เอ็ด กีน : เบ้าหลอมปีศาจกับศรัทธาที่กลืนกินชีวิตของตนเองและผู้อื่น

เอ็ด กีน :  เบ้าหลอมปีศาจกับศรัทธาที่กลืนกินชีวิตของตนเองและผู้อื่น

เรื่องราวชีวิตและการเติบโตของ ‘เอ็ด กีน’ (Ed Gein) ฆาตกรต่อเนื่องที่สะเทือนขวัญในประวัติศาสตร์คนหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ต่างจากเบ้าหลอมปีศาจ

ในขณะที่เด็กบางคนเติบโตจากความรัก เด็กบางคนเติบโตจากความกลัว จนบางครั้งความกลัวเหล่านั้นก็สามารถกลืนกินชีวิตเด็กหนึ่งคนไปจนหมด ในหลาย ๆ ครั้ง เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ ที่ยังไม่สามารถคิด แยกผิดชอบ หรือชั่วดีได้เอง ซึ่งอิทธิพลจากสิ่งรอบตัวจะเป็นกำหนดผ้าสีขาวที่ว่านั้น จะเปลี่ยนแปรเป็นสีใด

ปี 1906 เด็กชายคนนึงในเมืองเล็ก ๆ ของรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอมริกา ได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยที่ ทว่าผู้เป็น ‘แม่’ กลับรู้สึกเหมือนพระเจ้าได้ ‘ลงโทษ’ เธอ การเติบโตของเด็กคนดังกล่าวถูกผูกขังด้วยความเคร่งครัด ปราศจากความร่าเริงและเสียงหัวเราะ ถูกทำให้เชื่อฟังจนลืมตั้งคำถาม เชื่อฟัง ‘คำสั่ง’ จนไม่ได้ใช้ชีวิตของตนเอง

จนกระทั่งเสียงที่เคยพร่ำสอนนั้นหายไป โลกของเขาก็พังทลายลง เหลือไว้แต่เพียงความเงียบที่ไม่อาจจะทน ‘คนเดียว’ ต่อไปได้ และนี่คือเรื่องราวของชายที่ชื่อว่า ‘เอ็ด กีน’ (Ed Gein) เด็กชายจากโลกที่ไร้เสียงหัวเราะ ผู้ที่ซึ่งโลกจดจำเขาในฐานะฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

 

เอ็ด กีน :  เบ้าหลอมปีศาจกับศรัทธาที่กลืนกินชีวิตของตนเองและผู้อื่น

ครอบครัวในเงามืด

 

บ้านที่หล่อหลอมปีศาจในคราบศรัทธา

 

ไกลออกไปจากตัวเมืองวิสคอนซิน เมืองเพลนฟิลด์ (Plainfield) มีผู้คนอาศัยอยู่เพียงประมาณ 700 คนเท่านั้น มีบ้านฟาร์มขนาดใหญ่ของครอบครัวกีนอาศัยอยู่ ครอบครัวที่ดู(เหมือน)ปกติ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับได้สร้างคนที่จิตใจไม่ปกติขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ครอบครัวกีนมีทั้งหมด 4 ชีวิตคือ จอร์จ (George Philip Gein) ผู้เป็นพ่อ ออกัสต้า (Augusta Gein) ผู้เป็นแม่และลูกชายอีก 2 คนคือเฮนรี่ (Henry George Gein) ผู้เป็นพี่ และน้องชายนามว่า ‘เอ็ดเวิร์ด’ (Edward Theodore Gein) ย้อนเวลากลับไปช่วงปี 1914-1915 ครอบครัวกีนได้ปลีกตัวออกไปอยู่ฟาร์มนอกเมือง กับบ้านหลังที่ซึ่งเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ตลอดกาล

เอ็ด กีน เติบโตมาพร้อมกับคุณพ่อขี้เหล้าและแม่ผู้เป็นศูนย์กลางชีวิตของเขา คุณพ่อมีปัญหาติดเหล้าอย่างหนัก ส่วนแม่ก็เคร่งครัดนับถือในศาสนาอย่างสุดโต่ง นำมาสู่การใช้วิธีเลี้ยงดูลูกแบบที่ครอบครัวอื่นไม่เคยทำ

