พลังแฝงของ ‘เอ็มบัปเป้’ ดาวรุ่งจากฝรั่งเศส ผู้แพ้ที่ชนะใจคนดู และว่าที่ตำนานคนต่อไป

พลังแฝงของ ‘เอ็มบัปเป้’ ดาวรุ่งจากฝรั่งเศส ผู้แพ้ที่ชนะใจคนดู และว่าที่ตำนานคนต่อไป

‘คิเลียน เอ็มบัปเป้’ ยิงแฮตทริกในนัดชิง ‘ฟุตบอลโลก’ แต่ยังวืดแชมป์ ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นผู้แพ้ที่ชนะใจคนดู และเชื่อว่า เอ็มบัปเป้ มีศักยภาพก้าวมาเป็นตำนานทีมชาติฝรั่งเศสคนต่อไป

  • คิเลียน เอ็มบัปเป้ อกหักจากการป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2022 เมื่อฝรั่งเศส แพ้จุดโทษอาร์เจนติน่า ขณะที่การเล่นใน 120 นาที เอ็มบัปเป้ ทำแฮตทริกได้
  • ดาวเตะวัยหนุ่มคว้าแชมป์โลกสมัยแรกของตัวเองขณะอายุ 19 ปี เมื่อปี 2018 และทำผลงานยอดเยี่ยมมาตลอด
  • แม้จะผิดหวังจากนัดชิงฟุตบอลโลก 2022 แต่การเล่นของเขาได้ใจคนดู และเชื่อว่า เอ็มบัปเป้ ในวัย 23 ปีมีศักยภาพก้าวมาเป็นตำนานคนต่อไปในอนาคต 

การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกคือความฝันอันสูงสุดของนักฟุตบอลแทบทุกคนเลยก็ว่าได้ มีนักฟุตบอลบางส่วนที่มีโอกาสสัมผัสกับเกียรติยศนั้นแต่ก็มีนักฟุตบอลอีกไม่น้อยที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ไปเฉียดใกล้กับความสำเร็จดังกล่าว

นักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ของโลกหลายคนสามารถคว้าแชมป์มาแล้วมากมายกวาดมาแล้วแทบทุกถ้วยรางวัล แต่สิ่งเดียวที่พวกเค้ายังไม่อาจจะเอื้อมถึงเลยตลอดชีวิตการเล่นฟุตบอลนั่นก็คือถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ (FIFA World Cup) อันเป็นรางวัลของทีมที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเท่านั้น

ฉะนั้น เมื่อเกมการแข่งขันเดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศ นักฟุตบอลทุกคนที่ได้มีโอกาสลงสนามในวันนั้นจะทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับชัยชนะ บางคนตั้งใจเล่นและสามารถทำผลงานได้ดี บางคนตั้งใจเกินไปจนกลายเป็นความกดดันทำให้ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีได้ หรือบางคนก็หนักไปถึงการสร้างความผิดพลาดในเกมการแข่งขันจนทีมต้องปราชัย

เกมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมาระหว่างทีมชาติอาร์เจนติน่าและทีมชาติฝรั่งเศส มีนักฟุตบอลคนหนึ่งที่ฉายแสงจนแฟนฟุตบอลสามารถมองเห็นแววความเป็นยอดซูเปอร์สตาร์ในอนาคตได้อย่างชัดเจน และนักฟุตบอลคนนั้นก็คือกองหน้าหมายเลข 10 ของทีมชาติฝรั่งเศสนามว่า ‘คิเลียน เอ็มบัปเป้’

เอ็มบัปเป้ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อสามารถยิง 2 ประตูให้ทีมชาติฝรั่งเศสที่ตามทีมชาติอาร์เจนติน่าอยู่ 2-0 ในครึ่งเวลาแรกกลับมาเสมอกันที่ 2-2 และจบลงด้วยสกอร์นี้ในช่วง 90 นาที จากนั้นเจ้าตัวก็มายิงประตูตีเสมอทีมชาติอาร์เจนติน่าเป็น 3-3 อีกครั้งในช่วงต่อเวลาพิเศษจากการยิงลูกโทษที่จุดโทษในนาที 118 เป็นแฮตทริกที่ยืดอายุต่อชะตาให้ขุนพล ‘เลส์ เบลอส์’ แม้ในท้ายที่สุดจะไม่อาจต้านทานความร้อนแรงของทีมชาติอาร์เจนติน่าไหว แต่ฟอร์มการเล่นดังกล่าวก็ติดตาตรึงใจแฟนฟุตบอลทั่วโลก

