26 ส.ค. 2568 | 15:00 น.
KEY
POINTS
ปี 1975 วงโปรเกรสซีฟร็อก ‘เจเนซิส’ (Genesis) กำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของความคิดสร้างสรรค์ อัลบั้มคอนเซ็ปต์สุดทะเยอทะยาน อย่าง The Lamb Lies Down on Broadway ได้ผลักดันขอบเขตของดนตรีร็อกไปไกลกว่าที่เคย
แต่แล้วในวันที่ 22 พฤษภาคม ที่เมืองเบอซ็องซง ประเทศฝรั่งเศส ค่ำคืนสุดท้ายของทัวร์อันยาวนาน บทเพลงสุดท้ายไม่ได้จบลงด้วยเสียงปรบมือที่กึกก้องเพียงอย่างเดียว แต่ตามมาด้วยเสียงโอโบของ ‘ปีเตอร์ เกเบรียล’ (Peter Gabriel) ที่บรรเลงเพลง ‘The Last Post’ อย่างแผ่วเบา นั่นคือสัญญาณแห่งการอำลา ยุคสมัยของฟรอนต์แมนผู้เป็นทั้งเสียงและจิตวิญญาณของวงได้สิ้นสุดลงแล้ว
การจากไปของ เกบรียล ไม่ใช่แค่การสูญเสียนักร้องนำ แต่คือการทิ้งสุญญากาศขนาดใหญ่ไว้กลางเวที เขาคือศิลปินผู้เปลี่ยนคอนเสิร์ตร็อกให้กลายเป็นโรงละคร ด้วยการสวม ‘ชุดกระโปรง(ของภรรยา) และหัวสุนัขจิ้งจอก’ และสร้างตัวตนที่แฟนเพลงจดจำได้มากกว่าแค่เสียงร้อง สำหรับโลกภายนอก เมื่อปราศจาก ปีเตอร์ เกเบรียล ย่อมหมายถึงจุดจบของ เจเนซิส อย่างยากจะหลีกเลี่ยง
ทว่า เบื้องหลังความเงียบงันนั้น ความคิดของสมาชิกที่เหลือกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง พวกเขายังไม่พร้อมที่จะปล่อยให้เรือลำนี้จมลง ‘ฟิล คอลลินส์’ (Phil Collins) มือกลองของวงในเวลานั้น ยืนยันความรู้สึกนั้นในหนังสือของเขาว่า “มันไม่เคยมีคำถามเลยว่า โทนี่, ไมค์, สตีฟ และผมจะยุบวง”
คำถามเดียวที่สำคัญที่สุดในใจของพวกเขา กับภารกิจของการก้าวต่อไป คือ
“ใครจะมาแทนที่ ปีเตอร์ เกเบรียล?”
เจเนซิส เริ่มต้นภารกิจตามหาเสียงร้องใหม่ด้วยโฆษณาเล็ก ๆ ในนิตยสาร Melody Maker ที่ระบุเพียงว่า “ต้องการนักร้องสำหรับวงดนตรีแนว Genesis” ถ้อยคำที่คลุมเครือนี้ คือความตั้งใจที่จะเก็บความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของวง ให้เป็นความลับจากสายตาของสื่อและแฟนเพลง
เทปเดโมหลายร้อยม้วนหลั่งไหลเข้ามาที่ออฟฟิศของวง แต่ภารกิจนี้กลับยากเย็นกว่าที่คิด นักร้องหลายสิบคนถูกเรียกมาทดสอบเสียง แต่ไม่มีใครเลยที่มี ‘เคมีที่ใช่’ ที่จะสืบทอดตำแหน่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความคาดหมายมหาศาล สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่าที่การค้นหาดำเนินไปอย่างน่าผิดหวัง
ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้นเอง คำตอบกลับซ่อนอยู่ในห้องซ้อมมาโดยตลอด ฟิล คอลลินส์ ในฐานะมือกลองและเสียงประสานของวง ซึ่งรับหน้าที่ร้องไกด์เพื่อสอนท่วงทำนองและเนื้อเพลงให้กับผู้สมัครทุกคน โดยไม่รู้ตัว สมาชิกที่เหลือของวงเริ่มสังเกตเห็นว่าเสียงอบอุ่นและการออกเสียงชัดเจนของฟิล เข้ากับเพลงของวงอย่างเป็นธรรมชาติ
เสียงที่พวกเขาตามหาจากคนแปลกหน้ากลับเป็นเสียงที่คุ้นเคยที่สุด
จุดเปลี่ยนมาถึงวันที่พวกเขาเรียก ‘มิค สตริคแลนด์’ (Mick Strickland) นักร้องคนสุดท้ายที่มีแววที่สุด เข้ามาทดสอบบันทึกเสียงเพลง ‘Squonk’ ในสตูดิโอจริง แต่ผลลัพธ์กลับน่าผิดหวัง คีย์เพลงนั้นสูงเกินไปสำหรับเขา และมันตอกย้ำให้เห็นว่ารองเท้าของ ปีเตอร์ เกเบรียล นั้น ใหญ่เกินกว่าที่ใครจะสวมได้พอดี
เมื่อความหวังจากโลกภายนอกดับสิ้นลง พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหันกลับมามองชายผู้ที่ยืนอยู่หลังฉากมาโดยตลอด
ในความเงียบงันของสตูดิโอไทรเดนท์ที่ซึ่งความหวังเพิ่งสลายไป เสียงเพลงบรรเลงของ Squonk ยังรอคอยเสียงร้องที่จะมาเติมเต็ม เมื่อไม่มีใครเหลือให้ทดสอบอีกต่อไป ฟิล คอลลินส์ จึงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของวงไปตลอดกาล
“ให้ผมลองดูไหม?”
