‘แซม เวิร์ธธิงตัน’ ผู้รับบท ‘เจค ซัลลี’ ใน ‘Avatar’ บทที่นำชีวิตพบความยากลำบากนอกจอ

‘แซม เวิร์ธธิงตัน’ ผู้รับบท ‘เจค ซัลลี’ ใน ‘Avatar’ บทที่นำชีวิตพบความยากลำบากนอกจอ

‘แซม เวิร์ธธิงตัน’ (Sam Worthington) นักแสดงที่รับบท ‘เจค ซัลลี่’ ในภาพยนตร์ Avatar ก้าวกระโดดในอาชีพหลังผลงานทำเงินถล่มทลาย ชื่อเสียงที่ตามมา กลับนำปัญหาซึ่งส่งผลต่อชีวิตจริงมาสู่ตัวเขาและคนรอบข้าง

  • แซม เวิร์ธธิงตัน กลับมาพร้อมบท เจค ซัลลี ในภาพยนตร์ Avatar: The Way of Water ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
  • ชีวิตของ แซม เวิร์ธธิงตัน ได้รับผลทั้งเชิงบวกและลบจาก Avatar เมื่อปี 2009 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
  • การกลับมารับบทเดิมทำให้เขากลับมาเผชิญความท้าทายในการรับมือผลกระทบจากหนังอีกครั้ง

ภาพยนตร์ Avatar (2009) พลิกโฉมหน้าภาพยนตร์ยุคใหม่ในหลายแง่มุม การมีส่วนร่วมหรือเป็นเจ้าของบทบาทนำในเรื่องนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เหล่านักแสดงเฝ้าฝันถึง แต่โอกาสที่ยิ่งใหญ่และงดงามซึ่งมอบชื่อเสียงให้เหล่านักแสดงในวงการมักมาพร้อมกับการแลกเปลี่ยนแสนเจ็บปวดและแทบเป็นที่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้หากก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้แล้ว

นั่นคือกรณีที่เกิดขึ้นกับ ‘แซม เวิร์ธธิงตัน’ (Sam Worthington) ผู้รับบท ‘เจค ซัลลี่’ ผู้นำเผ่า ‘โอมาติกายา’ แห่งดาวแพนโดรา บทบาทที่เป็นดั่งรางวัลใหญ่ในเส้นทางอาชีพที่นำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักแสดงเบอร์ต้นแห่งวงการกลับทำให้เขาต้องเผชิญปัญหาในชีวิตมากมาย

หลังจากความสำเร็จจากบทบาทในเรื่อง Avatar ชื่อเสียงที่ตามมาทำให้เขาต้องสูญเสียพื้นที่ส่วนตัวไป และแน่นอน ทุกที่ที่เขาไปมีสายตาหลายคู่ที่จ้องมองเขาผ่านเลนส์กล้อง ภาพถ่ายของเขาที่ถูกถ่ายโดยไร้ซึ่งความยินยอมเริ่มปรากฏไปทั่วโลกออนไลน์

หลังจากภาคแรกของอวาตาร์ ชีวิตครอบครัวของเขาเริ่มต้นขึ้น ภรรยาของแซม และลูกชายอีกสามคน พวกเขาตัดสินใจย้ายจากออสเตรเลียมายังนิวยอร์ก เนื่องจากกฏหมายที่นี่เข้มงวดเรื่องปาปารัซซี่มากกว่า เพื่อที่ครอบครัวของเขาจะได้มีพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น การสูญเสียพื้นที่ส่วนตัวให้กับเหล่าปาปารัซซี่เป็นสิ่งที่คนดังระดับโลกไม่มีทางสลัดพ้น แซมถึงขั้นเคยทะเลาะวิวาทกับช่างกล้องผู้ไร้ยางอายจนเขาถูกจับกุมข้อหาทำร้ายร่างกายเมื่อปี 2014

“ผมคงจะเอาเชือกมัดคนที่ขอผมถ่ายรูป ถ้ามีใครก็ตามที่เข้ามาทำอะไรแบบนั้น ความเครียดของผมคงจะพุ่งทะลุเพดานได้เลย” เขาเผย

ความเปลี่ยนแปลงที่เขาเจอดูจะหนักหนามากถึงขั้นที่แอลกอฮอล์กลายเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาก้าวผ่านแต่ละวันไปได้ เมื่อรู้ตัวอีกที แซมก็มีบาร์โปรดอยู่ที่เมืองแล้ว เขาต้องรับมือกับอาการติดแอลกอฮอล์ที่ทำให้เกือบสูญเสียสิ่งสำคัญไป

แอลกอฮอล์ทำให้แซม กลายเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมมันยังเป็นตัวการที่ส่งผลถึงขั้นเสี่ยงที่จะสูญเสียหน้าที่การงานไปด้วย ความสัมพันธ์กับภรรยาผู้ห่วงใย ‘ลาร่า วอร์ธธิงตัน’ (Lara Worthington) ก็ถึงกับยื่นคำขาดว่า “คุณอยากทำอะไรก็ทำ แต่ฉันฉันคงไม่ขออยู่ร่วมกับเรื่องแบบนี้”

ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความห่วงใยมากกว่าความโกรธเคือง และมันก็มีความหมายกับเขามากพอที่จะทำให้เขากลับมาเป็นผู้เป็นคนได้อีกครั้ง

อาการติดเหล้าของเขารุนแรงถึงขั้นมักจะดื่มแชมเปญประมาณ 5 แก้วระหว่างขึ้นเครื่อง ลาร่าบอกว่า เธอเองยังไม่เคยเห็นใครดื่มหนักขนาดนี้ก่อนเครื่องจะออกมาก่อนเลย แต่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกมาก่อนเลยว่า พฤติกรรมการดื่มของเขาผิดปกติแต่อย่างใด ความไม่ชอบตัวตนที่เป็นในขณะนั้น ทำให้เขาเลือกที่จะดื่มเพื่อให้ผ่านแต่ละวันไปได้

หลังจาก 8 ปีที่แสนยากลำบากผ่านไป ตอนนี้เขาผ่านเรื่องร้าย ๆ ที่เคยเกิดมาได้แล้วและดีขึ้นมาก

ทั้งนี้ ภาคต่อของภาพยนตร์ในชื่อ Avatar: The Way of Water ที่เข้าฉายตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้เขาต้องกลับมาอยู่ใต้ Spotlight อีกครั้ง หลังจากพยายามหลีกเลี่ยงมานาน

ที่ผ่านมา เขาพยายามทุ่มความสนใจไปที่หนังนอกกระแสหรือมินิซีรีส์อย่าง The Shack กับ Under the Banner of Heaven เสียมากกว่า แต่ตอนนี้เขาต้องกลับมาสู่โลกของหนังฟอร์มยักษ์อีกครั้ง

ในภาคต่อของอวาตาร์ ตัวละครที่แซม ได้กลับมารับบทอีกครั้ง ดูจะสะท้อนตัวตนในชีวิตจริงของเขาในแง่มุมการมีครอบครัว ตัวละคร ‘เจค ซัลลี่’ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้กอบกู้ชาวนาวีบนดาวแพนโดร่า ในภาพยนตร์ภาคต่อก็มีครอบครัวของตัวเองให้ปกป้องด้วยเช่นกัน

ผู้กำกับดั้งเดิมของแฟรนไชส์อย่าง ‘เจมส์ คาเมรอน’ (James Cameron) ยืนยันด้วยว่า มีจุดเชื่อมโยงระหว่างแซม กับเจค ตัวละครในภาพยนตร์

ในหนังภาคแรก ตัวละครนี้พร้อมจะทำทุกอย่างอย่างห้าวหาญ แต่ชายที่มีครอบครัวให้ปกป้องย่อมไม่ตัดสินทำอะไรโดยปราศจากการคิดหน้าคิดหลัง เขาจะไม่ใช่วีรบุรุษในเทพนิยายอย่างที่เขาเคยเป็นในหนังภาคแรก

ตลอดเส้นทางอาชีพของแซม เขาได้เรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ที่แปรปรวนของเขาเองด้วยเช่นกัน เขาเล่าว่ายิ่งอายุมากเท่าไหร่ คนเราจะยิ่งใจเย็นได้มากเท่านั้น ในวัยเด็ก เขามักจะเป็นพวกหัวร้อน ตะคอกใส่คนอื่น เชื่อมั่นแค่ในความคิดของตัวเองเพียงเท่านั้น เมื่อโตขึ้น เขาเรียนรู้ว่า ถ้ายอมอ่อนน้อมซะบ้าง เขาอาจจะได้เจอเรื่องดี ๆ กว่าที่เคยเจอมาทั้งหมด

เมื่อปี 2017 การถ่ายทำอวาตาร์ภาคสองได้เริ่มขึ้น และการถ่ายทำส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในแทงค์น้ำขนาดยักษ์ นักแสดงต้องเรียนรู้ที่จะกลั้นหายใจให้ได้นานที่สุด เหล่าเพื่อน ๆ นักแสดงของเขาสร้างสถิติที่น่าทึ่ง แต่เขากลับพูดอย่างติดตลกว่า เขากลั้นหายใจไปได้แค่ 15 นาทีเท่านั้น

การถ่ายทำครั้งนี้โหดหินกว่าเรื่องไหน ๆ เพราะนักแสดงทุกคนไม่ใช่แค่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ออกมา พวกเขาต้องถ่ายทอดสีหน้าท่าทางทั้งที่กำลังอยู่ใต้น้ำ นั่นทำให้เราไม่อาจจินตนาการถึงความยากลำบากของการถ่ายทำฉากต่อสู้ใต้น้ำได้เลย

การเดินสายเพื่อโปรโมตอวาตาร์ภาคต่อและงานฉายหนังรอบปฐมทัศน์ อาจเปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอนที่สร้างความเสียหายให้เขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ครั้งหนึ่ง การกลับมาอยู่ในกระแสและเป็นที่สนใจของสื่อเคยทำให้เขาเจอช่วงเวลาที่แสนทรมาน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็หวังที่จะรับมือกับสิ่งที่กำลังจะตามมาอย่างราบรื่นมากกว่าที่เคยทำได้
 

เรื่อง: ปิยวรรณ พลพุทธ (The People Junior)

อ้างอิง:

Variety

Yahoo