Dream Theater : โรงละครแห่งความฝันที่ตีแผ่โปรเกรสซีฟเมทัลให้โลกได้ยิน

Dream Theater : โรงละครแห่งความฝันที่ตีแผ่โปรเกรสซีฟเมทัลให้โลกได้ยิน

เรื่องราวของ Dream Theater โรงละครแห่งความฝันและตำนานวงโปรเกรสซีฟเมทัล ที่รวมปรมาจารย์ทางด้านดนตรีของแต่ละสายไว้ด้วยกัน

KEY

POINTS

ในโลกของเสียงดนตรี นอกเหนือจากการสร้างผลงานมาสเตอร์พีซแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดของการเป็นศิลปิน คือการรักษาชื่อเสียงให้ยืนยาว โดยไม่ล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา จนถูกลืมเลือนในที่สุด

ศิลปินหลายคน เลือกที่จะทิ้งตัวตน และจำใจทำผลงานตามสูตรสำเร็จของเพลงตลาดทั่วไป ที่พอจะการันตีได้ว่ามันอาจจะโด่งดัง

แต่จะมีสักกี่คนล่ะ? ที่เลือกจะยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเอง และเลือกทำเพลงที่ดูสลับซับซ้อน และเข้าใจได้ยาก อย่าง ‘โปรเกรสซีฟเมทัล’ (Progressive Metal) ที่เต็มไปด้วยทฤษฎีดนตรีมากมาย จังหวะที่สับเปลี่ยนไปมา จนยากที่จะคาดเดาได้ และการเรียบเรียงท่อนของเพลง ที่ไม่ได้เป็น Verse-Chorus-Outro แบบที่เราคุ้นเคยกัน พร้อมทั้งความยาวเพลงที่นานกว่าเพลงทั่วไปเสียด้วยซ้ำ 

นั่นก็คือวงดนตรีที่มีนามว่า ‘Dream Theater’ คณะโรงละครแห่งความฝัน ที่เป็นแม่พิมพ์ของแนวดนตรีโปรเกรสซีฟเมทัล และเป็นผู้ยกระดับมาตรฐานวงการเมทัล ให้มีความเข้มข้นในด้านดนตรีมากขึ้น

ผลงานของพวกเขา โดดเด่นด้วยรายละเอียดยิบย่อยแบบโปรเกรสซีฟ และเต็มไปด้วยทฤษฎีดนตรีที่อัดแน่นอยู่ในบทเพลง ผนวกเข้ากับท่วงทำนองอันหนักหน่วงอย่างเมทัล ทั้งหมดทั้งมวล ล้วนมาจากฝีไม้ลายมือของสมาชิกวง ที่ถือเป็นปรมาจารย์ในแต่ละชนิด ซึ่งประกอบไปด้วย

 

เจมส์ ลาบรี’ (James LaBrie) ฟรอนต์แมนนักร้องเสียงสูงทรงพลัง 

จอห์น เปตรุชชี’ (John Petrucci) กีตาร์ฮีโร่ของวง ที่แทบจะโดดเด่นกว่านักร้องนำ ด้วยไลน์กีตาร์อันเป็นเอกลักษณ์และยากสุดหิน 

ไมค์ พอร์ตนอย’ (Mike Portnoy) มือกลองที่คอยขับเคลื่อนจังหวะของวง ที่ซับซ้อนแต่น่าสนใจ 

จอห์น ไมอัง’ (John Myung) มือเบสผู้เงียบขรึม ที่สามารถเกาะจังหวะของกลองได้อย่างไร้รอยต่อ 

และ ‘จอร์แดน รูเดสส์’ (Jordan Rudess) มือคีย์บอร์ดที่คอยสร้างบรรยากาศของวงให้ยิ่งใหญ่อลังการ ราวกับวงออร์เคสตรา

