06 พ.ย. 2568 | 19:24 น.

KEY
POINTS
“ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องมีมหาเศรษฐีพันล้าน (billionaires) เพราะเอาตรง ๆ นะ มันคือเงินมหาศาลในเวลาที่มีแต่ความเหลื่อมล้ำ และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีมากกว่าไม่ว่าในเมือง ในรัฐ หรือในประเทศของเราก็คือความเท่าเทียม”
นักการเมืองหนุ่มชื่อ ‘โซห์ราน มัมดานี’ (Zohran Mamdani) กล่าวผ่านรายการของช่อง NBC ในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่ต่อมา ‘บิลลี ไอลิช’ (Billie Eilish) นักร้องสาวขวัญใจคนเจน Z จะช่วยตอกย้ำระหว่างขึ้นเวทีรับ ‘รางวัลผู้สร้างนวัตกรรม’ (Innovator Award) ประจำปี ค.ศ. 2025 ของ ‘วอลล์ สตรีท เจอร์นัล’
“ถ้าคุณคือเศรษฐีพันล้าน (ฉันอยากถามว่า) คุณเป็นเศรษฐีพันล้านทำไม?”
นักร้องสาววัย 23 ปี ตั้งคำถามต่อหน้าบรรดามหาเศรษฐีที่มารวมตัวกันในงานรับรางวัลที่นิวยอร์ก พร้อมชักชวนให้นำเงินส่วนเกินที่มีไปทำประโยชน์เพื่อสังคม
แม้สุนทรพจน์ของเธอจะไม่ได้เอ่ยถึงการสนับสนุนจุดยืนของ ‘มัมดานี’ ตรง ๆ แต่ก็สะท้อนทัศนคติของคนรุ่นใหม่ต่างวงการที่มีต่อเศรษฐีพันล้านในมุมเดียวกัน
นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ‘มัมดานี’ ในวัย 34 ปี ชนะการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ด้วยนโยบายขึ้นภาษีคนรวยเพื่อนำมาช่วยลดค่าครองชีพให้คนส่วนใหญ่ภายใต้สโลแกน ‘Affordability’ หรือทำให้คนทั่วไปอาศัยในเมืองนี้ได้สบายกระเป๋ามากขึ้น
ชัยชนะของเขานอกจากจะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ในฐานะ ‘มุสลิมคนแรก’ ที่ได้นั่งเก้าอี้ผู้นำของเมืองที่มีชาวยิวอาศัยอยู่นอกประเทศอิสราเอลมากที่สุดในโลก เขายังเป็น ‘พ่อเมือง’ นิวยอร์กอายุน้อยสุดในรอบกว่า 100 ปี และเป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้าย ‘เดโมแครติก โซเชียลลิสต์ ออฟ อเมริกา’ (D.S.A.) คนแรกที่ได้ตำแหน่งนี้
แน่นอนเส้นทางสู่ความสำเร็จดังกล่าวย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หลายคนเปรียบชีวิตของเขาไม่ต่างจาก ‘เทพนิยาย’ เพราะต้องเผชิญทั้งการเหยียดเชื้อชาติ ศาสนา โดนขู่ฆ่า และมหาเศรษฐี ‘ลงขัน’ สกัดกั้นไม่ให้ชนะเลือกตั้ง
ทว่า อุปสรรคเหล่านั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจของนักการเมืองหนุ่มไฟแรงผู้กล้าคิด กล้าฝัน และฝ่าฟันขวากหนามจนสามารถทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ให้กลายเป็นจริง
ต่อไปนี้คือเรื่องราวของ ‘โซห์ราน มัมดานี’ ชายไว้หนวดเคราผู้มาเขย่านครซึ่งมีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่รวมกันมากที่สุดในโลกด้วยรอยยิ้มและนโยบายสังคมนิยม หนุ่มผู้ชื่นชอบอาหารไทย เป็นแฟนบอลทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซน่อล และใช้ชีวิตติดดิน
“ตอนอยู่ยูกันดา ฉันเป็นคนอินเดีย พอมาอยู่อินเดีย ฉันคือมุสลิม แต่พอย้ายมานิวยอร์ก ฉันคือทุกอย่างทั้งหมดที่กล่าวมา”
‘โซห์ราน มัมดานี’ อ้างคำพูดของ ‘มาห์มูด’ (Mahmood) บิดาของเขาซึ่งบอกเล่าความเป็น ‘คนนอก’ ในสังคมที่เผชิญมาตลอดชีวิต
