‘เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน’ นักภูมิศาสตร์ผู้ให้กำเนิดคำว่า ‘เส้นทางสายไหม’

‘เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน’ นักภูมิศาสตร์ผู้ให้กำเนิดคำว่า ‘เส้นทางสายไหม’

สำรวจเรื่องราวของ ‘เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน’ ผู้บัญญัติศัพท์ ‘เส้นทางสายไหม’ พร้อมตัวละครลับและนักเดินทางชื่อก้องโลกที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์การค้าและวัฒนธรรม

KEY

POINTS

‘The Silk Road’ หรือ ‘เส้นทางสายไหม’ มีระยะทางกว่า 8,000 ไมล์ หรือราวเกือบ 13,000 กิโลเมตร

การสัญจรไปบน เส้นทางสายไหมทในยุคโบราณนั้น แน่นอนว่า ย่อมเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องผ่านพื้นที่แสนทุรกันดาร ไม่ว่าจะเป็น ทะเลทรายโกบี ที่ราบสูงปามีร์ ที่เปรียบเสมือน ‘หลังคาโลก’

ที่สำคัญก็คือ ตลอดสองข้างทาง ต้องตระเตรียมจิตใจเพื่อเผชิญหน้ากับชนเผ่าเร่ร่อนต่าง ๆ ที่คอยดักปล้นสะดม ที่โด่งดังที่สุดคือพวกปาร์เธียน และพวกเปอร์เซีย

ยังไม่นับทุนรอนที่ต้องควักกันกระเป๋าฉีก ทั้งค่าสินค้า ค่าสัตว์พาหนะ เช่น อูฐ ม้า ลา ล่อ ค่าคุ้มภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่ใช้การเดินทางนานหลายปี

อย่างไรก็ดี แม้ว่า เส้นทางสายไหม จะเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามมากเพียงใด อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงแค่ไหน แต่คาราวานพ่อค้าข้ามพรมแดน ก็พร้อมที่จะแลก เพื่อผลตอบแทนสุดคุ้มค่าในบั้นปลาย

นอกจากเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญแล้ว เส้นทางสายไหมยังถูกใช้ในการเผยแพร่ศาสนา แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และถ่ายโอนองค์ความรู้ระหว่างกันอย่างกว้างขวาง

อาทิ จีนได้รับการถ่ายเทวัฒนธรรมจากอินเดีย ไม่ว่าจะเป็น พุทธศาสนา การปลูกฝ้ายใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม หรือการนำอ้อยมาทำน้ำตาล หรือจะเป็น เทคนิคการทำไวน์จากอัฟกานิสถาน

ในทางกลับกัน ความรู้ ศิลปวัฒนธรรม และอารยธรรมจากจีน ก็ได้ถูกเผยแพร่ออกสู่โลกภายนอกเช่นกัน เช่น การเลี้ยงไหม การหลอมเหล็ก การทดน้ำ การทำกระดาษ การบริโภคชา งานช่างฝีมือ หรือดนตรี เป็นต้น

อันที่จริง เส้นทางสายไหม มิได้หมายถึงถนนเพียงเส้นเดียว แต่หมายถึงเครือข่ายเส้นทางที่พ่อค้าใช้มานานกว่า 1,500 ปี นับตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่นของจีนเปิดการค้าขายในปี 130 ก่อนคริสตกาล จนถึงปี ค.ศ. 1453 เมื่อจักรวรรดิออตโตมันเปิดการค้าขายกับตะวันตก

‘เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน’ (Ferdinand von Richthofen) นักภูมิศาสตร์คนสำคัญของโลก ชาวเยอรมัน เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า เส้นทางสายไหม ในปี ค.ศ. 1877

เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน (5 พฤษภาคม 1833-6 ตุลาคม 1905) นักเดินทาง นักภูมิศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมัน มีชื่อเสียงจากการบัญญัติศัพท์ Seidenstraßen ในภาษาเยอรมัน The Silk Road ในภาษาอังกฤษ และ เส้นทางสายไหม ในภาษาไทย

‘เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน’ ผู้ให้กำเนิดคำว่า ‘เส้นทางสายไหม’

คำว่า เส้นทางสายไหม ปรากฏต่อสาธารณชนครั้งแรกในหนังสือ CHINA ของ เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน เมื่อปี ค.ศ. 1901 ซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาเยอรมัน

แต่อันที่จริงแล้ว คำว่า เส้นทางสายไหม ได้รับการคิดค้นขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1838 โดย ‘คาร์ล ริตเตอร์’ (Carl Ritter) นักภูมิศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้พยายามอธิบายกระบวนการนำกลวิธีการเลี้ยงไหมจากจีนไปเผยแพร่ยังอิหร่าน

