‘เดฟ เว็คล์’ เมื่อ ‘กลอง’ สื่อสารได้ด้วยใจ

‘เดฟ เว็คล์’ เมื่อ ‘กลอง’ สื่อสารได้ด้วยใจ

‘เดฟ เว็คล์’ มือกลองระดับโลก ผู้เปลี่ยนเสียงกลองให้กลายเป็นภาษาสื่อสาร พร้อมโชว์สดในไทย 23 ก.ค.นี้ กับคอนเสิร์ตที่พลาดไม่ได้ของคอดนตรีตัวจริง

KEY

POINTS

  • เดฟ เว็คล์ เปลี่ยนบทบาทของกลองจากจังหวะสู่การสื่อสารทางดนตรี
  • สร้างแนวคิดใหม่ให้กับการฝึก ฝัง groove และควบคุม micro-dynamics
  • เตรียมพบโชว์สดจาก Dave Weckl, Oz Noy และ Brian Charette ในไทย กรกฎาคมนี้

ในโลกดนตรีฟิวชันแจ๊ส ยุคหลังทศวรรษ 1980s หากจะมีชื่อใดที่ผูกโยง ‘ความแม่นยำ’ เข้ากับ ‘ความรู้สึก’ อย่างแนบเนียนแล้ว หนึ่งในนั้นย่อมหนีไม่พ้น ‘เดฟ เว็คล์’ (Dave Weckl) มือกลองชาวอเมริกันที่เปลี่ยนความเข้าใจของผู้คนที่มีต่อเครื่องดนตรีที่ว่ากันว่า “ยากจะควบคุม” ให้กลายเป็นศาสตร์ที่สามารถฝึกฝน วิเคราะห์ และส่งต่อได้อย่างเป็นระบบ

เดฟ ไม่ใช่มือกลองที่บรรเลงเพื่ออวดกล้ามแขนหรือโชว์สปีด เหมือนที่นักดนตรีหลาย ๆ คนเป็นกัน แต่เขาใช้ ‘คำถาม’ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ โดยเฉพาะคำถามเชิงกลไกและจิตวิทยาที่คนส่วนใหญ่มองข้าม เช่น “ทำไมจังหวะจึงคลาดเคลื่อน?” ทั้งที่ มือกลองหลายคนอาจตีตรง metronome (เครื่องนับจังหวะ) แต่ฟังแล้วไม่เข้ากับวง

หรือ “ทำไมเสียงสแนร์จึงเปลี่ยน เพียงเพราะเปลี่ยนมุมมือ?” เป็นการตั้งคำถามเรื่อง micro-dynamics ซึ่งมือกลองระดับครูเท่านั้นที่หยั่งถึง เดฟ รู้ว่าแม้แต่มุมองศาของไม้กลองหรือแรงกระแทกที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย ก็เปลี่ยนโทนเสียงและอารมณ์ของโน้ตได้ 

“ทำไมบางโชว์ถึงเข้าจังหวะกันทั้งวง โดยไม่มีใครสั่ง?” คำถามนี้พาไปสู่แนวคิดเรื่อง groove เป็นภาวะร่วม (shared feel) ไม่ใช่แค่ผลรวมของการเล่นตรงกัน แต่เป็นจังหวะที่ “ทุกคนรู้สึกเหมือนกัน” เดฟ เรียกสิ่งนี้ว่า “conversation” การเล่นที่ไม่ใช่แค่แม่นยำ แต่สื่อสารและเชื่อมโยงกันจริง ๆ

คำถามเหล่านี้ นำ เดฟ ไปสู่เส้นทางของการสังเกตตนเอง ฝึกฝนซ้ำ ๆ และออกแบบแนวทางการเล่นกลอง ที่ “ชัดเจนทั้งต่อหูและตา” จนกลายเป็นต้นแบบของมือกลองยุคใหม่ 
 

อิทธิพลในการบรรเลงกลองของ เดฟ เว็คล์ เริ่มปรากฏชัดเจน เมื่อเขาเข้าร่วมวง ‘Chick Corea Elektric Band’ ในช่วงกลางทศวรรษ 1980s และช่วยวางโครงสร้างใหม่ให้กับแนวฟิวชันยุคหลังวงดนตรี ‘Return to Forever’ ทั้งในด้าน sound, timing และบทบาทของกลองที่ไม่ได้เป็นแค่เครื่องให้จังหวะ แต่เป็นเครื่องส่งบทสนทนา