มาห์มูดเป็นอาจารย์ด้านมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ยุคหลังลัทธิล่าอาณานิคม เขาสอนอยู่มหาวิทยาลัยมาเกเรเร (Makerere) ในเมืองหลวงของประเทศยูกันดา ก่อนพบรักและแต่งงานกับ ‘มีร่า นายร์' (Mira Nair) ผู้สร้างและผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ระหว่างที่เธอเดินทางไปทำวิจัยเพื่อเขียนบทภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่อง ‘Mississippi Masala’ ในยูกันดา ช่วงทศวรรษ 1980s
ทั้งมาห์มูดและมีร่ามีเชื้อสายอินเดียและนับถืออิสลาม หลังทั้งคู่แต่งงานและให้กำเนิดลูกชายชื่อ ‘โซห์ราน มัมดานี’ ในกรุงกัมปาลา เมืองหลวงของยูกันดา เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ.1991 ต่อมาไม่นานครอบครัวนี้ก็ถูกเนรเทศออกจากยูกันดา ด้วยเหตุผลเรื่องเชื้อชาติ
เคราะห์ดีที่มาห์มูดได้งานประจำในประเทศเซาท์แอฟริกา เป็นผู้อำนวยการศูนย์แอฟริกันศึกษาที่ ‘ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เคปทาวน์’ เขาจึงหอบหิ้วครอบครัวอพยพไปที่นั่นจนกระทั่งโซห์ราน อายุ 7 ขวบ ครอบครัวจึงย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง คราวนี้ไปอยู่นิวยอร์ก เพราะมาห์มูดได้งานใหม่เป็นอาจารย์ ‘ไอวี่ ลีก’ ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
นั่นคือเหตุผลที่โซห์รานเคยให้สัมภาษณ์ว่า แม้ครอบครัวของเขาจะจัดอยู่ในหมู่ ‘อภิสิทธิ์ชน’ (พ่อเป็นนักวิชาการ แม่เป็นผู้สร้างภาพยนตร์) แต่เขาก็เข้าใจหัวอกคนไร้รัฐ พลัดถิ่น รวมถึงคนชายขอบเป็นอย่างดีเพราะมีประสบการณ์ตรงจากการถูกเนรเทศและต้องระหกระเหินเร่ร่อนในวัยเด็ก
แม้ชีวิตวัยเด็กในนิวยอร์กจะเติบโตท่ามกลางผู้มีสติปัญญาระดับหัวกะทิในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ ‘โซห์ราน มัมดานี’ เปิดใจกับ ‘นิวยอร์กไทมส์’ ว่า เขาไม่ค่อยมีความสุขกับบ้านหลังใหม่ในช่วงต้น โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุผู้ก่อการร้ายโจมตีตึกเวิลด์เทรดในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 หรือเรียกสั้น ๆ ว่าโศกนาฏกรรม 9/11
ตอนนั้นโซห์รานอายุ 9 ขวบ และรับรู้ ‘อาฟเตอร์ช็อก’ ได้ดี เพราะนอกจากเหตุการณ์ 9/11 จะเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับคนทั่วโลก มันยังเป็นวันโหดร้ายสำหรับชาวนิวยอร์กที่นับถืออิสลาม เพราะเป็นวันที่พวกเขาถูกผลักไสให้กลายเป็น ‘อื่น’ จากบรรยากาศความหวาดกลัวชาวมุสลิมที่กระจายไปทั่ว
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงความรู้สึกชั่วคราวเพราะหลังเอาเรื่องนี้ไปปรับทุกข์กับบิดา มัมดานีผู้พ่อจึงเล่าเรื่องความเป็น ‘คนนอก’ ที่ตนเองเคยเผชิญมา พร้อมให้แง่คิดกลับไปจนลูกชาย ‘ดวงตาเห็นธรรม’
“การเป็นชนกลุ่มน้อยมันทำให้เรามองเห็นสัจธรรมของสถานที่ต่าง ๆ ท่ามกลางพันธสัญญาที่มันมอบให้ด้วย” โซห์รานเล่าถึงคำสอนของพ่อ
“ช่วงเวลานี้เองที่เปลี่ยนมุมมองของผมต่อโลกภายนอก จากที่เคยเศร้าเสียใจกลายเป็นเข้าใจว่า โลกมีทั้งมุมที่พรากบางสิ่งไปและให้อะไรกลับมา”
สิ่งที่โซห์รานได้จากชีวิตใหม่ในนิวยอร์ก คือ อิสระทางความคิดและการใช้ชีวิตอย่างที่ตนเองต้องการ
แม้เติบโตท่ามกลางนักวิชาการในมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่พอถึงวัยเรียนต่ออุดมศึกษา เขากลับไม่เลือกเข้าไอวี่ ลีก ที่พ่อทำงาน แต่เดินทางไปรัฐเมน เพื่อเรียนแอฟริกันศึกษาที่ ‘โบดูอิน คอลเลจ’ (Bowdoin College) โดยให้เหตุผลว่า “ไม่ว่าผมจะเลือกเรียนวิชาอะไร (ใน ม.โคลัมเบีย) ก็จะเจอแต่ลุง ๆ ป้า ๆ (เพื่อนพ่อ) นั่นไม่น่าใช่ประสบการณ์เด็กมหา’ลัยที่ดีสักเท่าไหร่ใช่มั้ยครับ”