เอ็ดและพี่ชายถูกใช้ให้ทำงานตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาจะได้ออกจากบริเวณบ้านก็ตอนแค่ไปโรงเรียนเท่านั้น ไปโรงเรียนไม่เคยขาดแต่เอ็ดก็ไม่มีเพื่อนเลย เพราะแม่บอกว่าการคุยกับคนอื่นจะเป็นบาป เป็นการได้รับรู้ถึงสิ่งที่ไม่ดี เอ็ดจึงกลายเป็นคนบุคลิกเงียบๆ แม้อยู่โรงเรียนเอ็ดก็จะถูกเพื่อนร่วมห้องล้อเลียนอยู่เสมอ เอ็ดขาดความเป็นชายเพราะไม่มีตัวอย่างให้ทำตาม ไม่มีเพื่อนให้คุย มีแค่ ‘แม่’ ของเขาเท่านั้นที่คอยวางทางเดินให้

คุณพ่อที่ติดสุราอย่างหนักก็ได้เสียชีวิตในปี 1940 เมื่อเอ็ดอายุได้ประมาณ 34 ปี แต่ตัวเขาก็ยังดำเนินชีวิตแบบเดิม เพิ่มเติมคือมี ‘แม่’ ที่ควบคุมครอบครัวกีนโดยสมบูรณ์แบบแทน เมื่อเติบโตจากเป็นผู้ใหญ่ เอ็ดได้รับงานเป็นช่างไม้ในเมือง โดยไม่สุงสิงกับใคร ทำงานเงียบ ๆ เพียงคนเดียวและกลับบ้าน ทำให้ผู้คนในเมืองต่างก็มีความรู้สึกที่ทั้งแปลกใจแต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะว่าเอ็ดนั้นทำงานได้อย่างดีเยี่ยมและเสร็จค่อนข้างเร็ว แต่ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าในใจของเอ็ดตลอดระยะเวลาตั้งแต่เกิดมาเขาเจออะไรมาบ้างและ ‘คิด’ อะไรอยู่บ้าง

 

‘พระเจ้า’ ในคราบ ‘มารดา’

 

ผู้หญิงอื่นนอกจากแม่ ก็คือบาป

 

ออกัสตาไม่เพียงเป็นแม่ แต่ยังเป็น ‘พระเจ้า’ ในบ้านหลังนั้น เธอสอนลูกทุกวันถึงเรื่องบาปและการลงทัณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้า บาปในสายตาเธอไม่ได้อยู่ที่การฆ่าคนตาย แต่อยู่ที่ ‘ความอยาก’ การบังคับจิตใจตนเอง เธอสาปแช่งผู้หญิงในเมืองว่าเป็นปีศาจเย้ายวน และห้ามลูกชายแม้แต่จะมองพวกเธอ คำสอนนั้นกลายเป็นกำแพงสูงที่ปิดกั้นโลกทั้งใบของเอ็ดตลอดมา พูดได้ว่าเอ็ดมีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดแม่ของตนเอง

เอ็ดเติบโตมากับความศรัทธาที่ไม่เคยเปิดช่องให้ตั้งคำถามและเมื่อเขาอยู่ตามลำพัง ‘การอ่าน’ ก็เป็นเหมือนสิ่งเยียวยาจิตใจเพียงหนึ่งเดียว ส่งผลให้เอ็ดรักการอ่านมาก มีเบาะแสว่าเรื่องที่เขาสนใจส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ ข่าวอาชญากรรม เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี ที่จริงแล้วเอ็ดก็เคยเดินทางไปคัดตัว (เป็นอีกครั้งที่เขาได้ออกจากบ้านนอกจากโรงเรียน) แต่ไม่ผ่านเพราะว่าตาของเอ็ดมีความผิดปกติ