คาร์ล ริตเตอร์ ให้เหตุผลว่า นอกจากเส้นทางทะเลที่ข้ามมหาสมุทรอินเดียแล้ว ยังต้องมีเส้นทางตอนเหนือ จากจีนไปยังทะเลสาบแคสเปียน

อย่างไรก็ตาม คำว่า เส้นทางสายไหม ไม่ได้รับความนิยมในวงวิชาการ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1877 เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน นักภูมิศาสตร์ชาวเยอรมัน ขณะกำลังเขียนหนังสือเรื่อง ‘จีน’ ได้ตรวจสอบแหล่งข้อมูลของกรีกและโรมัน พบการอ้างอิงการออกเสียงภาษากรีกของคำว่า ‘ไหม’ ในภาษาจีน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบันทึกการเดินทางของ ‘จางเฉียน’ (Zhang Qian) ที่เดินทางจากจีนไปยังเอเชียกลาง เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน จึงขีดเส้นทางการค้าจากฉางอันไปยังโรมผ่านเอเชียกลาง โดยใช้เส้นทางขอบด้านใต้ของทะเลทรายทัคลาแมกกันในซินเจียง

นั่นคือห้วงเวลา 128 ปีก่อนคริสตกาลถึง 150 ปีก่อนคริสตกาล นับเป็นช่วงที่จีนกำลังขยายตัวเข้าสู่เอเชียกลางอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม แนวคิดเกี่ยวกับเส้นทางสายไหมของ เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน นั้น ค่อนข้างตกอยู่ในความมืดมนเป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่ง ‘สเวน เฮดิน’ (Sven Hedin) นักภูมิศาสตร์ศิษย์เอกชาวสวีเดนของเขา เป็นผู้เปิดประตูคำว่า เส้นทางสายไหม สู่สายตาชาวโลก ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1930

ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ถือเป็นจุดบอดทางภูมิศาสตร์ที่ติดอยู่กับ 3 อาณาจักรที่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ได้แก่ อังกฤษ รัสเซีย และจีน

การขุดค้นทางโบราณคดีของพวกเขา ได้ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย ไล่ตั้งแต่ เศษซากของอาณาจักรกรีก (ลูกหลานของผู้ติดตามอเล็กซานเดอร์) เช่น ศิลปะและสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา พระพุทธรูปยุคแรกที่มีลักษณะแบบกรีก จารึก และมัมมี่ของชาวอียิปต์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอเอซิสกลางทะเลทรายที่มีอยู่จริง และเมืองที่ถูกฝัง ทว่า กลับไม่มีใครใช้คำว่า เส้นทางสายไหม เพื่อกำหนดความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือวัฒนธรรมของสิ่งที่พวกเขาค้นพบ

แต่การค้นพบของพวกเขา ได้กลายเป็นการกำหนด Protocol ของ เส้นทางสายไหม ในที่สุด

นักสำรวจเหล่านี้ได้นำสิ่งที่พวกเขาค้นพบกลับไปยังยุโรป ในฐานะหลักฐานของการปรากฏตัวของคริสเตียน ยิว และกรีกในตะวันออกไกล มัมมี่ และเมืองโบราณที่ถูกฝังอยู่ในทราย เรื่องราวของทะเลสาบที่เคลื่อนที่ และห้องสมุดถ้ำในที่ลับตา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวของ ‘มาร์โค โปโล’ (Marco Polo) นักเดินทางที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเส้นทางสายไหม

นอกจากนั้น ยังมี ‘เซอร์ ออเรล สไตน์’ (Sir Aurel Stein) ผู้ค้นพบภาษาโตคาเรียน ซึ่งเป็นภาษาอินโด-ยุโรป และเป็นหลักฐานที่ชัดเจนของการตั้งถิ่นฐานของอินโด-ยุโรปในเอเชียกลางตั้งแต่ในยุคแรก

ขณะเดียวกัน นักโบราณคดี และนักวิชาการชาวญี่ปุ่นก็กำลังขยายผลการค้นพบเหล่านั้นเช่นกัน ที่อธิบายการนำวัฒนธรรม และอารยธรรมของจีนเข้ามาในญี่ปุ่นได้ นักวิชาการบางคนในปัจจุบันมองว่านารา-เกียวโต เป็นจุดสิ้นสุดทางตะวันออกที่แท้จริงของเส้นทางสายไหม หาใช่ฉางอัน หรือลั่วหยางไม่