ไม่มีความคาดหวังใด ๆ ในห้องอัดเสียงวันนั้น แต่ทันทีที่เสียงของฟิลเปล่งออกมาผ่านลำโพงในห้องควบคุม บรรยากาศก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมาชิกที่เหลือมองหน้ากัน นั่นคือช่วงเวลาที่ ฟิล บรรยายในภายหลังว่า เป็นเหมือน ‘ฉากหลอดไฟสว่างวาบขึ้นมาในการ์ตูน’ เสียงของเขาไม่เพียงแต่เข้ากับคีย์เพลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ยังเต็มไปด้วยพลังและความรู้สึกที่พวกเขารู้ดีว่า นี่คือ
‘เสียงของเจเนซิส’
แต่ในขณะที่เพื่อนร่วมวงพบทางสว่าง ตัวของฟิลเองกลับเต็มไปด้วยความลังเล การเป็นฟรอนต์แมนไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาคือมือกลองโดยจิตวิญญาณ และมีความสุขกับการอยู่เบื้องหลังเสมอมา เขายืนกรานกับตัวเองและคนรอบข้างว่า “ผมไม่ยอมออกไปยืนเต้นอยู่ข้างหน้าหรอก” ความคิดที่จะกลายเป็นจุดสนใจบนเวทีเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นสำหรับเขา
ทว่า... เสียงนั้นคือคำตอบที่ปฏิเสธไม่ได้ เพื่อให้วงได้เดินต่อไป มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น เขาตอบรับบทบาทนั้น ไม่ใช่เพราะความทะเยอทะยาน แต่เพราะความรักที่มีต่อวงดนตรีที่เขาร่วมสร้าง การเดินทางบทใหม่ที่เขาไม่เคยเลือกเองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ปี 1976 อัลบั้ม A Trick of the Tail ออกวางจำหน่าย มันไม่ใช่เป็นเพียงผลงานชุดใหม่ แต่คือคำตอบที่ เจเนซิส มอบให้กับโลกที่กำลังจับตาว่า พวกเขาจะรอดหรือไม่เมื่อไร้เงาของ ปีเตอร์ เกเบรียล และคำตอบนั้นก็ดังกระหึ่มเกินความคาดหมาย อัลบั้มประสบความสำเร็จอย่างงดงาม พิสูจน์ให้เห็นว่าจิตวิญญาณของวงยังคงแข็งแกร่ง แต่บททดสอบที่แท้จริงของฟรอนต์แมนคนใหม่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นบนเวทีคอนเสิร์ต
การแสดงสดครั้งแรก ๆ คือภาพความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ฟิล คอลลินส์ ที่เคยเป็นนายใหญ่หลังชุดกลอง กลับกลายเป็นชายผู้ประหม่าหน้าไมโครโฟน เขาใช้เวลาเกือบทั้งโชว์ซ่อนตัวอยู่หลังขาตั้งไมค์ ไม่กล้าแม้แต่จะสัมผัสมัน “ผมมีเกราะกำบังระหว่างผมกับคนดู นั่นคือชุดกลองของผม และผมก็ชอบแบบนั้น” เขายอมรับในภายหลังถึงความรู้สึกไม่มั่นคงในช่วงแรก
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในปี 1978 เมื่อเพลง ‘Follow You Follow Me’ จากอัลบั้ม And Then There Were Three ถูกปล่อยออกมา เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ซิงเกิลฮิตที่พาวงทะยานขึ้นสู่ชาร์ตเพลงทั่วโลกเป็นครั้งแรก แต่คือการประกาศศักยภาพใหม่ของ เจเนซิส เสียงร้องที่อบอุ่นและเข้าถึงง่ายของฟิล ได้เปิดประตูให้วงก้าวจากโลกของโปรเกรสซีฟร็อกที่ซับซ้อนไปสู่ผู้ฟังในวงกว้างได้อย่างสง่างาม
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่กับ เจเนซิส ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงลิ่ว เมื่อตารางทัวร์ที่ไม่มีวันสิ้นสุดได้ขีดเส้นแบ่งระหว่างชีวิตบนเวทีกับชีวิตในบ้านจนขาดสะบั้น ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s หลังชีวิตแต่งงานครั้งแรกของเขาสิ้นสุดลง ฟิล คอลลินส์ กลับมาสู่บ้านที่ว่างเปล่า ความเงียบที่กัดกินกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาทำในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน นั่นคือการสร้างดนตรีจากความเจ็บปวดของตัวเอง