แม้ Dream Theater จะประกอบไปด้วยสมาชิกผู้มากฝีมือก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องฝ่าขวากหนามมากมาย  ทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และช่วงเวลาที่เกือบจะยุบวง แต่ด้วยอุดมการณ์ที่แน่วแน่ต่อแนวดนตรีที่เขายึดมั่น ทำให้คณะโรงละครแห่งความฝัน กลายเป็นตำนานโปรเกรสซีฟเมทัล ที่ยืนหยัดอย่างสง่างามถึง 40 ปี และเป็นต้นแบบที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเมทัลจนถึงปัจจุบัน

 

แกะดำแห่ง Berklee

ณ Berklee College of Music โรงเรียนสอนดนตรีที่โด่งดังที่สุดในโลก สถานศึกษาที่บ่มเพาะทักษะนักเรียนให้แกร่งกล้ามากขึ้น และผลิตบุคลากรดนตรีคุณภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘ควินซี่ โจนส์’ (Quincy Jones) โปรดิวเซอร์ที่ทำงานร่วมกับ ‘ไมเคิล แจ็กสัน’ (Michael Jackson), ‘จอห์น เมเยอร์’ (John Mayer) นักร้องและมือกีตาร์ หรือ ‘ชาร์ลี พุท’ (Charlie Puth) นักร้องและนักแต่งเพลงชื่อดัง ล้วนเคยผ่านการเข้าเรียนที่นี่มาแล้ว 

จอห์น เปตรุชชี’ และ ‘จอห์น ไมอัง’ สองคู่หูที่เป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่วัยเยาว์ และชื่นชอบดนตรีเหมือนกัน ซึ่งหลงใหลเพลงโปรเกรสซีฟร็อกอย่างสุดหัวใจ โดยเฉพาะ ‘Black Sabbath’ และ ‘Rush’ ด้วยชีวิตที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี ทั้งสองจึงตัดสินใจชวนกันเข้าเรียนที่ Berklee College ในปี 1985

หลังจากที่สองคู่หูจอห์น เหยียบเท้าเข้ามาที่โรงเรียนสอนดนตรีนี้ได้เพียง 2 สัปดาห์ ทั้งสองก็ได้รู้จักกับ ‘ไมค์ พอร์ตนอย’ ในตอนที่เขากำลังซ้อมตีกลองอยู่ ด้วยสไตล์การเล่นที่น่าดึงดูด และมีชั้นเชิงตามสไตล์โปรเกรสซีฟที่ทั้งสองชื่นชอบอยู่แล้ว 

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสามรู้จักกัน และยังชวนมิตรสหายสายดนตรีที่รู้จัก อย่าง ‘เควิน มัวร์’ (Kevin Moore) [มือคีย์บอร์ด] และ ‘คริส คอลลินส์’ (Chris Collins) [นักร้อง] มาร่วมวงดนตรี ภายใต้ชื่อ ‘Majesty’ ที่พวกเขากล่าวขึ้นมาขณะกำลังฟังเพลง ‘Bastille Day’ ของ Rush ไว้ว่า

 

Their music is so majestic!

 

เด็กหนุ่มทั้ง 5 คลุกตัวกันซ้อมดนตรีแทบจะทุกวัน ตั้งแต่ 6 โมงเย็นยันเที่ยงคืน ขณะที่ห้องซ้อมอื่น ๆ จะบรรเลงดนตรีแจ๊สหรือไม่ก็ฟังก์ แต่ห้องซ้อมของพวกเขา กลับมีแต่เสียงเพลงเมทัลของวง ‘Iron Maiden’ และ ‘Rush’ ดังออกมาเสียอย่างนั้น จนเขาแทบจะกลายเป็นแกะดำแห่ง Berklee

จากที่ซ้อมกันเล่น ๆ ก็กลายเป็นจริงจังมากขึ้น พวกเขาจึงตัดสินใจดรอปเรียน เพื่อหันมาทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมแบบเต็มรูปแบบ รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนสมาชิก ซึ่งได้ ‘ชาร์ลี โดมินิชี’ (Charlie Dominici) ทำหน้าที่นักร้องนำคนใหม่

