‘กฤษณ์ สีวะรา’ นายพลผู้ครองกำลังปฏิวัติ กับเกมอำนาจที่พลิกโฉม 14 ตุลาฯ

‘กฤษณ์ สีวะรา’ นายพลผู้ครองกำลังปฏิวัติ กับเกมอำนาจที่พลิกโฉม 14 ตุลาฯ

ในเงามืดของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ท่ามกลางเสียงปืนและการโค่นล้มอำนาจเผด็จการ ชื่อของ ‘พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา’ ปรากฏขึ้นในฐานะนายพลผู้กุมกลไกกองทัพและขั้วอำนาจปฏิวัติ เขาเป็นทั้งผู้ร่วมสร้างระบอบ และผู้มีบทบาทยับยั้งไม่ให้เลือดนองไปกว่านั้น ประวัติศาสตร์บันทึกเขาไว้ในฐานะ ‘นายพลสามเหล่าทัพ’ ที่เดินอยู่บนเส้นบางระหว่างความภักดีต่อผู้บังคับบัญชา กับความรับผิดชอบต่อประชาชน

KEY

POINTS

14 ตุลาคม 2568 วันนี้เมื่อ 52 ปีที่แล้ว เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของนักเรียน-นิสิต-นักศึกษา และประชาชน จำนวนมาก เพื่อเรียกร้องให้ปล่อย 12 แกนนำนักศึกษา ที่ออกมาแจกใบปลิว และ ‘ไขแสง สุกใส’ สส.อีสาน เรียกร้องรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตย ก่อนสถานการณ์ ‘สุกงอม’ กลายเป็นวิกฤตการณ์การเมืองครั้งประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคม 2516

ตัวละครสำคัญในเหตุการณ์ ’14 ตุลาฯ 16’ นอกจาก ‘จอมพลถนอม กิตติขจร’ นายกรัฐมนตรี - ‘จอมพลประภาส จารุเสถียร’ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย - ‘พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร’ บุตรชายจอมพลถนอม-ลูกเขยจอมพลประภาสแล้ว

อีก 1 ตัวละครหลัก-สำคัญ คือ ‘พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา’ ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น แต่ไฉนกลับมีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง-บันทึกปากคำต่างกรรม-ต่างวาระ ว่า เขามีส่วนเกี่ยวข้องและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นองเลือดครั้งประวัติศาสตร์การเมืองไทยในครั้งนี้  

ประวัติชีวิต-การศึกษา

‘พล.อ. พล.ร.อ. พล.อ.อ. กฤษณ์ สีวะรา’ เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2456 ที่บ้าน ‘พ.อ.พระยาวิเศษสัจธาดา’ ผู้เป็นตา สะพานอ่อน ถนนบรรทัดทอง อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร บิดาชื่อ ‘ร.ต.ชิต สีวะรา’ มารดาชื่อ ‘ละมุน’ ภรรยาชื่อ ‘คุณหญิง สุหร่าย สีวะรา’ (สกุลเดิม ลิ้มเจริญ) มีบุตรธิดา 9 คน 

‘กฤษณ์’ ไม่ใช่ชื่อแรก-ชื่อเดียว แต่ ‘เปลี่ยนชื่อ’ รวมทั้งหมด 4 ครั้ง ‘ละออ’ เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อยามลืมตาดูโลก เมื่ออายุได้ 3 ขวบ เปลี่ยนชื่อเป็น ‘บุญชุบ’ ในช่วงรับราชการทหาร ‘ติดยศร้อยเอก’ เปลี่ยนชื่อเป็น ‘กริสน์’ ก่อนจะมาเป็น ‘กฤษณ์’ เมื่อ ‘ติดยศพันโท’ อันเป็นชื่อที่รู้จักกันมาจนถึงปัจจุบัน

.

‘กฤษณ์’ จบการศึกษาก่อนเข้ารับราชการทหารจาก โรงเรียนสีตบุตรบำรุง โรงเรียนวัดสามจีน (โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัยปัจจุบัน) โรงเรียนนายร้อยชั้นปฐม โรงเรียนมหาเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัย) โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

เส้นทางของ ‘กฤษณ์’ ก่อนติดยศ ‘นายพลสามเหล่าทัพ’ ผ่านการร่ำเรียนเคล็ดวิชาทางการทหาร-หลักสูตรผู้บังคับบัญชา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนทหารราบชั้นผู้บังคับกองร้อย รุ่นปี 2489 โรงเรียนทหารราบชั้นผู้บังคับกองพัน รุ่นที่ 1 การอบรมหลักสูตรการรบร่วม การศึกษาในวิทยาลัยการทัพบก รุ่นที่ 1 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 3 การอบรมหลักสูตรทำความคุ้นเคยกับอาวุธใหม่ ณ FORT BLISS ดูงานที่ FORT MONROE,FORT JACKSON,FORT BENNING,FORT RILEY และ FORT CAMPBEL สหรัฐอเมริกา 