ในปี ค.ศ. 1936 สเวน เฮดิน ได้ฟื้นฟูคำว่า เส้นทางสายไหม ของ เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน อาจารย์ของเขา เพื่อสร้างกรอบแนวคิดใหม่ให้กับการค้นพบทางโบราณคดีต่าง ๆ งานเขียนของเขายังสอดคล้องกับนักวิชาการชาวจีนที่ให้ความเคารพเขาอย่างสูง

ขณะที่นักวิชาการตะวันตก ใช้ เส้นทางสายไหม เพื่อเน้นถึงอิทธิพลของตะวันตกที่มีต่อตะวันออก ในทางตรงกันข้าม นักวิชาการชาวจีนได้ใช้คำอธิบายของ เส้นทางสายไหม เพื่อแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของจีนที่มีต่อตะวันตก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ค.ศ. 1940 เมื่อชาวจีนถอยเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ในช่วงสงครามกับญี่ปุ่น

ทุกวันนี้ การขุดค้นทางโบราณคดีของตะวันตกในเอเชียกลางได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่แนวคิดเรื่อง เส้นทางสายไหม ยังมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับชาวจีนรุ่นใหม่

แน่นอนว่า ด้วยนโยบาย ‘One Belt One Road’ ของจีนในปัจจุบัน ทำให้ เส้นทางสายไหม กลับมาได้รับการกล่าวขวัญถึง และให้ความสำคัญอีกครั้ง โดยเฉพาะในหน้าสื่อ และแวดวงวิชาการของจีน

‘ตัวละครลับ’ บน ‘เส้นทางสายไหม’

เส้นทางสายไหม มีถนน 2 เส้นหลัก คือเส้นทางจากฝั่งตะวันตกมายังตะวันออก และเส้นทางจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก

เส้นทางจากตะวันตกมายังตะวันออก เริ่มจากสเปน ที่คานีซ>คอร์โดบา>วาเลนเซีย ไปอิตาลีที่เจนัว>ออสเตรีย>บีชา>เตหะราน อิหร่าน>ทะเลทรายโกบี>ที่ราบสูงระหว่างเทือกเขาหิมาลัยกับรัสเซีย>กำแพงเมืองจีน

เส้นทางจากตะวันออกไปยังตะวันตก มีถนน 2 สายหลัก คือเส้นทางสายเหนือ เริ่มจากลั่วหยาง>หลานโจว>ตุนหวง>เลบานอน และเส้นทางสายใต้ คือขึ้นเหนือไปกรุงแบกแดด ต่อไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเข้าสู่ยุโรป หรือลงใต้ไปทางอินเดีย ซึ่งจะไปบรรจบกับเส้นทางสายไหมทางทะเล

สองข้างทางของ เส้นทางสายไหม ทั้งขาไปและขากลับ มี ตัวละครลับ ปรากฏขึ้นมากมาย ตัวละครที่มีชื่อเสียง และโดดเด่นที่สุดบนเส้นทางสายไหมที่ถือเป็นตัวละครหมายเลข 1 เลยก็คือ มาร์โค โปโล

‘เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน’ นักภูมิศาสตร์ผู้ให้กำเนิดคำว่า ‘เส้นทางสายไหม’

‘มาร์โค โปโล’ นักเดินทางคนสำคัญแห่งโลกยุคกลาง

มาร์โค โปโล (ค.ศ. 1254 – ค.ศ. 1324) เกิดในครอบครัวพ่อค้าผู้มั่งคั่งในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มาร์โค โปโล เดินทางไปประเทศจีน (ซึ่งในขณะนั้นคือเมืองคาเธ่ย์) กับบิดา เมื่ออายุเพียง 17 ปี พวกเขาเดินทางนานกว่า 3 ปี ก่อนที่จะมาถึงพระราชวังซานาดูของกุบไลข่าน

ในปี ค.ศ. 1275 Marco Polo ยังคงประทับอยู่ที่ราชสำนักของท่านข่าน และถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจในบางส่วนของเอเชียที่ชาวยุโรปไม่เคยไปเยือนมาก่อน เมื่อกลับมา มาร์โค โปโล ได้เขียนถึงมหากาพย์การผจญภัยของเขา ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดบน เส้นทางสายไหม 

‘เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน’ นักภูมิศาสตร์ผู้ให้กำเนิดคำว่า ‘เส้นทางสายไหม’

‘อเล็กซานเดอร์มหาราช’ มหาราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งมาเกโดนีอา

ประสูติเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 356 ปีก่อนคริสตกาล ที่เมืองเพลลา เมืองหลวงของราชอาณาจักรมาเกโดนีอา 