เมื่อสมาชิกครบองค์ประกอบ จึงร่วมกันทำอัลบั้มเปิดตัว และเซ็นสัญญากับค่ายเพลง ‘Mechanic Records’ จนอัลบั้มเดบิวต์อย่าง ‘When Dream and Day Unite’ (1989) ก็เสร็จสมบูรณ์

แต่ทว่า ชื่อวงของเขา อย่าง Majesty กลับไปซ้ำกับวงดนตรีจาก Las Vegas จนเกือบโดนฟ้องร้อง พ่อของ พอร์ตนอย จึงเสนอชื่อ ‘Dream Theater’ ซึ่งเป็นชื่อโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในย่านแคลิฟอร์เนียที่เขาอาศัยอยู่ และยังมีความเข้ากับสไตล์ดนตรีของวง ที่มีความซับซ้อน ดูเหนือจินตนาการ ราวกับกำลังนั่งอยู่ในโรงละครแห่งความฝัน จนสุดท้าย ‘Dream Theater’ นี้เอง ที่จะกลายมาเป็นชื่อที่ทั้งโลกต้องยกย่อง

อัลบั้มเปิดตัวชุดแรก กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งในแง่คำวิจารณ์และรายได้ หลายคนมองว่าผลงานชุดนี้ ฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนต้องการยัดเทคนิคการเล่นมากมายลงไป แต่กลับไม่ลงตัว และเสียงนักร้องที่ดูไม่เข้ากับวง รวมถึงขาดการสนับสนุนจากทางค่าย ที่ไม่มีแม้แต่การโปรโมทหรือมิวสิควิดีโอ จนสมาชิกต้องกลับไปทำงานประจำ

ช่วงเวลานี้เอง ที่พวกเขาเริ่มคิดว่าตัวเองกำลังเดินมาผิดทาง หากย้อนเวลากลับไปได้ ก็คงจะไม่ดรอปเรียน แต่ถึงกระนั้น ก็ยังหาเวลาว่างซักซ้อม และร่วมกันแต่งเพลง รวมถึงแยกทางกับนักร้องนำอย่าง ชาร์ลี โดมินิชี เพื่อตามหานักร้องคนใหม่ ซึ่งกินเวลาไปถึงหนึ่งปีครึ่ง

แม้สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะไร้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ก็ยังร่วมกันเขียนเพลงหลายเพลงออกมา ซึ่งพวกเขาไม่รู้เลยว่าเพลงเหล่านั้น จะกลายมาเป็นผลงานอันล้ำค่าในอนาคต

 

ผลงานสร้างชื่อ

ทางวง เริ่มออดิชั่นหานักร้องคนใหม่ แต่ก็ยังไม่มีใครที่ดูจะตอบโจทย์เลยแม้แต่น้อย จนสมาชิกรู้สึกท้อถอยและเกือบจะยุบวงไปตั้งแต่ตอนนั้น

จนสุดท้าย เทปออดิชั่นปริศนาม้วนหนึ่ง ที่เป็นเทปของ ‘เจมส์ ลาบรี’ (James LaBrie) นักร้องชาวแคนาดา อดีตสมาชิกวง ‘Winter Rose’ ด้วยสไตล์การร้องที่มากไปด้วยเทคนิค เสียงสูงแต่ยังทรงพลัง และสามารถร้องเข้ากับเพลงที่ซับซ้อนของพวกเขาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และนั่นทำให้วงเจอจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่กำลังตามหา

ลาบรี เดินทางมายังนิวยอร์กเพื่อพบเจอ Dream Theater ทันทีที่ทั้งห้าพบกันและได้ซ้อมดนตรี ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น ด้วยการพูดคุยที่ถูกคอและสไตล์ดนตรีที่ไปด้วยกันได้ เจมส์ ลาบรี จึงกลายเป็นนักร้องนำของ Dream Theater ในทันที