นิสัยคิดนอกกรอบ คือ หนึ่งในคุณสมบัติที่ติดตัวโซห์รานมาแต่เด็ก พ่อของเขาเล่าว่า สมัยลูกชายเรียนอนุบาลที่เซาท์แอฟริกา เขาเคยตอบคำถามครูเรื่องสีผิวของตนเองว่าเป็นสี ‘มัสตาร์ด’ แทนที่จะตอบว่า ผิวขาว (white) ผิวดำ (black) หรือเป็นคน ‘ผิวสี’ (colored) ลูกผสมเหมือนเด็กทั่วไป
พออายุประมาณ 10 ขวบ พ่อของเขาเคยตั้งโจทย์ให้เลือกว่าโตขึ้นอยากทำอาชีพอะไร ? ระหว่างคนขายไส้กรอก, คนเก็บขยะ หรือตำรวจ
“เขาพูดว่า ‘ผมคงเป็นตำรวจไม่ได้หรอก โดยเฉพาะในนิวยอร์กตอนนี้’ แน่นอนเขาหมายถึงหลังเหตุการณ์ 9/11” มาห์มูดเล่าคำตอบของลูกชาย
“เขาบอกต่อไปว่า ‘ผมไม่คิดว่าอยากขายไส้กรอกด้วย เพราะมันทำให้คนกินอ้วนและไม่มีความสุข’ จากนั้นเขาจึงตอบว่า ‘ผมคิดว่าเลือกเป็นคนเก็บขยะน่าจะดีกว่า เพราะจะทำให้พื้นที่ต่าง ๆ สะอาด”
นิสัยจิตอาสาชอบช่วยเหลือสังคมเริ่มแสดงออกชัดเจนเมื่อโซห์รานเข้าเรียนที่โบดูอิน คอลเลจ เขาเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งชมรมนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิให้กับชาวปาเลสไตน์เป็นกลุ่มแรกของสถาบัน
หลังเรียนจบปริญญาตรีจากโบดูอิน แม้โซห์รานจะหันไปทำดนตรีฮิปฮอป โดยใช้ชื่อในวงการเพลงแรปว่า ‘Mr. Cardamom’ (นาย-กระวาน) อยู่พักหนึ่ง แต่พอรู้ตัวว่าไม่น่ารุ่ง เขาก็หันกลับมาเอาดีงานการเมืองและทำเพื่อสังคมอีกครั้ง
แรงบันดาลใจที่ทำให้โซห์รานสมัครเป็นสมาชิก D.S.A. ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายที่ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมและคนรากหญ้า คือ ‘เบอร์นี แซนเดอร์ส’ (Bernie Sanders) นักการเมืองฝ่ายซ้ายผู้ปลุกกระแสสังคมนิยมในอเมริการะหว่างหาเสียงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016
โซห์รานสมัครเป็นสมาชิก D.S.A. สาขานิวยอร์กตั้งแต่ปี 2017 และเริ่มทำงานเป็นทีมงานให้กับสาธุคุณ ‘คาเดอร์ เอล-ยาตีม’ (Khader El-Yateem) นักการเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายปาเลสไตน์ที่ลงชิงชัยเก้าอี้สมาชิกสภานครนิวยอร์กในเวลานั้น
จากนั้นปีต่อมาเขาก็เลือกไปทำงานด้านอสังหาฯ เป็นที่ปรึกษาช่วยปกป้องคนรากหญ้าไม่ให้ถูกยึดบ้านที่อยู่อาศัยเพราะพิษเศรษฐกิจ
หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานภาคประชาชนอยู่เบื้องหลังจนเข้าใจปัญหา โซห์รานตัดสินใจลงเลือกตั้งครั้งแรกด้วยการสมัครเป็นสมาชิกสภาของมลรัฐนิวยอร์กในปี 2020 และได้ชัยชนะ 2 สมัยติดต่อกัน
เขากลายเป็น 1 ใน 8 สมาชิก D.S.A. ในสภาของรัฐนิวยอร์กซึ่งรู้จักกันในชื่อ ‘Socialists in Office’ หรือกลุ่ม ‘นักสังคมนิยมในสภา’ กระนั้น ชื่อของ ‘โซห์ราน มัมดานี’ ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จนกระทั่งการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนิวยอร์กปี 2025 มาถึง
‘โซห์ราน มัมดานี’ เริ่มเป็นข่าวพาดหัวไปทั่วโลกในเดือน มิ.ย. 2025 เมื่อเขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักการเมืองมุสลิมคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งขั้นต้นได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก โดยเอาชนะได้ทั้ง ‘พ่อเมือง’ ที่อยู่ในตำแหน่งในขณะนั้นอย่าง ‘อีริก อดัมส์’ (Eric Adams) และนักการเมืองจอมเก๋า - อดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กอย่าง ‘แอนดรูว์ คูโอโม’ (Andrew Cuomo)