อเล็กซานเดอร์ เริ่มต้นพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียในปี 334 ก่อนคริสตกาล โดยนำกองทัพข้ามช่องแคบบอสฟอรัสเข้าสู่เอเชียไมเนอร์ พระองค์ทรงได้รับชัยชนะในสมรภูมิสำคัญ เช่น สมรภูมิที่กรานิคัส, อิสซัส, และกัวกาเมลา ทำให้จักรวรรดิเปอร์เซียล่มสลาย

นอกจากเปอร์เซียแล้ว พระองค์ยังทรงขยายอำนาจไปถึงอียิปต์, อินเดีย และเอเชียกลาง ตลอดเส้นทางการพิชิต พระองค์ได้ก่อตั้งเมืองอเล็กซานเดรีย หลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ ที่กลายเป็นศูนย์กลางความรู้และวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของโลก

คอนสแตนตินที่ 1 จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน

ประสูติเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 272 ที่เมืองไนซซัส ปัจจุบันคือเมืองนิชประเทศเซอร์เบีย

ค.ศ. 330 ทรงสถาปนากรุงคอนสแตนติโนเปิล ขึ้นบนที่ตั้งเดิมของเมืองบิแซนเทียม เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของจักรวรรดิโรมัน ทรงวางแผนให้เมืองนี้เป็น ‘โรมใหม่’ โดยผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบโรมัน และกรีกเข้าไว้ด้วยกัน กรุง คอนสแตนติโนเปิล จึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งของยุโรปในยุคกลาง 

ไม่เพียงเป็นนักรบผู้กล้าหาญ หากแต่เป็นผู้นำที่เปลี่ยนแปลงทิศทางของประวัติศาสตร์โลก ด้วยวิสัยทัศน์ในการรวมจักรวรรดิโรมัน และการให้การสนับสนุนศาสนาคริสต์ พระองค์ได้วางรากฐานที่ยังส่งอิทธิพลต่ออารยธรรมตะวันตก และคริสตศาสนาจนถึงปัจจุบัน

‘เฟอร์ดินานด์ ฟอน ริชท์โฮเฟน’ นักภูมิศาสตร์ผู้ให้กำเนิดคำว่า ‘เส้นทางสายไหม’

เจงกิสข่าน

เกิด และเติบโตบนทุ่งหญ้าเสตปป์ที่แทบไม่มีอะไรเลย จนสามารถพิชิตอาณาจักรต่าง ๆ แผ่ขยายอาณาเขตยาวไกลทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียไปจนถึงทวีปยุโรป และเป็นผู้ที่รวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนกลายเป็นอาณาจักรมองโกลอันยิ่งใหญ่

เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1162 ในครอบครัวชนชั้นผู้นำ บิดาเป็นหัวหน้าเผ่าคิยาด แต่ถูกศัตรูอีกเผ่าวางยาพิษจนเสียชีวิต ขณะที่ เจงกิสข่าน มีอายุได้เพียง 9 ปีเท่านั้น โดย เจงกิสข่าน เดิมมีชื่อว่า เตมูจิน (Temüjin) 

เดิมทีชาวมองโกลเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนหลังม้า เด็กเล็ก ทั้งเด็กหญิง และเด็กชายต้องฝึกขี่ม้าตั้งแต่อายุเพียง 3 ขวบ ต้องเรียนรู้วิธีล่าสัตว์ด้วยตนเอง ด้วยความที่ต้องเร่ร่อน เพื่อตามหาทุ่งหญ้าหรือพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มีแหล่งอาหาร ทำให้ต้องกระทบกระทั่งกับชนเผ่าอื่น ๆ จนเกิดเป็นสงครามแย่งชิงพื้นที่ไปเรื่อย ๆ สงครามจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวมองโกล

ปี ค.ศ. 1206 หลังจาก เตมูจิน ทำสงครามชนะชนเผ่าต่าง ๆ ทั่วสารทิศ ก็ได้ทำการรวบรวมไพร่พลเข้าเป็นชนเผ่ามองโกลทั้งหมด พร้อมทั้งขยายอาณาจักรครอบคลุมตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียไปจนถึงยุโรป  และสถาปนาตนเองเป็น เจงกิสข่าน

คำว่า เจงกิส แปลว่า มหาสมุทร ส่วนคำว่า ข่าน หมายถึงกษัตริย์ ดังนั้นชื่อ เจงกิสข่าน จึงแปลว่า ‘กษัตริย์ผู้ครองมหาสมุทรทั้งเจ็ด’