แม้ปัญหาในเรื่องนักร้องจะหมดไป แต่มีปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการ อย่าง ค่ายเพลง ด้วยสัญญาที่ยังไม่หมดลง พวกเขาต้องจำใจจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อยกเลิกสัญญา และตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายเพลง Atco Records ที่เล็งเห็นศักยภาพของวง พร้อมกับเปิดตัวอัลบั้มชุดที่สอง อย่าง ‘Images and Words’ (1992) 

เพลงหลายเพลงในอัลบั้ม เป็นการหยิบมาจากตอนที่พวกเขาแต่งไว้ตั้งแต่ยังไม่พบ ลาบรี ไม่ว่าจะเป็น Metropolis Pt. 1, Learning to Live และ Take the Time ที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงในด้านดนตรี ผสมผสานองค์ประกอบของโปรเกรสซีฟเมทัลและคลาสสิกไว้ด้วยกันอย่างลงตัว 

อัลบั้มนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนของวง ด้วยแนวทางเพลงที่ชัดเจนและลงตัว ฟังได้ทั้งคนดนตรีและคนฟังทั่วไป อย่างในเพลง ‘Another Day’ เพลงบัลลาดสุดซึ้งกินใจ ที่มีเมโลดี้สวยงาม จังหวะไม่เร็วเกินไป และเสียงร้องที่บาดลึก จึงเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ใครหลายคนชื่นชอบ

อัลบั้มนี้ ประสบความสำเร็จทั้งในแง่คำวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ ต่างกับอัลบั้มแรกราวฟ้ากับเหว ที่เกินความคาดหมายของสมาชิกวงไปมาก ด้วยช่วงปีที่ปล่อยอัลบั้มนี้ออกมา เป็นช่วงที่เพลงร็อกและเมทัลกำลังซบเซา และถูกแทนที่ด้วยกระแสเพลง Grunge แต่อัลบั้มของพวกเขา กลับทำยอดขายได้กว่า 6 แสนชุดในสหรัฐ และติดอันดับที่ 61 บนชาร์ตบิลบอร์ด อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แนวดนตรีโปรเกรสซีฟเมทัลเริ่มเป็นที่รู้จักทั่วโลก

และซิงเกิลยอดฮิต อย่าง ‘Pull Me Under’ ที่มีความยาวถึง 8 นาที ได้รับความนิยมอย่างสูง จนถูกนำไปเปิดผ่านทาง MTV และสถานีวิทยุอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นไปได้ยากสำหรับเพลงที่มีความยาวเกินกว่า 5 นาที และติดอยู่ในอันดับที่ 10 บน Billboard's Hot Mainstream Rock Tracks กลายเป็นเพลงอมตะตลอดกาลของ Dream Theater ไปโดยปริยาย

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ Dream Theater เริ่มเป็นที่ฮือฮาในวงการ จนนักดนตรีหลายคน หยิบนำมาวิเคราะห์กันมากมาย โดยเฉพาะมือกีตาร์ ที่หลาย ๆ เพลงในอัลบั้มนี้ เต็มไปด้วยความซับซ้อน จังหวะที่เปลี่ยนไปมาแทบทั้งเพลง การเล่น Unison หรือเทคนิคชั้นสูง รวมถึงการใช้ไทม์ซิกเนเจอร์แปลก ๆ อย่าง 5/8, 9/8, 3/4 ที่ไม่ค่อยพบในเพลงตามตลาดทั่วไป จนต้องฟังวนซ้ำหลายครั้งกว่าจะเข้าใจ 

หลังจากความสำเร็จของ Images and Words ทางวงมีกำลังใจเดินหน้าทำผลงานต่อ แต่ก็พบกับอุปสรรคระหว่างทาง เมื่อ เควิน มัวร์ มือคีย์บอร์ดของวง ลาออกกะทันหัน จนต้องรีบหาสมาชิกคนใหม่ก่อนออกทัวร์ จึงได้ ‘เดเร็ก เชอริเนียน’ (Derek Sherinian) ที่เคยทัวร์กับ Alice Cooper และ Kiss มาทำหน้าที่รับไม้ต่อในปี 1995