จากนั้นในการเลือกตั้งใหญ่ปลายปีเดียวกัน ‘คูโอโม’ ตัดสินใจลงแข่งอีกครั้งในนาม ‘ผู้สมัครอิสระ’ และได้รับการหนุนหลังจากบรรดามหาเศรษฐี รวมถึง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ก็พ่ายให้กับ ‘มัมดานี’ อีกรอบ แม้ครั้งนี้จะผนึกกำลังกับ ‘อีริก อดัมส์’ ที่ถอนตัวไม่ลงแข่งเพื่อเทคะแนนให้ ‘คูโอโม’
นักวิเคราะห์ระบุว่า ชัยชนะของ ‘มัมดานี’ ครั้งนี้มาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่บุคลิกส่วนตัวที่ดีมีเสน่ห์ หน้าตายิ้มแย้ม และไหวพริบในการตอบคำถามซึ่งมักแสดงออกถึงทัศนคติเชิงบวกเป็นที่ถูกใจวัยรุ่นและคนยุคใหม่
นอกจากนี้ เขายังมีทักษะการสื่อสารกับฐานเสียงผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียเป็นอย่างดี มีการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย ตรงประเด็น และเป็นธรรมชาติ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด นโยบายลดค่าครองชีพภายใต้สโลแกน ‘Affordability’ ของเขาคือหัวใจสำคัญที่คนพูดถึงมากที่สุด และทำให้เขาครองใจคนส่วนใหญ่จนชนะการเลือกตั้งได้ในที่สุด
นิวยอร์กไทมส์อ้างข้อมูลจากทีมหาเสียงของเขา ระบุว่า นโยบายแก้ปัญหาปากท้องชื่อ Affordability มาจากวิสัยทัศน์ของมัมดานีโดยตรง ทั้งนี้ เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งคนอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้ามักชูนโยบายสร้างความปลอดภัยในพื้นที่สาธาณะตามผลโพลที่อ้างว่าคนนิวยอร์กให้ความสำคัญมากที่สุด
แต่จากประสบการณ์คลุกคลีกับคนรากหญ้าและผู้ใช้แรงงานมาหลายปี มัมดานีเชื่อมั่นว่า ปัญหาค่าครองชีพและเงินเฟ้อ ซึ่งมีอัตราเร่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากนโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ คือเรื่องที่คนทั่วไปหนักใจมากกว่า
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงชูนโยบายเรือธงด้วยการประกาศว่าจะตรึงราคาค่าเช่าที่อยู่อาศัยในโครงการที่รัฐดูแลไม่ให้ขึ้นค่าเช่าเป็นเวลา 4 ปี / ช่วยอุดหนุนค่าเลี้ยงดูบุตรแบบครบวงจรสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ - 5 ขวบ / ยกเลิกการเก็บค่าโดยสารรถประจำทางทุกสาย และเปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตของรัฐเพื่อจำหน่ายสินค้าราคาถูกแก่ประชาชน
สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ทำโครงการเหล่านี้ หลัก ๆ จะมาจากการขึ้นภาษีคนรวยผู้มีรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของประชากรทั้งหมดประมาณ 8.4 ล้านคนในนครนิวยอร์ก
ขณะที่นิตยสาร ‘ฟอร์บส์’ รายงานว่า ปี 2025 นครนิวยอร์กมีเศรษฐีที่ครอบครองทรัพย์สินมูลค่าเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาศัยอยู่ทั้งหมด 123 คน นับเป็นเมืองที่มีมหาเศรษฐีระดับพันล้านขึ้นไปอาศัยอยู่รวมกันมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
ดังนั้น การก้าวขึ้นสู่อำนาจของโซห์ราน มัมดานี พร้อมนโยบายขึ้นภาษีคนรวยเพื่อนำมาช่วยคนรากหญ้าจึงถือเป็นความกล้าเผชิญหน้ากับมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลเหล่านี้