ปูทางก่อนติดยศ ‘สามนายพล’ 

‘กฤษณ์’ ติด ‘ยศร้อยตรี’ ตั้งแต่อายุ 23 ปี เลื่อนขั้น-ขึ้นตำแหน่งสูงตามลำดับเรื่อยมา ใช้เวลา 29 ปี ‘ติดยศพลเอก’ ขณะมีอายุ 52 ปี  เป็น ‘นายทหารสายบังคับบัญชา’ ไล่เรียงตั้งแต่ ผู้บังคับหมวดโรงเรียนทหารราบ ผู้บังคับหมวดกองโรงเรียนนายสิบพลรบ ผู้บังคับหมวดกองโรงเรียนนายสิบทหารราบ ผู้บังคับกองร้อยที่ 4 กองพันทหารราบที่ 3 มหาดเล็ก รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 นายทหารฝึกหัดราชการโรงเรียนทหารราบ รองผู้บังคับกองพันที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 ผู้บังคับกองพันที่ 2 มหาเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 ผู้บังคับกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ รองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก รักษาพระองค์ 

นักการทหาร - (นัก) การเมือง 

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ตลอดระยะเวลา 29 ปี ในชีวิตการรับราชการทหาร ‘กฤษณ์’ ขาหนึ่งมีบทบาททางทหาร เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 1 และเข้าสู่ไลน์ ‘5 เสือทบ.’ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารบก ต่อจาก ‘จอมพลประภาส’ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2516 และรักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2517 ก่อนจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.2518 

อีกขาหนึ่ง ‘กฤษณ์’ เดินเกมการเมืองให้กับ ‘แปลก-สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส’ ขับเคลื่อนกลไก ‘พรรคการเมือง’ ในสภาล่าง-สภาสูง ไล่ตั้งแต่การดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่สอง ทั้ง 2 ครั้ง (ภายหลังคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2475 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475 บัญญัติให้มีสภาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ประเภท) สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (2502-2511) สมาชิกสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ สมาชิกวุฒิสภา (2511-2512) 

ผู้ควบคุมเสียง ‘พรรคทหาร-4 นายพล’

‘กฤษณ์’ เป็น ‘ผู้ควบคุมเสียง’ ให้กับ ‘4นายพล’ ปี 2498 ‘จอมพลแปลก (ป.) พิบูลสงคราม’ ส่งทหาร-ตำรวจ ก่อตั้ง ‘พรรคเสรีมนังคศิลา’ เขาเป็นรองเลขาธิการพรรค ฝ่ายควบคุมเสียง ในช่วง 2500 - รัฐธรรมนูญ 2512 ‘จอมพลสฤษดิ์’ เป็น ‘หัวหน้าพรรค’ และ ‘ถนอม-ประภาส’ เป็น ‘รองหัวหน้าพรรค’ โดยมี ‘กฤษณ์’ เป็น ‘รองเลขาธิการพรรคคนที่หนึ่ง’ และ ‘หัวหน้าผู้ควบคุมเสียง’ พรรคชาติสังคม เขายังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง-หัวหน้าควบคุมเสียง ‘พรรคสหประชาไทย’ ที่มี ‘จอมพลถนอม’ เป็นหัวหน้าพรรค เป็นการเมืองในช่วงทศวรรษที่ ‘พรรคทหาร’ ครองเมือง ท่ามกลาความ ‘เสื่อมถอย’ ของ ‘พรรคทหาร’ ที่เกิดจากการแย่งชิงอำนาจของ ‘สี่จอมพล’ ‘แปลก-สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส’ กับอีก ‘1พันเอก’ - พ.อ.ณรงค์

‘กฤษณ์’ ในยุคที่ข้าราชการ-นักการเมืองสามารถดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีได้ จึงเป็นฟันเฟืองในกลไกฝ่ายบริหาร ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษา (2512-2513)  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (2513-2514) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (2515-2516) สมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร และขึ้นสู่จุดสูงสุดในตำแหน่ง ‘เสนาบดี’ ฝ่ายบริหารบนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (2519) ในรัฐบาลม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช 