 

ยุคมืดของ Dream Theater

แม้ว่าจะมีสมาชิกใหม่เข้ามาเติมเต็มวงแล้วก็ตาม แต่ปัญหาที่ตามมาและสร้างความปวดหัวให้กับวงไม่น้อย เมื่อผู้บริหารและบุคลากรในค่ายเพลงที่เคยสนับสนุนวงในช่วงอัลบั้ม Images and Words ถูกแทนที่ทีมงานใหม่ ที่มองว่า Dream Theater เป็นวง ‘One Hit Wonder’ หรือก็คือเป็นวงที่ดังแค่เพลงเดียว และต้องการให้วงทำเพลงที่ตามกระแสตลาดมากขึ้น รวมไปถึงมีข้อจำกัดในด้านการแต่ง และความสร้างสรรค์ของสมาชิกในการเขียนเพลง

วงต้องหยุดพักการเขียน และรอการอนุมัติจากค่ายนานถึงปีครึ่ง ไปจนถึงความกดดันในระหว่างทำอัลบั้มที่เรียกได้ว่าขาดอิสระ จนทำให้ไฟในตัวของพวกเขา ค่อย ๆ มอดลง

และอัลบั้มที่สี่ของวง อย่าง ‘Falling into Infinity’ (1997) ก็ออกวางจำหน่าย แต่ในครั้งนี้ จากที่เคยได้รับคำชม กลับได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบ เพราะวงแทบจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง จากเพลงโปรเกรสซีฟที่ลุ่มลึก กลับลดทอนความยาวของเพลงและปรับให้เรียบง่ายเพื่อเข้าถึงคนหมู่มาก รวมถึง ลาบรี ที่มีปัญหาการร้อง ก็ทำให้คุณภาพเสียงร้องถูกลดทอนด้วย

ไม่เพียงแค่สร้างความไม่พอใจกับแฟนเพลง แต่ยังส่งผลต่อสมาชิกวงอย่างหนัก โดยเฉพาะ ไมค์ พอร์ตนอย ที่ต้องการยึดมั่นในแนวทางที่เป็นโปรเกรสซีฟแบบเดิม ก็เริ่มหมดศรัทธาในวงการเพลง จนถึงขั้นเกือบจะตัดสินใจลาออกจากวง

ถึงกระนั้น อัลบั้มชุดนี้ กลับพุ่งสูงถึงอับดับที่ 52 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ของสหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าอัลบั้ม Images and Words ที่เป็นอัลบั้มสร้างชื่อ แต่ในแง่ของยอดขาย กลับไม่สามารถเจาะตลาดกระแสหลักได้ตามที่ค่ายต้องการ และไม่สามารถเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นได้ แม้จะร่วมงานกับโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง ‘เดสมอนด์ ไชลด์’ (Desmond Child) ในซิงเกิล ‘You Not Me’ ก็ตาม แต่ไม่สามารถเป็นฮิตได้เท่าที่ควร ทำให้เหล่าแฟนเพลงต่างพากันกล่าวว่า นี่คือ ‘ยุคมืดของวง

สถานการณ์ในตอนนี้ ดูมืดหม่นไปเสียทุกอย่าง จนสมาชิกต้องกลับมาพูดคุยเพื่อหาทางออก จึงได้ข้อสรุปว่า ทางวงจะกลับมาทำเพลงแบบเดิมที่เป็นตัวของตัวเอง และมีการเปลี่ยนสมาชิก จาก เดเร็ก เชอริเนียน เป็น ‘จอร์แดน รูเดสส์’ ที่เคยร่วมงานกับ พอร์ตนอย และ เปตรุชชี ในโปรเจ็กต์ Liquid Tension Experiment ที่เคมีทางดนตรีของพวกเขา เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย รูเดสส์ จึงกลายมาเป็นสมาชิก Dream Theater ในที่สุด