เอ็มบัปเป้ ถือว่าเป็นนักฟุตบอลประวัติศาสตร์คนหนึ่งของทีมชาติฝรั่งเศสและของโลกใบนี้ ด้วยเพราะเจ้าตัวนั้นสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2018 โดยในขณะนั้นเอ็มบัปเป้ มีอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น แถมเจ้าตัวก็ยังเป็นนักฟุตบอลฝรั่งเศสที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก เมื่อเอ็มบัปเป้ คือผู้ยิงประตูชัยในนัดที่ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถเฉือนเอาชนะทีมชาติเปรูไปได้ 1-0 ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มนัดที่สองเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2018

กลับมาที่ฟุตบอลโลกในครั้งนี้ แม้ทีมชาติฝรั่งเศสจะไม่สามารถป้องกันแชมป์โลกได้สำเร็จ แต่การสามารถผ่านเข้ามาสู่รอบชิงชนะเลิศได้ถึง 2 สมัยติดต่อกันก็นับว่าเป็นผลงานที่น่าจดจำ โดยเฉพาะเกมการแข่งขันนัดชี้ชะตากับทีมชาติอาร์เจนติน่าที่สู้กันมันหยดจนกล่าวได้ว่าเป็นรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่ดีที่สุดนัดหนึ่งเลยก็ว่าได้

แต่ท่ามกลางความผิดหวังของชาวฝรั่งเศสมันก็มีอีกมุมหนึ่งที่เป็นสิ่งที่น่ายินดี เมื่อ คิเลียน เอ็มบัปเป้ ได้แสดงให้เห็นแล้ว เขาคนนี้มีความสามารถและความพร้อมที่จะพาทีมชาติฝรั่งเศสกลับมาครองความยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต

บทความนี้เราจะพาทุกท่านมารับรู้เรื่องราวของ คิเลียน เอ็มบัปเป้ เด็กหนุ่มวัย 23 ปี ที่คว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดในฟุตบอลโลก 2022 นี้ เด็กหนุ่มที่มีโอกาสไปถึงจุดสูงสุดของโลกฟุตบอลมาแล้ว เด็กหนุ่มที่เป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวสูงสุดของฝรั่งเศส เราจะไปรู้จักเจ้าตัวตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงฟุตบอลโลก 2022 ที่เพิ่งจบลงไปกันครับ

ครอบครัวกีฬา พื้นฐานที่สำคัญสู่ความเป็นมืออาชีพ

เอ็มปัปเป้ เกิดมาในครอบครัวนักกีฬาคุณภาพ โดยคุณพ่อวิลเฟรด เอ็มปัปเป้ (Wilfried Mbappé) เป็นชาวแคเมอรูนซึ่งนอกจากจะรับบทเป็นคุณพ่อที่แสนอบอุ่นแล้ว วิลเฟรดยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกีฬาประจำสโมสรเอเอส บอนดี (AS Bondy) ซึ่งก็เป็นสโมสรที่วิลเฟรคเคยสังกัดอยู่สมัยเป็นนักฟุตบอลและโค้ช นอกจากนี้ วิลเฟรดยังทำหน้าที่สำคัญในการเป็นโค้ชคนแรกที่คอยมอบทักษะลูกหนังให้แก่เอ็มปัปเป ตั้งแต่เอ็มปัปเป้ อายุเพียง 6 ขวบเท่านั้น