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำอัลบั้มเดี่ยว แต่ในห้องซ้อมที่บ้าน เขาระบายความรู้สึกทั้งหมดลงไปในเสียงเปียโนและเครื่องอัดเสียง
“ผมลงไปข้างล่างแล้วเริ่มเขียนเพลง
ไม่ใช่เพราะมีจุดประสงค์อะไร
แค่ต้องการระบายมันออกมาจากข้างใน”
ผลลัพธ์จากการบำบัดตัวเองด้วยเสียงดนตรี คืออัลบั้ม Face Value (1981) ผลงานที่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ทางอารมณ์อย่างถึงที่สุด และหัวใจของมันคือ ‘In the Air Tonight’ เพลงที่ถือกำเนิดจากบรรยากาศอันมืดหม่นและความรู้สึกที่อัดอั้นเกินจะบรรยาย จังหวะกลองแบบ ‘gated reverb’ ที่ทรงพลัง ซึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญในสตูดิโอ ได้กลายเป็นลายเซ็นของซาวด์ที่กำหนดนิยามของยุค 80s ในทันที
“มันเต็มไปด้วยความโกรธ มันเป็นเรื่องส่วนตัว และผู้คนก็รับรู้มันในแบบนั้น ผมไม่เคยอธิบาย และก็ไม่จำเป็นต้องทำ”
Face Value ไม่ใช่แค่บันทึกความเศร้า แต่เป็นการสำรวจตัวตนทางดนตรีที่กว้างไกล การดึงทีมเครื่องเป่า Phenix Horns ของวง Earth, Wind & Fire มาเสริมทัพในเพลง ‘I Missed Again’ คือเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่ในโลกของดนตรีร็อก อัลบั้มนี้คือคำประกาศอิสรภาพทางศิลปะ ที่เล่าเรื่องราวด้วยภาษาของเขาเองอย่างแท้จริง และได้เปลี่ยนภาพของมือกลองแห่งวง เจเนซิส ให้กลายเป็นศิลปินเดี่ยวที่คนทั้งโลกต้องหันมามอง
กลางทศวรรษ 1980s ฟิล คอลลินส์ ได้สร้างปรากฏการณ์ที่ศิลปินน้อยคนในประวัติศาสตร์จะทำได้สำเร็จ นั่นคือการยืนอยู่บนจุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกพร้อมกันในสองสถานะ ทั้งการเป็นศิลปินเดี่ยวผู้ครองชาร์ต และการเป็นฟรอนต์แมนของวงร็อกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวงหนึ่ง
อัลบั้มเดี่ยวชุดที่สาม No Jacket Required (1985) คือการระเบิดพลังป๊อปอย่างเต็มรูปแบบ เพลงอย่าง ‘Sussudio’ และ ‘One More Night’ ที่ผสมผสานซาวด์ป๊อปฟังกี้เข้ากับบัลลาดที่นุ่มลึก กลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลายบนคลื่นวิทยุและจอ MTV ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักในทุกครัวเรือน “ผมอยากให้มันรู้สึกสนุก แต่ไม่ให้เบาบางจนเกินไป” เขากล่าวถึงเจตนาของอัลบั้มชุดนี้
สัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของสถานะซูเปอร์สตาร์ของเขา เกิดขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคม 1985 บนเวทีคอนเสิร์ตการกุศลแห่งประวัติศาสตร์ Live Aid ที่เขาไม่เพียงแต่ขึ้นแสดงที่สนามกีฬาเวมบลีย์ในลอนดอน แต่ยังเดินทางด้วยเครื่องบินคอนคอร์ดเพื่อขึ้นเวทีที่ฟิลาเดลเฟียในวันเดียวกัน การปรากฏตัวบนสองทวีปในวันเดียว ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของศิลปินผู้เปี่ยมด้วยพลังและดูเหมือนจะอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ในขณะเดียวกัน วง เจเนซิส ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง อัลบั้ม Invisible Touch (1986) ได้กลายเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์ที่สุดของวง เพลงไตเติลแทร็กสามารถทะยานขึ้นถึงอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา นี่คือยุคทองที่ได้จารึกชื่อของ ฟิล คอลลินส์ ในฐานะหนึ่งในดีเอ็นเอทางดนตรีที่สำคัญที่สุดของยุค 80s แต่เบื้องหลังแสงไฟที่สว่างไสว คือแรงกดดันมหาศาลที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น และกำลังจะนำเขาไปสู่บททดสอบครั้งใหญ่ของชีวิตในไม่ช้า