หลังจาก ‘มัมดานี’ สร้างปรากฏการณ์ชนะการเลือกตั้งภายในพรรคเดโมแครตและเป็น ‘เต็งหนึ่ง’ พ่อเมืองนิวยอร์กคนใหม่ บรรดากลุ่มนักธุรกิจและมหาเศรษฐี นำโดย ‘ไมเคิล บลูมเบิร์ก’ อดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก เริ่มออกมาเคลื่อนไหวด้วยการตั้งกลุ่มรับบริจาคเงินเพื่อรณรงค์สกัดกั้นไม่ให้เขาชนะการเลือกตั้งใหญ่
นอกจากนั้น มัมดานียังถูกชาวยิวจำนวนมากต่อต้าน โดยเน้นตั้งคำถามเกี่ยวกับจุดยืน หลังเขาเคยออกมาเคลื่อนไหวปกป้องชาวปาเลสไตน์ และคัดค้านสงครามอิสราเอลถล่มกาซ่าเพื่อตอบโต้กลุ่มฮามาส ถึงขั้นเคยประกาศว่า ถ้าชนะการเลือกตั้งและ ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลเดินทางมานิวยอร์ก เขาจะจับตัวส่งศาลโลกในข้อหา ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ชาวปาเลสไตน์ทันที
กระแสต่อต้าน ‘มัมดานี’ รุนแรงถึงขั้นมีชายจากรัฐเท็กซัสคนหนึ่งถูกตำรวจควบคุมตัวข้อหาคุกคามข่มขู่ หลังกระหน่ำส่งข้อความขู่ฆ่านักการเมืองหนุ่มมุสลิมเชื้อสายอินเดียคนนี้ด้วยเนื้อหาเหยียดเชื้อชาติ ศาสนา และทัศนคติทางการเมือง
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ร่วมวงต่อต้านด้วยการโจมตีมัมดานีว่าเป็น ‘คอมมิวนิสต์ 100%’ พร้อมขู่จะตัดงบรัฐบาลกลางที่ส่งให้นิวยอร์กหากมัมดานีชนะเลือกตั้ง แถมยังหันไปสนับสนุนอดีตคู่กัดของตัวเองอย่าง ‘คูโอโม’ ในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงด้วย
อย่างไรก็ตาม แรงเสียดทานเหล่านี้ไม่อาจหยุดยั้งความตั้งใจในการสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยหลังได้ตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต มัมดานีตัดสินใจเดินหน้าเข้าหาบรรดาแกนนำฝ่ายต่อต้านกลุ่มต่าง ๆ เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ และแสดงถึงความจริงใจในการเข้ามาทำงานเพื่อสังคม
“ผมจะเป็นนายกเทศมนตรีที่คุณพูดได้อย่างภูมิใจว่าเป็นผู้นำของคุณ ผมมิอาจให้สัญญาว่า พวกคุณจะเห็นด้วยกับผมทุกเรื่อง แต่ผมจะไม่มีวันหลบหน้าไปไหน
“ถ้าคุณเจ็บปวด ผมจะพยายามช่วยรักษา ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ผมจะพยายามเข้าใจคุณ ความทุกข์ร้อนของคุณจะเป็นความทุกข์ใจของผม และความหวังของคุณจะมาก่อนความหวังของผมเสมอ”
มัมดานีประกาศหลังได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ก่อนเดินหน้าปรับความเข้าใจกับฝ่ายต่อต้านทั้งภายในและนอกพรรค ท่ามกลางความเชื่อที่ว่า “การโต้เถียงเอาชนะคะคานเชิงอุดมการณ์ไม่มีความหมาย หากไม่ได้นำนโยบายที่คิดไว้ไปทำให้เกิดขึ้นจริง”
ด้วยเหตุนี้ การเข้าหาและเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามจึงเน้นรับฟังและทำความเข้าใจมากกว่าปะทะคารม ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งได้รับคำชมและความนิยมเพิ่มขึ้น
หนึ่งในวิธีชี้แจงจุดยืนแบบ ‘บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น’ คือการเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่เขาตั้งใจทำคือการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนโดยไม่มีเจตนาทำร้ายใคร ยกตัวอย่างนโยบายช่วยเหลือผู้เช่าที่อยู่อาศัย ไม่ได้หมายถึงการลงดาบเจ้าของที่พัก และการออกมาปกป้องสิทธิชาวปาเลสไตน์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต่อต้านชาวยิว