ด้าน เฟย์ซา ลามารี (Fayza Lamari) คุณแม่ของเอ็มปัปเป้ เป็นคนสัญชาติฝรั่งเศส-แอลจีเรีย และก็เป็นนักกีฬาแฮนด์บอลที่เล่นในลีกของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งคุณแม่เฟย์ซาเองก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยในการดูแลและปลูกฝังแนวคิดความเป็นนักกีฬาอาชีพให้กับตัวของเอ็มบัปเป้ มาตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากจะกล่าวว่าความสำเร็จของเอ็มปัปเป้ เกิดมาจากครอบครัวที่มีความเข้าใจในกีฬาก็คงไม่ผิดนัก

ปี 2004 คิเลียน เอ็มบัปเป้ ในวัย 6 ขวบภายใต้การสนับสนุนของคุณพ่อวิลเฟรด มีโอกาสก้าวเข้ามาเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรเอเอส บอนดี และก็อยู่กับสโมสรแห่งนี้เป็นเวลากว่า 9 ปี จนเจ้าตัวอายุได้ 15 ปีจึงย้ายไปยังหนึ่งในยอดสโมสรแห่งแดนน้ำหอมอย่างเอเอส โมนาโก (AS Monaco) ก่อนที่จะใช้เวลากับทีมเยาวชนและทีมสำรองเป็นเวลา 2 ปี จึงมีโอกาสลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ของเอเอส โมนาโก เรียกว่าเส้นทางการค้าแข้งของเอ็มบัปเป้ เป็นไปในทิศทางที่ครอบครัวได้วางแผนไว้

จุดเริ่มต้นกับโมนาโก สู่ยอดกองหน้าที่ปารีส แซงต์ แชร์กแมง

2 ธันวาคม 2015 คิเลียน เอ็มบัปเป้ ที่ได้ถูกผลักดันขึ้นทีมชุดใหญ่ของสโมสรเอเอส โมนาโก ในวัย 16 ปีกับอีก 347 วัน มีโอกาสลงสนามในลีก เอิงของฝรั่งเศสเป็นนัดแรก เมื่อเจ้าตัวถูกเปลี่ยนตัวลงไปสัมผัสเกมเป็นเวลา 2 นาทีในนัดที่โมนาโกเปิดบ้านเสมอเอสเอ็ม ก็อง (SM Caen) ไป 1-1

จากนั้นในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2016 คิเลียน เอ็มบัปเป้ ที่ได้มีโอกาสลงสนามให้กับสโมสรเอเอส โมนาโกเป็นนัดที่ 5 พบกับสโมสรทรอยส์ เอ็มบัปเป้ ก็สามารถยิงประตูแรกในฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศฝรั่งเศสได้ โดยในฤดูกาลแรกกับโมนาโกนั้น เอ็มบัปเป้ ลงสนามทั้งสิ้น 11 นัด ระยะเวลารวม 289 นาที ยิงไปทั้งสิ้น 1 ประตู

ขณะที่ในฟุตบอลสโมสรยุโรป คิเลียน เอ็มบัปเป้ ลงสนามให้กับสโมสรเอเอส โมนาโกไป หนึ่งนัดในเกมที่บุกไปแพ้สโมสรท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก (UEFA Europa League) ซึ่งแม้จะพ่ายแพ้แต่เจ้าตัวก็ยังสร้างผลงานแอสซิสต์ (Assist) ให้กับเพื่อนได้ทำประตูใส่ทีมไก่เดือยทองจากเกาะอังกฤษ

ฤดูกาล 2016-2017 เอ็มบัปเป้ ขึ้นมาเป็นตัวหลักของสโมสรเอเอส โมนาโก และสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเหลือเชื่อ เมื่อเจ้าตัวลงสนามในลีก เอิงไปทั้งสิ้น 29 นัดและสามารถทำผลงานได้ 15 ประตูกับอีก 11 แอสซิสต์

ขณะที่ในฟุตบอลถ้วยทั้งสองอย่าง คูเป เดอ ฟรองส์ (Coupe de France) และคูเป เดอ ลา ลีก เอิง (Coupe de la Ligue) เจ้าตัวลงสนามรวม 6 นัดยิงไป 5 ประตู เรียกได้ว่าเอ็มบัปเป้ ไปเปิดตัวให้แฟนฟุตบอลฝรั่งเศสได้รู้จักอย่างเต็มตัวด้วยผลงานที่แสนวิเศษ แต่แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อเอ็มบัปเป้ ก็สามารถระเบิดฟอร์มในเวทีชิงแชมป์สโมสรยุโรปได้อย่างเกินอายุ ลงสนามในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (UEFA Champions League) 9 นัดยิงได้ 6 ประตู