‘กุนซือ’ คณะปฏิวัติ

แม้ว่า ‘กฤษณ์’ จะไม่ได้ยืนอยู่ ‘แถวหน้า’ ทางประวัติศาสตร์การรัฐประหาร-วิกฤตการณ์การเมืองไทย แต่ ในยุคที่ ‘อำนาจนิยม’ ในกองทัพ ‘เบ่งบาน’ ตั้งแต่ พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา เขามีตำแหน่งในฐานะผู้บังคับการ-ผู้บัญชาการ ‘กองกำลังปฏิวัติ’ มีบทบาททั้ง ‘ผู้ก่อการ’ และ ‘ผู้ต่อต้าน’ ร่วมปราบปรามการจลาจล จาก ‘นายปรีดี พนมยงค์’ กับคณะ ที่มีความพยายามยึดพระบรมมหาราชวัง เพื่อล้มรัฐบาลจอมพล ป. เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2492 ร่วมปราบปราม ‘กบฎแมนฮัตตัน’ จากทหารเรือกลุ่มหนึ่ง ที่จับจอมพล ป. นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ขณะทำพิธีรับมอบเรือขุดแมนฮัตตัน ที่ท่าราชวรดิฐ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2494 

บุคคลสำคัญ-กำลังหลักในการก่อการรัฐประหารในปี 2500 บันทึกไว้ว่า ‘พลจัตวากฤษณ์’ รองผู้บัญชาการกองพลที่ 1 (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ร่วมรัฐประหาร กับ ‘พล.อ.สฤษดิ์’ ผู้บัญชาการทหารบก- ‘พล.ท.ถนอม’ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและแม่ทัพภาคที่ 1 และ ‘พล.ต.ประภาส’ ยึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป. เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2500 

‘กฤษณ์’ มีชื่อเป็น 1 ใน ‘กองบัญชาการคณะปฏิวัติ’ เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2501 ในฐานะเป็น ‘ที่ปรึกษาฝ่ายวางแผน’ และกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรฉบับช่วยคราว (29 พ.ย. ปี 2501) เป็นสมาชิกสภาบริหารคณะปฏิวัติและเลขาธิการคณะปฏิวัติ (17 พ.ย.2514-2515 ม.ค.16) ที่มีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็น ‘หัวหน้าคณะปฏิวัติ’ 

14 ตุลาฯ 16 เสียงแตก-สองกระแส

ในช่วงเหตุการณ์ ‘14 ตุลา 2516’ มีการกล่าวถึง ‘กฤษณ์’ ในเหตุการณ์ ‘วันมหาวิปโยค’ ไว้ ‘สองกระแส’ กระแสแรก ว่า เขาคือ ‘ผู้อยู่เบื้องหลัง’ การปราบปรามขบวนการนักศึกษา-ปัญญาชน แต่อีกกระแส ตรงกันข้าม-โต้แย้ง ว่า แม้ว่าเขามีสถานะเป็น ‘ผู้บัญชาการทหารบก’ ในขณะนั้นแต่ “ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง”!!! 

มิหน้ำซ้ำยังได้ใช้วิธีการและกุศโลบาย ในการคลี่คลายสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายถึงขั้นประหัตประหารคนไทยด้วยกัน โดยการตรวจและเก็บคำสั่งที่ไม่ถูกต้องไม่ให้ลงไปสู่หน่วยทหารในบังคับบัญชา (อ้างอิงจาก ‘คำไว้อาลัย’ ของ พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ ในหนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก กฤษณ์ สีวะรา ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2519)

สำทับด้วย ‘คำไว้อาลัย’ ของ ‘พล.อ.บุญชัย บำรุงพงศ์’ รุ่นน้องโรงเรียนนายร้อยทหารบก-ร่วมรบสงครามมหาเอเชียบูรพา บอกเล่าเหตุการณ์ ‘14 ตุลา 16’ ถึงวีรกรรมของ ‘กฤษณ์’ ไว้ว่า 

“เหตุการณ์อันระทึกใจที่ท่านและผมได้ปฏิบัติหน้าที่ร่วมเป็นร่วมตาย นั่นก็คือเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 9-15 ต.ค.2516 ท่านดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ผมเป็น เสนาธิการทหารบก จากความสุขุมเยือกเย็นและรอบคอบ ก่อนตกลงใจทุกครั้ง ท่านได้ปรึกษาหารือกับฝ่ายอำนวยการของท่านโดยเฉพาะกับผมตลอดเวลา อดนอนก็อดนอนด้วยกัน รับประทานอาหารไม่เป็นเวลาด้วยกัน นับว่าการปฏิบัติหน้าที่ของท่านช่วงนี้ก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่พี่น้องร่วมชาติอย่างเอนกอนันต์ มิฉะนั้นแล้วการเสียเลือดเนื้อของประชาชนและทหารทั้งสองฝ่ายอย่างมหาศาลจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