ยุคทองที่สว่างไสวที่สุดมักจะทอดเงาที่มืดที่สุดตามมาเสมอ สำหรับ ฟิล คอลลินส์ ความสำเร็จมหาศาลตลอดทศวรรษ 1980s ได้สร้างแรงกดดันที่ค่อย ๆ กัดกร่อนชีวิตของเขา ทั้งในฐานะศิลปินและมนุษย์คนหนึ่ง เขายอมรับว่าช่วงเวลานั้น “มันเหมือนกับอยู่บนลู่วิ่งที่ผมไม่มีทางก้าวลงมาได้” ตารางงานที่แน่นขนัดและการทัวร์คอนเสิร์ตที่ไม่สิ้นสุด พรากเขาไปจากชีวิตครอบครัวจนความสัมพันธ์แตกร้าวลงอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่ชีวิตส่วนตัวที่ต้องจ่ายราคา แต่ร่างกายของเขาเองก็เริ่มส่งสัญญาณเตือน การทุ่มเทให้กับการตีกลองมาเกือบทั้งชีวิตได้ทิ้งร่องรอยไว้ เขาต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังอย่างรุนแรง และที่น่าใจหายที่สุดคือการสูญเสียการได้ยินในหูข้างซ้ายอย่างถาวร มันคือความจริงที่โหดร้ายซึ่งเขาได้สรุปไว้อย่างเจ็บปวดว่า
“การตีกลองคือตัวตนของผม
แต่ในขณะเดียวกันมันก็คือสิ่งที่ทำลายผมด้วย”
เมื่อร่างกายและจิตใจถูกผลักจนถึงขีดสุด การตัดสินใจครั้งสำคัญจึงเกิดขึ้น ในปี 1996 ฟิล คอลลินส์ ได้ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกวง เจเนซิส หลังจากร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานกว่า 25 ปี มันไม่ใช่การแยกทางที่เกิดจากความขัดแย้ง แต่คือการเลือกที่จะก้าวลงจาก ‘ลู่วิ่ง’ ที่เกือบจะทำลายทุกสิ่งในชีวิตของเขา เพื่อเยียวยาบาดแผลและค้นหาความหมายของชีวิตในบทต่อไปที่เงียบสงบกว่าเดิม
การก้าวออกจาก เจเนซิส ไม่ได้หมายถึงการหันหลังให้ดนตรีเสียทีเดียว แต่เป็นการเปิดประตูสู่บทบาทใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิด ในปี 1999 ฟิล คอลลินส์ ได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชันของดิสนีย์เรื่อง Tarzan ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย และส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้สำเร็จ ผลงานนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่า แม้จะไม่ได้อยู่กับวงที่สร้างชื่อให้เขา แต่พลังทางดนตรีของเขายังคงแข็งแกร่งและสามารถสื่อสารกับคนทั่วโลกได้
แต่ในขณะที่เสียงเพลงของเขายังคงก้องกังวาน ร่างกายของเขากลับเริ่มส่งสัญญาณแห่งความเงียบงัน ปัญหาสุขภาพที่สะสมมานานจากการทำงานหนักได้ปรากฏชัดขึ้น ทั้งอาการสูญเสียการได้ยินในหูข้างซ้ายอย่างถาวร และผลกระทบจากปัญหากระดูกสันหลังที่ทำให้เส้นประสาทบริเวณมือถูกทำลาย จนการจับไม้กลองกลายเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและแทบจะเป็นไปไม่ได้
สำหรับชายผู้มีกลองเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 นี่คือความจริงที่โหดร้ายที่สุด และได้นำไปสู่การตัดสินใจที่แฟนเพลงทั่วโลกต่างใจหาย ในปี 2010 ฟิล คอลลินส์ ประกาศ ‘เลิก’ จากวงการดนตรีอย่างเป็นทางการ เขาไม่ได้จากไปเพราะหมดไฟ แต่เพราะร่างกายไม่ยอมให้ไปต่ออีกแล้ว ดังที่ ฟิล กล่าวไว้อย่างเจ็บปวดว่า