 

ก้าวสู่ยุคทองของ Dream Theater 

หลังจากการเปลี่ยนแปลงสมาชิก เพื่อเริ่มทำอัลบั้มชุดต่อไป พอร์ตนอย ต่อรองและเจรจากับทางค่าย ไม่ให้มาแทรกแซงในขั้นตอนการทำเพลง เพื่ออิสระในการทำงาน และอัลบั้มที่ห้า อย่าง ‘Metropolis Pt. 2: Scenes from a Memory’ (1999) อัลบั้มแนวคอนเซ็ปต์เต็มรูปแบบ ที่เป็นตัวชี้ชะตา ว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้

และดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง หลังจากอัลบั้มนี้ออกวางจำหน่าย กลับได้ผลตอบรับที่ดี เทียบเท่ากับอัลบั้มชุดที่สอง กลิ่นอายของโปรเกรสซีฟแบบยุคดั้งเดิมของพวกเขากลับมาเต็มที่ ด้วยความซับซ้อน ลึกล้ำในการเรียบเรียง และการสอดแทรกเทคนิคนา ๆ ชนิด ลงไปในเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น แต่กลับกลมกล่อมและลื่นไหล เพื่อประกาศให้รู้ว่า Dream Theater กลับมาผงาดอีกครั้ง

อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทั้งในคำวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ เหล่าแฟนเพลง ต่างยกให้อัลบั้มนี้เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของวง ที่ดึงเหล่าผู้ฟังทั้งหลายให้กลายมาเป็นแฟนเพลง รวมถึงถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์อัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

ไม่เพียงแค่ผลงานที่ได้รับการยอมรับ แต่สมาชิกในวง ยังถูกยกให้เป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยมของแต่ละสาย อย่าง จอห์น เปตรุชชี ถูกจัดอันดับอยู่ใน ‘มือกีตาร์ที่ดีที่สุดในโลก’ จากหลายสำนัก, จอห์น ไมอัง ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 20 ‘มือเบสที่ดีที่สุด’ จาก MusicRader, ไมค์ พอร์ตนอย อยู่ในอันดับที่ 19 ‘มือกลองที่ดีที่สุด’ จาก uDiscoverMusic, จอร์แดน รูเดสส์ เคยได้รับการโหวตให้เป็น ‘Best New Talent’ จาก Keyboard Magazine และ ‘มือคีย์บอร์ดที่ดีที่สุดตลอดกาล’ จาก Music Radar Magazine, เจมส์ ลาบรี ก็ถูกยกให้เป็นหนึ่งในนักร้องโปรเกรสซีฟเมทัลแถวหน้าแห่งวงการ

หลังจากนั้น ทางวงปล่อยผลงานออกมาสม่ำเสมอ และยังคงมาตรฐานในแบบ Dream Theater มาตลอด ที่ไม่ว่าจะออกอัลบั้มไหนมา ก็การันตีคุณภาพได้อย่างแน่นอน รวมถึงมีเพลงฮิตมากมาย อย่างอัลบั้ม ‘Train of Thought’ (2003), ‘Octavarium’ (2005), ‘Systematic Chaos’ (2007), ‘Black Clouds & Silver Linings’ (2009) ที่กลายเป็นผลงานขึ้นหิ้งทั้งนั้น และกล่าวว่าเป็นยุคทองของ Dream Theater อย่างแท้จริง

 

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่

ทุกอย่างดูกำลังไปได้สวย แต่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของวง ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาปล่อยอัลบั้มชุดที่ 10 ได้เพียงหนึ่งปี ไมค์ พอร์ตนอย สมาชิกตั้งแต่ยุคก่อตั้ง ก็ขอถอนตัวออกจากวงในปี 2010 เพื่อต้องการหยุดพัก และแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในวงการดนตรี ถือเป็นข่าวช็อกสำหรับเหล่าแฟนเพลงที่ติดตามมาอย่างยาวนาน

เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่สถานการณ์ของวงในตอนนี้ อยู่ในช่วงไม่แน่นอน เพราะเป็นเรื่องยากมาก ที่จะหามือกลองมาทดแทน พอร์ตนอย ซึ่งเขาสร้างมาตรฐานไว้สูงลิ่ว 

ทางวงจึงจำเป็นต้องหามือกลองคนใหม่อย่างเร่งด่วน จึงมีการจัดออดิชั่นมือกลองระดับโลก ซึ่งตัวเต็งทั้งหลายก็ล้วนเป็นมือกลองยอดฝีมือ และทักษะสูง 

สุดท้ายทางวงก็ได้เลือก ‘ไมค์ แมนกินี’ (Mike Mangini) อดีตอาจารย์สอนกลองที่ Berklee College สถาบันดนตรีที่สมาชิกวงเคยเรียน ด้วยเทคนิคการตีที่ไร้ที่ติ และสามารถเล่นเพลงที่แสนจะซับซ้อนของ Dream Theater ได้อย่างแม่นยำ ทำให้ แมนกินี กลายเป็นสมาชิกของวงไปในที่สุด

ด้วยความคาดหวังของเหล่าแฟนเพลงที่ตั้งตารอยุคเปลี่ยนแปลงของ Dream Theater และอัลบั้มชุดที่ 11 อย่าง ‘A Dramatic Turn of Events’ (2011) ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขายังทำผลงานออกมาได้ดี

อัลบั้มชุดนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ตัวเพลงของวงยังคงความเป็น Dream Theater ไว้อย่างดี ขายได้ 36,000 ชุดในสัปดาห์แรก ทะยานสูงสุดที่อันดับ 8 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอันดับที่สูงที่สุดของวงในขณะนั้น อีกทั้งยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Award สาขา Best Hard Rock/Metal Performance เป็นครั้งแรกอีกด้วย

อีกทั้ง ไมค์ แมนกินิ ยังได้รับการยอมรับจากเหล่าแฟนเพลง ว่าสามารถเข้ามาเติมแต่งวงได้อย่างไร้รอยต่อ แม้ว่าสไตล์ของเขาจะต่างจาก พอร์ตนอย ก็ตาม และยังติดอันดับหนึ่งในมือกลองระดับตัวท็อปของโลกอีกด้วย

Dream Theater ยังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และคงคุณภาพอย่างคงเส้นคงวา อีกทั้งยังกอบโกยรางวัลมาครองอย่างมากมาย พร้อมกับสร้างฐานแฟนเพลงให้แข็งแรงยิ่งขึ้น และถูกยกให้เป็นวงโปรเกรสซีฟระดับครูของวงการดนตรีอย่างไร้ข้อกังขา

และเพลง The Alien จากอัลบั้ม ‘A View from the Top of the World’ (2021) ก็สามารถคว้ารางวัล Grammy Award ครั้งแรกได้สำเร็จในปี 2022

 

หวนคืนสู่รัง

หลังจากวงคว้ารางวัลแกรมมี่มาได้หมาด ๆ ในปี 2023 สิ่งที่แฟน ๆ ต่างรอคอยก็มาถึง เมื่อ พอร์ตนอย มือกลองยุคก่อตั้งวง ก็ได้กลับเข้าวงมา หลังจากออกไปเกี่ยวกับประสบการณ์ถึง 10 กว่าปี ที่ก่อนหน้านี้มีสัญญาณความเป็นไปได้ จากการร่วมงานกับ เปตรุชชี ในโปรเจกต์ Liquid Tension Experiment รวมถึงมีการพูดคุยกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในวง

ซึ่งได้รับการต้อนรับจากเหล่าแฟนเพลงอย่างล้นหลาม รวมถึงมือกลองคนปัจจุบันอย่าง แมนกินิ ก็เคารพต่อการกลับมาของ พอร์ตนอย และเป็นเกียรติที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Dream Theater และยินดีที่ได้เห็นสมาชิกยุคก่อตั้งอย่าง พอร์ตนอย กลับคืนสู่บัลลังก์อีกครั้ง