ภายหลังสถานการณ์การปะทะระหว่างทหาร-ตำรวจกับขบวนการนักศึกษาคลี่คลายลง ‘ถนอม-ประภาส-ณรงค์’ เดินทางออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2516 และหลังจากเหตุการณ์ ‘14 ตุลา 2516’ เพียง 2 วัน พล.อ.กฤษณ์ ได้รับแต่งตั้งเป็น ‘ผู้อำนวยการรักษาความสงบ’ ในสมัย ‘รัฐบาล 16 เดือน’ ที่มี ‘สัญญา ธรรมศักดิ์’ เป็นนายกรัฐมนตรี 

‘สัญญา ธรรมศักดิ์’ บันทึก ‘คำรำลึก’ ถึง ‘ท่านแม่ทัพฯ’ ไว้ในหนังสือ ‘ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก กฤษณ์ สีวะรา ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2519’ บางช่วงไว้ว่า

“นับตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศทางวิทยุกระจายเสียง ให้กระผมเป็นนายกรัฐมนตรีโดยปัจจุบันทันด่วน เพื่อระงับเหตุการณ์อันร้ายแรงซึ่งเกิดขึ้นในบ้านเมือง ในขณะนั้นกระผมไม่ได้เตรียมตัวมาสำหรับความรับผิดชอบอันหนักยิ่งนั้นมาแต่ก่อนเลย แม้แต่ในขณะ 1 วินาทีก่อนที่พระราชดำรัสได้ระบุนามกระผม

“ในช่วงชั่วโมงนี้เอง ที่ท่าน พลเอก กฤษณ์ สีวะรา ได้เข้ามามีพระคุณแก่กระผม กระผมตัดสินใจเชิญท่านเข้ามาปรึกษาในฐานะที่ท่านเป็นผู้บัญชาการทหารบกอยู่ในขณะนั้น โดยเฉพาะก็เพื่อปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ประการที่หนึ่ง คือ ระงับเหตุการณ์ร้ายแรงให้ได้เสียก่อน แล้วกระผมก็คิดว่า รัฐบาลชุดระงับเหตุการณ์นี้ควรจะมีลักษณะเป็น ‘ยาสมานแผล’ จึงได้ปรึกษาท่านในเรื่องการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นร่วมรับผิดชอบด้วย

“ท่านแม่ทัพฯ ไม่ยอมรับตำแหน่งบริหารราชการในรัฐบาลชุดใหม่แต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่กระผมก็ขอร้องให้ท่านเป็นผู้อำนวยการรักษาความสงบ ซึ่งชื่อนี้ไม่มีอยู่ในทำเนียบและไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนแต่ประการใด”

เปิดใจ ขอรับผิดชอบต่อ ‘นายกฯสัญญา’ - ประชาชน

‘กฤษณ์’ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก-ผู้อำนวยการรักษาความสงบในขณะนั้น พูด ‘เปิดใจ’ ต่อหน้า ‘สัญญา ธรรมศักดิ์’ หัวหน้ารัฐบาล ‘กลางอากาศ’ ในรายการ ‘พบประชาชน’ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2516 ครบรอบ 1 เดือน เหตุการณ์ ‘14 ตุลา 2516’

“ผมอยู่ในฐานะหนึ่งเหมือนกันที่จะต้องรับชอบในเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว ผมไม่อยากจะพูดว่า ผมเป็นคนถูกหรืออยู่นอกรายการ ผมเป็นเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ถ้าจะมีบกพร่องในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการบก และเป็นนายทหารผู้ใหญ่ ผมขอรับผิดต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และแก่ประชาชนทุกท่าน”

ภายหลัง ‘กฤษณ์’ เกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2518 มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งให้เป็น ‘ที่ปรึกษาคณะกรรมการรักษาความมั่นคงภายใน’ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2518 เป็นต้นไป 

‘กฤษณ์ สีวะรา’ ถึงแก่อนิจกรรมเช้าวันศุกร์ ที่ 23 เม.ย.2519 ด้วยโรคหัวใจ ประวัติศาสตร์ได้บันทึกวีรกรรมของชายชาติทหารไว้ หลากหลายแง่มุม มีตำแหน่งแห่งที่มีหน้าที่สำคัญในยุคเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จ-อำนาจนิยมกองทัพเฟื่องฟู และในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนหน้าระบอบการเมืองการปกครองของไทย ขึ้นอยู่กับว่า เขาจะถูกผู้คนกล่าวขานในแง่มุมไหน 

 

เรื่อง: โคมทอง

ภาพ: เว็บไซต์ กองทัพภาคที่ 1 

 

อ้างอิง:

หนังสือที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก กฤษณ์ สีวะรา