โดยเป็นการยิงใส่ทีมใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และยูเวนตุส ผลงานของเจ้าตัวก็ส่งให้สโมสรเอเอส โมนาโก ผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้อย่างพลิกความคาดหมาย ซึ่งผลงานโดยรวมของ เอ็มบัปเป้ ในฤดูกาลที่สองกับสโมสรเอเอส โมนาโกนั้นลงสนามไปทั้งสิ้น 44 นัด ทำประตูได้ทั้งสิ้น 26 ประตู กับอีก 14 แอสซิสต์

และด้วยผลงานดังกล่าวทำให้ คิเลียน เอ็มบัปเป้ ได้มีโอกาสย้ายไปสู่ยอดทีมอันดับหนึ่งของประเทศฝรั่งเศสอย่างสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือเปเอสเชในฤดูกาลถัดมา ด้วยมูลค่าสัญญากว่า 180 ล้านยูโร ทำให้เจ้าตัวเป็นผู้เล่นฝรั่งเศสที่มีค่าตัวแพงที่สุดด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น นับว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการลูกหนังแดนน้ำหอม

อีกทั้งมูลค่าสัญญาดังกล่าวก็เป็นรองเพียงเนย์มาร์ ยอดกองหน้าชาวบราซิลเท่านั้น โดยในฤดูกาลแรกกับเปเอสเช เอ็มบัปเป้ ลงสนามไปทั้งสิ้น 27 นัดในลีก เอิง ยิงประตูไป 13 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ ขณะที่ในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เจ้าตัวยิงไป 4 ประตูจากการลงสนาม 4 นัด นับว่าเป็นการเริ่มที่ไม่เลวเลยกับยักษ์ใหญ่อย่างเปเอสเช

ฟุตบอลโลกครั้งแรกของเด็กหนุ่มวัย 19

ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย ทีมชาติฝรั่งเศสเจ้าของแชมป์หนึ่งสมัยในปี 1998 ภายใต้การกุมบังเหียนของ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ตัดสินใจนำ คิเลียน เอ็มบัปเป้ เด็กหนุ่มวัย 19 ปีร่วมทีมไปด้วย และเจ้าตัวได้ลงสนามในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นนัดแรกเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2018 ในเกมที่ทีมชาติฝรั่งเศสเปิดสนามกับทีมชาติออสเตรเลีย โดยเจ้าตัวได้ลงสนาม 90 นาทีเต็ม แม้จะไม่สามารถทำประตูได้แต่ทีมชาติฝรั่งเศสก็มีชัยเหนือออสเตรเลียไป 2-1

เกมนัดที่ 2 ของทีมชาติฝรั่งเศสในฟุตบอลโลกครั้งดังกล่าว อดีตแชมป์ต้องโคจรมาพบกับทีมชาติเปรูตัวแทนจากทวีปอเมริกาใต้ โดยแข่งกันเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2018 และในวันนั้นเหตุการณ์สำคัญก็เกิดขึ้นเมื่อ เอ็มบัปเป้ ยิงประตูแรกของตนเองในฟุตบอลโลกได้สำเร็จ และก็เป็นประตูชัยให้ทีมชาติฝรั่งเศสเอาชนะเปรูไปได้ 1-0 ส่งผลให้ทีมชาติฝรั่งเศสการันตีสู่การเข้ารอบต่อไป

นอกจากนี้ ประตูดังกล่าวของเอ็มบัปเป้ ยังสร้างสถิติให้เจ้าตัวเป็นนักฟุตบอลฝรั่งเศสที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกอีกด้วย ขณะที่เกมที่สามในฟุตบอลโลกของเจ้าตัวคือการถูกเปลี่ยนไปลงสนามในเกมกับทีมชาติเดนมาร์กที่เป็นการแข่งขันนัดสุดท้ายของรอบแรกที่จบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0