มีหลักฐานจากรายงานการสอบสวนระบุว่า เอ็ดหลงใหลในเรื่องราวของ อาชญากรรมในค่ายกักกันนาซี โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับ ‘อิลเซ่ ค็อค’ (Ilse Koch) หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าทำของจากหนังมนุษย์ในค่ายบุเชนวัลด์รวมถึง ‘อีร์มา เกรเซ’ (Irma Grese) ผู้คุมหญิงในค่ายเอาช์วิทซ์ที่มีชื่อเสียงเรื่องความโหดร้ายเรื่องราวของพวกเธอถูกตีพิมพ์ซ้ำไปซ้ำมาในสื่ออเมริกันยุคหลังสงคราม

สำหรับเอ็ด เธอไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีต่อหน้าแม่ของเขาเอง นี่อาจเป็นไฟเล็ก ๆ ในตัวของเอ็ดที่กำลังก่อขึ้นมา

 

พันธนาการที่สิ้นสลาย

ช่วงปี 1944 พี่ชายของเอ็ด เฮนรี่ เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ปริศนาในฟาร์ม
ร่างของเขาพบว่ามีรอยฟกช้ำและกระแทกที่ศีรษะ แม้จะมีไฟไหม้น้อยแต่ตำรวจไม่สามารถยืนยันความเกี่ยวข้องของเอ็ดกับเหตุการณ์นี้ได้ แต่ในสายตาของคนรอบตัว เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้บ้านกีนดูผิดปกติและน่ากลัวขึ้นไปอีก เพราะเขาคือคนเดียวที่พยายามพูดให้เอ็ดเห็นว่า ‘แม่ไม่ใช่พระเจ้า’ ว่าโลกนอกฟาร์มนั้นยังมีผู้คน มีความรัก และมีอิสระ แต่เอ็ดไม่ฟังเพราะในหัวของเขาไม่มีเสียงใดดังเหนือเสียงของแม่

ไม่นานหลังจากนั้น แม่ของเอ็ด ออกัสต้า เสียชีวิตด้วยหลอดเลือดในสมองแตก เอ็ดเหลืออยู่เพียงลำพังในบ้านที่คุ้นเคย คนรอบข้างสังเกตว่าเขาเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน  เขาเลี้ยงตัวเองไม่เหมือนเดิม ปล่อยบ้านให้เก่าและรก ปิดห้องของแม่ไว้ไม่ให้ใครเข้าอีกเลย เหมือนกับคน ‘หลงทาง’ 

 

มีบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นในตัวของผม

 

ความคิดและการกระทำที่ไม่ปกติของเอ็ดอย่างที่ได้ถูกรายงาน ไม่ว่าจะเป็นเหตุฆาตกรรม หรือความชอบที่และของสะสมที่ปรากฏในข่าว ทุกอย่างล้วนจะเกี่ยวข้องกับเพศหญิง มาจากบ้านและความทรงจำเกี่ยวกับแม่ก่อเกิดเป็นพฤติกรรมที่แปลกและอันตรายต่อผู้อื่นเพียงเพราะเขามีความพยายามรักษาความเชื่อมโยงกับแม่และโลกที่เขารู้จัก ผู้หญิงสองคนที่ได้รับการยืนยันว่าเอ็ดลงมือฆ่าพวกเธอ ก็มีเหตุผลว่า ‘เธอเหมือนแม่ของผม’ ด้วยอายุ และบุคลิกที่เป็นผู้นำ

เอ็ดหลงไหลแต่ไม่ใช่ความรักแบบครอบครัว เขาต้องการครอบครองบางส่วนของผู้หญิงที่เป็นเหมือนแม่เพียงเท่านั้น แต่ไม่ต้องการอยู่ด้วยแบบครอบครัว เอ็ดทั้งได้ติดตามข่าวการเสียชีวิตของคนในหมู่บ้านของผู้หญิงวัยที่ใกล้เคียงกับแม่ของตน ความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแม่ทำให้เขาอยากเป็นผู้หญิงมากขึ้น หลังจากไปเยี่ยมหลุมฝังศพของแม่บ่อยครั้ง เขาเริ่มขุดศพของหญิงวัยกลางคนเพื่อที่จะนำอวัยวะบางส่วนมาทำเป็นคอลเลกชั่นส่วนตัวและจะถูกนำมาประกอบกันเป็นชุดผู้หญิง ให้ตัวเอ็ดนำมาใช้เต้นรำในคืนพระจันทร์เต็มดวง

คดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นทำให้เอ็ดถูกจับตัวในปี 1957 ในตอนแรก เอ็ดถูกตัดสินว่า ไม่สามารถขึ้นศาลได้ และถูกส่งตัวไปที่ Central State Hospital ในเมือง Waupun รัฐวิสคอนซิน ต่อมาในปี 1968 เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีฆาตกรรมเวอร์เดน แต่ถูกระบุว่าไม่ปกติทางจิตในช่วงก่อเหตุ ทำให้เอ็ดถูกส่งตัว ไปใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในสถานพยาบาลจิตเวชจนกระทั่งเสียชีวิตในเดือนกรกฎาคม 1984 ด้วยวัย 77 ปีจากโรคปอด

 

เหยื่อของอดีตหรือฆาตกรที่เลือกทางของตัวเอง

เอ็ด กีน ไม่ใช่เพียงฆาตกรที่ผู้คนจดจำในประวัติศาสตร์ แต่เป็นชายที่เติบโตมากับบ้านที่เข้มงวด ศรัทธาที่กลืนกินชีวิต ความเชื่อของแม่ที่ถูกปลูกฝังให้ลูกบ้านที่เปรียบเสมือนกรงขัง

พฤติกรรมของเขา การหมกมุ่นกับสิ่งของของแม่และการปลีกตัวจากสังคม นั้นสะท้อนถึง ความพยายามของคนคนหนึ่งในการจัดการกับความเศร้าและความโดดเดี่ยว 

แม้จะมองจากภายนอก เขาดูผิดปกติและอันตราย แต่เมื่อมองผ่านมุมมองจิตวิทยา ‘เอ็ด’ เป็นผลลัพธ์ของสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ที่ขัดต่อพฤติกรรมปกติของมนุษย์ที่สะสมมาตลอดชีวิต สิ่งเหล่านี้ช่วยอธิบายความหมกมุ่นและพฤติกรรมผิดปกติได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถลดความรับผิดชอบต่อเหยื่อที่เขาลงมือลงไปได้อีกเช่นกัน

เรื่องราวของเอ็ด กีน ก็เป็นเปิดคำถามที่ไม่ง่ายต่อการตอบว่า ‘เขาคือเหยื่อของอดีต หรือฆาตกรที่เลือกทางของตัวเอง’ เบื้องหลังพฤติกรรมอันเลวร้ายเหล่านั้น มีร่องรอยของความสูญเสีย ความบิดเบี้ยว และความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ผิดปกติ

สิ่งนี้สะท้อนบทเรียนสำคัญสำหรับคนรุ่นหลังว่า ครอบครัวมีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมชีวิตและจิตใจของเด็กอย่างลึกซึ้ง การให้ความรัก ความเข้าใจและการสังเกตพฤติกรรมของลูกอย่างใกล้ชิด อาจช่วยป้องกันไม่ให้ความบิดเบี้ยวเล็ก ๆ กลายเป็นรากของพฤติกรรมที่อันตราย

ท้ายที่สุด เราอาจไม่สามารถตัดสินอดีตของเอ็ดได้อย่างง่ายดาย แต่เรื่องราวของเขาเตือนใจว่า ความใส่ใจและความรักจากครอบครัว สามารถสร้างความแตกต่างให้ชีวิตเด็กได้มากกว่าที่คิด แต่ไม่ว่าเขาจะเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมแบบใด ก็ไม่มีเหตุผลใดสามารถมาลบล้างการกระทำอันเลวร้ายที่กลายเป็นอุทาหรณ์ทางประวัติศาสตร์จนถึงวันนี้

 

เอ็ด กีน :  เบ้าหลอมปีศาจกับศรัทธาที่กลืนกินชีวิตของตนเองและผู้อื่น

 

ภาพ : Getty Images

 

ที่มา :

Augusta Gein Tried to Shield Her Son From Evil. Instead, She Created a Monster. | Biography

Ed Gein's Childhood: 'The Butcher of Plainfield' Fixated on His Domineering Mother | A&E