“ไม่ใช่ว่าผมจะทิ้งดนตรี
แต่เป็นดนตรีต่างหากที่กำลังทิ้งผม”
สำหรับศิลปินที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีมาตลอด ความเงียบคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด หลังประกาศอำลาวงการ ฟิล คอลลินส์ ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความเงียบจากเวทีที่ว่างเปล่า แต่ยังต้องต่อสู้กับความว่างเปล่าในใจที่เกิดขึ้นหลังชีวิตครอบครัวพังทลายลงอีกครั้ง เขาจมดิ่งสู่ช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด ต่อสู้กับภาวะติดสุราอย่างหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โลกได้เห็นเพียงภาพของตำนานที่ถอยห่างจากแสงไฟ แต่เบื้องหลังนั้นคือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอย่างแท้จริง
หลายคนคิดว่านั่นคือบทสรุปสุดท้าย แต่แล้วในปี 2016 ฟิลก็ได้สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ด้วยการประกาศทัวร์คอนเสิร์ต ‘Not Dead Yet Live’ การกลับมาครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากข้อเสนอทางการเงินมหาศาล แต่มาจากเหตุผลที่ลึกซึ้งและเป็นส่วนตัวที่สุด ดังที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า
“ข้อเสนอพันล้านให้รวมวง เจเนซิส อีกครั้ง ก็ไม่อาจดึงผมกลับขึ้นทัวร์ได้ แต่โอกาสได้เล่นกับลูกชายน่ะ…อาจจะใช่”
ภาพที่เกิดขึ้นบนเวทีคือสัญลักษณ์อันทรงพลัง ฟิล คอลลินส์ ในวัยที่ร่างกายไม่ได้แข็งแรงดังเดิม เขานั่งร้องเพลงบนเก้าอี้เกือบตลอดการแสดง แต่ตำแหน่งหลังชุดกลองที่เคยเป็นของเขานั้น บัดนี้ถูกเติมเต็มโดย ‘นิโคลาส’ ลูกชายวัย 15 ปี (ในเวลานั้น) ของเขาเอง มันคือภาพของการส่งต่อจิตวิญญาณทางดนตรีจากรุ่นสู่รุ่น เสียงกลองอันเป็นตำนานที่พ่อเคยสร้างไว้ ถูกบรรเลงขึ้นอีกครั้งผ่านสองมือของลูกชาย นี่ไม่ใช่แค่คอนเสิร์ต แต่คือการเฉลิมฉลองของครอบครัวและมรดกที่ยังมีชีวิต
มรดกของฟิล คอลลินส์ จึงไม่ใช่แค่ยอดขายกว่า 150 ล้านแผ่นทั่วโลก แต่คือการสร้าง ‘ภาษาดนตรี’ ที่เป็นสากล เสียงกลองที่เป็นเอกลักษณ์ เสียงร้องที่เปราะบางแต่ทรงพลัง และบทเพลงที่เปลี่ยนความเจ็บปวดส่วนตัวให้กลายเป็นเรื่องราวที่ทุกคนเข้าถึงได้ เขาผ่านทั้งวันที่สว่างที่สุดและคืนที่มืดที่สุด แต่ไม่ว่าจะอยู่จุดไหน ฟิล ไม่เคยหันหลังให้กับความจริงของตัวเอง เพลงของเขาจึงเป็นเหมือนบันทึกชีวิตที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำตา และบทเรียนที่แลกมาด้วยประสบการณ์จริง
และนั่นคือบทสรุปของชายผู้ชื่อฟิล คอลลินส์ จากมือกลองหลังเวทีสู่ฟรอนต์แมน จากซูเปอร์สตาร์ผู้ครองโลกสู่ชายผู้เกือบพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา และกลับมาอีกครั้งในฐานะพ่อและตำนานที่ยังคงหายใจ เสียงกลองของเขาอาจจะเงียบลง แต่จังหวะชีวิตและเสียงเพลงของเขาจะยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจของผู้คนตลอดไป
ภาพ : Getty Images และปกอัลบั้ม Genesis และ Phil Collins
ที่มา: Collins, Phil. Not Dead Yet: The Autobiography. London, Penguin Random House, 2016.