วันที่ 30 มิถุนายน 2018 เป็นวันที่เอ็มบัปเป้ ได้สร้างชื่อให้แฟนฟุตบอลทั่วโลกได้สะดุดตาและจดจำลีลาการเล่นของเจ้าตัวอีกครั้งในการแข่งขันรอบที่สองหรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลก 2018 กับทีมชาติอาร์เจนติน่าที่นำมาโดย ลิโอเนล เมสซี

โดยเกมการแข่งขันนัดดังกล่าว เอ็มบัปเป้ โชว์ผลงานที่แสนร้อนแรง เริ่มจากการใช้ความเร็วและความคล่องตัวกระชากบอลกว่าครึ่งสนามไปเรียกลูกโทษที่จุดโทษให้ทีมเลส์ เบลอส์ได้สำเร็จ ก่อนที่อองตวน กรีซมันน์ จะเป็นคนสังหารเข้าไปให้ทีมชาติฝรั่งเศสขึ้นนำไปก่อน 1-0

จากนั้นในขณะที่เกมการแข่งขันแข่งกันไปท่ามกลางสถานการณ์ที่พลิกไปมาจนมาเสมอกันอยู่ที่ 2-2 เอ็มบัปเป้ก็มาเป็นตัวจักรสำคัญที่พลิกเกมให้ทีมชาติฝรั่งเศสกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวสามารถซัดได้ 2 ประตูจนในท้ายที่สุดทีมชาติฝรั่งเศสสามารถเอาชนะอาร์เจนติน่าไปได้ 4-3 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป

เอ็มบัปเป้ ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นได้อย่างต่อเนื่องและมาแผลงฤทธิ์อีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศกับทีมชาติโครเอเชีย โดยเจ้าตัวยิงไปหนึ่งประตูและส่งให้ทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ได้สำเร็จและเอ็มบัปเป้ ก็สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น

โดดเด่นท่ามกลางความผิดหวัง

ฟุตบอลโลก 2022 ทีมชาติฝรั่งเศสและเอ็มบัปเป้ สามารถสร้างผลงานได้อย่างดีในสองนัดแรกเมื่อสามารถเอาชนะทีมชาติออสเตรเลียไปได้ 4-1 และตามมาด้วยการเอาชนะทีมชาติเดนมาร์ก 2-1 ซึ่ง คิเลียน เอ็มบัปเป้ ที่เติบโตขึ้นจากเมื่อ 4 ปีที่แล้วจนสามารถพัฒนาตนเองจนมาเป็นกำลังหลักสำคัญของทีมได้มากขึ้น เจ้าตัวยิงหนึ่งประตูในนัดแรกก่อนที่จะเหมาคนเดียว 2 ประตูในนัดที่เอาชนะทีมชาติเดนมาร์กไปได้ ส่งผลให้ทีมสามารถผ่านเข้ารอบสองหรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างแน่นอนแม้นัดสุดท้ายจะมีการพักผู้เล่นสำคัญและต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติตูนิเซียไป

เอ็มบัปเป้ มายิงได้อีก 2 ประตูในการแข่งขันรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติโปแลนด์ ส่งผลให้ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถเอาชนะไปได้ 3-1 จากนั้นในอีก 2 เกมกับทีมชาติอังกฤษและทีมชาติโมร็อกโกในรอบ 8 ทีมสุดท้ายและรอบรองชนะเลิศแม้เจ้าตัวจะไม่สามารถทำประตูได้ แต่ก็มีส่วนสำคัญกับชัยชนะของทีมจนสามารถพาทีมชาติฝรั่งเศสผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้

โดยก่อนเกมการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศกับอาร์เจนติน่านั้น เอ็มบัปเป้ ยิงประตูในฟุตบอลโลก 2022 ไปแล้วทั้งสิ้น 5 ประตูนำเป็นดาวซัลโวคู่กับลิโอแนล เมสซี ดังนั้นเกมในรอบชิงชนะเลิศจะเป็นการเดิมพันศักดิ์ศรีทั้งเกียรติยศการคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ของทั้งสองชาติและการลุ้นเบียดแย่งตำแหน่งดาวซัลโวหรือผู้ทำประตูสูงสุดประจำทัวร์นาเมนต์