ท่าทีประนีประนอม รับฟัง และเป็นมิตรกับทุกฝ่าย แต่ไม่ทิ้งจุดยืนของตนเองนี้ นอกจากจะช่วยลดแรงเสียดทาน ยังทำให้ได้รับความเห็นใจจากฝั่งตรงข้าม โดยเฉพาะในหมู่นักธุรกิจ และชาวยิวหัวก้าวหน้า หนึ่งในนั้น คือ ‘แบรด แลนเดอร์’ (Brad Lander) หัวหน้าผู้ตรวจเงินแผ่นดินของนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นอดีตคู่แข่งในการเลือกตั้งขั้นต้นที่ต่อมาหันมาช่วยหาเสียงให้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรหลักที่เหนียวแน่นของมัมดานีในการเลือกตั้งใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่นำโดย ‘เบอร์นี แซนเดอร์ส’ ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้เขา และ ‘อเล็กซานเดรีย โอกาซิโอ - กอร์เตซ’ (AOC) ส.ส.หญิงฝีปากกล้าในพื้นที่
กลยุทธ์การหาเสียงแบบลงพื้นที่เคาะประตูบ้านและถ่ายทอดผ่านโซเชียลมีเดียแบบไม่ตัดต่อของนักการเมืองฝ่ายซ้ายกลุ่มนี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ยังเปิดเผยมุมมองความคิดและชีวิตส่วนตัวของนักการเมืองแบบชัดเจน
หนึ่งในมุมที่คนสนใจ คือ เรื่องราวในชีวิตประจำวันของนักการเมืองฝ่ายซ้ายคนนี้ ซึ่งสะท้อนความเรียบง่ายติดดิน กินอาหารข้างถนน และเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเหมือนคนทั่วไป
ระหว่างการหาเสียงเป็น ‘พ่อเมือง’ นิวยอร์ก เขายังคงพักอาศัยอยู่ในห้องเช่ากับภรรยาชื่อ ‘รามา ดูวาจิ’ (Rama Duwaji) ศิลปินนักวาดภาพประกอบและแอนิเมชัน โดยทั้งคู่พบรักกันผ่านแอปหาคู่ในปี 2021 และจดทะเบียนเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน ก.พ. 2025
ระหว่างให้สัมภาษณ์กับ ‘เดวิด เรมนิค’ (David Remnick) นักเขียนชื่อดังของนิตยสาร ‘เดอะ นิวยอร์กเกอร์’ มัมดานีเปิดเผยว่า หนึ่งในเมนูอาหารที่เขาและภรรยาชื่นชอบมากที่สุด คือ ‘ก้อยเนื้อ’ จากร้านอาหารไทยใกล้บ้านในย่านแอสโตเรีย (Astoria) ในเขตควีนส์ ของนครนิวยอร์ก
นอกจากนี้ เขายังเผยกับสื่ออีกช่องบนโซเชียลมีเดียว่า ร้านอาหารที่ปิดตัวไปแล้วทำให้เขาเสียใจมากที่สุด คือ ‘Absolute Bagels’ ร้านขายขนมปังเบเกิลชื่อดังใกล้มหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่เจ้าตัวกินเป็นประจำตั้งแต่เด็ก โดยร้านนี้ก็มีเจ้าของเป็นคนไทย แต่ตัดสินใจขายกิจการไปเมื่อปลายปี 2024 หลังดำเนินธุรกิจนี้มานานกว่า 30 ปี
นอกจากเรื่องอาหาร มัมดานียังชื่นชอบกีฬาและการออกกำลังกาย โดยเขาเคยลงแข่งวิ่งระยะไกลในรายการ ‘นิวยอร์กมาราธอน’ ถึง 2 สมัย และชอบดูฟุตบอล เป็นแฟนทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ มี ‘เธียร์รี อองรี’ อดีตศูนย์หน้าชาวฝรั่งเศสเป็นนักเตะขวัญใจในวัยเด็ก
นั่นคือเรื่องราวทุกแง่มุมของโซห์ราน มัมดานี ชายหนุ่มผู้มีชีวิตส่วนตัวเรียบง่าย ไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่มีความฝันยิ่งใหญ่ซึ่งหลายคนกังขาว่าไม่น่าเกิดขึ้นได้ แต่เขาก็พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง
“ค่ำคืนนี้เราเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ เหมือนที่เนลสัน แมนเดลา เคยพูดว่า ‘มันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ทุกครั้ง จนกระทั่งเราทำสำเร็จ’ เพื่อนเอ๋ย เราทำสำเร็จแล้ว”