หลังจากการกลับมาของ พอร์ตนอย ได้ปีกว่า ทางวงก็ออกอัลบั้มลำดับที่ 16 อย่าง Parasomnia (2025) ที่เต็มไปด้วยสำเนียงการหวดกลองอันคุ้นเคย หลังจากที่แฟนเพลงรอคอยนานกว่า 15 ปี ถือเป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรี มีเพลงยาวที่เป็นมหากาพย์ถึง 2 เพลง อย่าง Dead Asleep ที่มีความยาว 11:06 และ The Shadow Man Incident ที่เป็นแทร็คปิดท้ายอัลบั้ม ซึ่งมีความยาวเกือบ 20 นาที

นักวิจารณ์ทั้งหลาย ต่างลงความเห็นว่าอัลบั้มนี้ถือเป็นอัลบั้มโปรเกรสซีฟเมทัลระดับมาสเตอร์พีซอีกหนึ่งชิ้นของวงการ ซึ่งให้คะแนนสูงถึง 9/10 และคาดว่าผลงานชุดถัดไปของ Dream Theater ก็จะยังคงรักษามาตรฐานของวงได้อย่างแน่นอน

 

ผู้เป็นต้นแบบโปรเกรสซีฟเมทัลตลอดกาล

เป็นระยะเวลา 40 ปี ที่คณะโรงละครแห่งความฝัน ร่วมเดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวบนถนนสายดนตรี เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่สามารถจะคาดเดาได้ บางครั้งก็ยุ่งเหยิง สับสน มืดบอด จนทำให้สมาชิกที่มีฝีมือระดับปรมาจารย์ ยังเกือบจะยอมแพ้

แต่กว่าที่จะเดินไปถึงจุดสูงสุดของวงการ พวกเขาล้วนต้องผ่านบททดสอบกันมามากมาย แต่การกัดฟันสู้จนถึงที่สุด ก็ทำให้หลุดพ้นจากหุบเหว และผงาดขึ้นมาอย่างสง่างาม พร้อมสะท้อนบทเรียนสำคัญ ผ่านบทเพลง ว่าชีวิตคนเราก็คาดเดาได้ยาก แม้พวกเขาจะเจออุปสรรค ก็ยังคงเชื่อมันในอุดมการณ์ของตัวเอง จนในที่สุด ก็กลายมาเป็นตำนานผู้ทรงอิทธิพลแห่งโปรเกรสซีฟเมทัล ที่ศิลปินทั่วทุกมุมโลกต่างยอมรับ

เพราะหากพวกเขาเลือกที่จะยอมแพ้ตั้งแต่เจออุปสรรคก้าวแรก ปัจจุบันเราก็อาจจะไม่มีวงดนตรีระดับโลก อย่าง Polyphia, Periphery, Intervals, Opeth หรือ Animals as Leaders ที่มี Dream Theater เป็นแม่แบบในการรังสรรค์ผลงาน

Dream Theater จึงไม่เป็นเพียงแค่วงดนตรีที่ซับซ้อนและอาจเข้าใจยากในบางครั้ง หากแต่คือศิลปินที่ไม่ยอมจำนนต่อกรอบใด ๆ ของดนตรี และหนักแน่นในอุดมการณ์ของตน จนก้าวมาเป็นคณะโรงละครแห่งความฝัน ที่ยังคงเปิดม่านต้อนรับแฟนเพลงอยู่เสมอ

 

และในปี 2026 นี้ Dream Theater จะครบรอบ 40 ปีแห่งการเดินทางสายดนตรี กับการกลับมาของสมาชิกยุคก่อตั้งทั้ง 5 คน ในคอนเสิร์ต DREAM THEATER LIVE IN BANGKOK 2026 40th Anniversary Tour สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้