เรื่องผลของการแข่งขันนั้น ท่านผู้อ่านน่าจะได้ทราบกันไปดีอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าหลายท่านก็คงเห็นเหมือนกันนั่นคือความมุ่งมั่น ทุ่มเทและแรงขับเคลื่อนที่ต้องการจะเป็นผู้ชนะของเอ็มบัปเป้ ที่เจ้าตัวแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดในเกมดังกล่าว ทักษะที่ยอดเยี่ยม ความแข็งแกร่งของร่างกาย ความรวดเร็วดุดันสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะการหมั่นฝึกฝนและทำงานหนักเพื่อนพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

การยิงลูกโทษที่จุดโทษในเกมถึง 2 ลูกโดยที่ไม่มีพลาดเป้าหมายเลยนั่นก็แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจยอดเยี่ยมมีความแข็งแกร่งสามารถทนต่อแรงบีบคั้นและความกดดันได้เกินวัย สิ่งเหล่านี้ทำให้ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถต่อกรกับอาร์เจนติน่าได้อย่างสมศักดิ์ศรีจนวินาทีสุดท้าย

แฮตทริกที่ทำได้ในรอบชิงชนะเลิศทุกประตูล้วนมีความหมายและน่าจดจำ ผลงานดังกล่าวส่งให้เจ้าตัวสามารถครองรางวัลดาวยิงสูงสุดด้วยจำนวน 8 ประตูในฟุตบอลโลกครั้งนี้ แน่นอนว่าแม้หากแลกกันได้ผมเชื่อว่าเอ็มบัปเป้ ก็คงอยากได้ตำแหน่งแชมป์โลกสมัยที่ 2 ร่วมกับฝรั่งเศสมากกว่าแต่แม้เจ้าตัวจะผิดหวังอยู่ไม่น้อย แต่ผมเชื่อว่าหากเอ็มบัปเป สามารถรักษามาตรฐานการเล่นและมีการดูแลสภาพร่างกายให้สามารถลงสนามในเกมระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องแบบนี้แล้ว ฟุตบอลโลกสองครั้งที่ผ่านมาของเอ็มบัปเป้ จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการขีดเขียนประวัติศาสตร์บนโลกลูกหนังของเจ้าตัวเท่านั้น

ความสำเร็จที่ต้องไล่ล่าต่อ

แม้ว่า คิเลียน เอ็มบัปเป้ จะผ่านฟุตบอลโลกมาแล้วสองสมัย โดยเป็นทั้งแชมป์และรองแชมป์ แต่ผลงานในระดับทวีปกับทีมชาติฝรั่งเศสนั้นก็มีเพียงการได้แชมป์ฟุตบอลยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก (UEFA Nations League) ในปี 2021 ซึ่งก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้กับการคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือยูฟ่า ยูโรเปียน แชมเปียนชิพ (UEFA European Championship) ที่เอ็มบัปเป้ เองยังไม่เคยได้ รวมทั้งในระดับสโมสรเองเปเอสเช หรือสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง ต้นสังกัดของเจ้าตัวก็ยังคงไล่ล่าแชมป์สโมสรโลกและแชมป์สโมสรยุโรปอยู่เช่นเดียวกับเอ็มบัปเป้ ฉะนั้น โลกฟุตบอลของเจ้าตัวยังคงมีอีกหลายความท้าทายรออยู่

ส่วนสำหรับฟุตบอลโลกนั้น เชื่อแน่ว่าในปี 2026 คิเลียน เอ็มบัปเป จะกลับมานำทีมชาติฝรั่งเศสให้น่าเกรงขามจนทุกทีมต้องหวั่นเกรง เรามาเอาใจช่วยเจ้าตัวกันครับ ผู้แพ้ที่ได้ใจคนทั้งโลกไปครอง

เรื่อง: ธิษณา ธนคลัง (แฟนพันธุ์แท้เอเชียนเกมส์)

ภาพ: Getty Images