การกล่าวหาว่าเป็นแม่มดไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่คือกลไกควบคุมเพศ เชื้อชาติ และศาสนา

 

เรื่อง: Jaomie

ภาพ: Getty Images