มัมดานียกคำพูดของรัฐบุรุษประเทศเซาท์แอฟริกามาประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งขั้นต้น ก่อนเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งในการเลือกตั้งใหญ่ และกลายเป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อสายมุสลิมคนแรกที่ได้นั่งเก้าอี้ ‘พ่อเมือง’ นิวยอร์กในที่สุด
เรื่องราวความสำเร็จทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากเขาไม่ได้รับแรงสนับสนุนที่ดีจากครอบครัว มีความคิดเป็นของตนเอง แต่ถ่อมตัว และมองโลกด้วยความหวัง ที่สำคัญ ความหวังนั้นไม่ใช่การทำเพื่อตนเอง หรือพวกพ้อง แต่เป็นการทำเพื่อผู้อื่นที่เดือดร้อน และเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม
เรื่อง: ภานุวัตร เอื้ออุดมชัยสกุล
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
BBC News. “Who Is Zohran Mamdani, the Socialist Mayor of New York?” BBC News. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.bbc.com/news/articles/cvge57k5p4yo.
BBC News. “Zohran Mamdani: New York’s First Muslim Mayor.” BBC News. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.bbc.com/news/videos/cdx4qpdvjjko.
CNN Politics. “Zohran Mamdani Fast Facts.” CNN. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://edition.cnn.com/politics/zohran-mamdani-fast-facts.
The Economist. “Zohran Mamdani: Trump’s Worst Nightmare May Really Be a Gift to Him.” The Economist. 27 มิถุนายน 2025. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.economist.com/united-states/2025/06/27/zohran-mamdani-trumps-worst-nightmare-may-really-be-a-gift-to-him.
Forbes. Contino, Genna. “The Cities with the Most Billionaires 2025.” Forbes. 2 เมษายน 2025. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.forbes.com/sites/gennacontino/2025/04/02/the-cities-with-the-most-billionaires-2025.
NBC News. “Zohran Mamdani Says Don’t Think Billionaires Define What’s Possible.” NBC News. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.nbcnews.com/politics/elections/zohran-mamdani-says-dont-think-billionaires-rcna215821.
Newsweek. “Zohran Mamdani Declares Victory in New York Mayor Democratic Primary Speech (Full).” Newsweek. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.newsweek.com/zohran-mamdani-declares-victory-new-york-mayor-democratic-primary-speech-full-2090326.
The New York Times. “Mamdani Schools Gifted and Talented Program.” The New York Times. 2 ตุลาคม 2025. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.nytimes.com/2025/10/02/nyregion/mamdani-schools-gifted-and-talented-program.html.
The New York Times. “Zohran Mamdani and the Mayor Race Takeaways.” The New York Times. 14 ตุลาคม 2025. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.nytimes.com/2025/10/14/magazine/zohran-mamdani-mayor-race-takeaways.html.
YouTube. “Interview with Zohran Mamdani.” เผยแพร่โดย NBC News. เข้าถึงเมื่อเดือนตุลาคม 2025 จาก https://www.youtube.com/watch?v=iQVsVNPkPmE&t=27s.