แรงบันดาลใจในวัยเด็ก

“ผมไม่อยากเป็นมือกลองธรรมดา” 

เดฟ เว็คล์ หลงใหลกลองมาตั้งแต่ก่อนจะมีขาตั้ง hi-hat เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ พ่อของเขา ซึ่งเป็นวิศวกรเครื่องกล ซื้อกลองชุดแรกให้ตอนอายุ 8 ขวบ และนับจากนั้นเป็นต้นมา เสียงกระแทกของไม้กลองก็กลายเป็นภาษาที่เขาใช้พูดคุยกับโลก

สิ่งที่แยกเด็กชายเดฟออกจากนักเรียนดนตรีทั่วไป คือความไม่พอใจในความธรรมดา เขาเล่าว่า “ผมไม่อยากเป็นมือกลองธรรมดา ผมต้องการจะควบคุมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับกลองของผม ทั้งเสียง ความรู้สึก และจังหวะเล็ก ๆ ที่คนฟังอาจไม่ทันสังเกต” 

วัยเด็กของเขาในเมืองเซนต์หลุยส์ ไม่ได้มีเสียงแจ๊สล่องลอยมาในชั้นบรรยากาศแบบมหานครนิวยอร์ก แต่ก็เต็มไปด้วยแผ่นเสียงของมือกลองระดับตำนาน อาทิ Buddy Rich, Louie Bellson, และ Gene Krupa ที่เขาฟังซ้ำ ๆ จนจดจำได้ทุกจังหวะ ต่อมาเขาพบแรงบันดาลใจอีกรูปแบบจากมือกลองร่วมสมัย อย่าง Steve Gadd และ Jeff Porcaro ซึ่งมี ‘ความนิ่ง’ และ ‘ความลื่นไหล’ ในแบบที่เขาใฝ่หา

เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เดฟ เป็นมือกลองหลักของวงดนตรีโรงเรียน ก่อนจะตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่ Eastman School of Music ในเมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกันกับที่ Steve Gadd เคยเรียนมาก่อน 

“ตอนที่เรียนอยู่ที่ Eastman ผมก็รับงานเล่นดนตรีแบบต่าง ๆ ไปด้วย สิ่งที่เราได้เรียนรู้จริง ๆ ตรงนั้น คือการอยู่ในสถานการณ์แบบมืออาชีพ แล้วพยายามจัดการกับมันให้ได้”
 

ขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นบางคนพอใจกับการไล่ rudiments (แบบฝึกพื้นฐานที่เป็นรากฐานของเทคนิคการตีกลองทั้งหมด) และฝึกฝนเทคนิค เดฟ เลือกจะตั้งไมโครโฟนเพื่ออัดเสียงตัวเอง ฝึกฟังความแตกต่างระหว่างการตี rim shot (เทคนิคการตี snare drum โดยให้ปลายไม้กระทบพร้อมกันทั้งผิวหน้ากลอ และขอบโลหะ) กับ full stroke (หนึ่งในท่าพื้นฐานที่สุดที่มือกลองใช้ในการฝึกควบคุมความแม่นยำ น้ำหนัก และการเด้งของไม้) รวมถึงการควบคุม ghost note (เสียงกลองที่ซ่อนตัวอยู่ในจังหวะหลัก ราวกับเงาของโน้ตที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อสร้างมิติ ความลื่นไหล และ groove ที่มีชีวิต) ให้ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวของจังหวะใหญ่โดยไม่หายไปจากความรู้สึก
การฝึกฝนเช่นนี้ ไม่ได้สร้างแค่มือกลองที่ ‘เก่ง’ แต่สร้าง ‘นักคิด’ ที่พร้อมจะผลักขอบเขตของศักยภาพเครื่องดนตรี ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่พาเขาไปไกลกว่าที่ใครในห้องซ้อมจะจินตนาการถึง

เรียนรู้จากเวทีจริง

หลังเรียนจบจาก Eastman School of Music เขาย้ายเข้าสู่นิวยอร์กในช่วงต้นทศวรรษ 1980s มือกลองหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ เริ่มมีงานเล่นสุดยอดฝีมือ อย่าง Michel Camilo, Nitesprite, Paquito D’Rivera และโดยเฉพาะกับ Bill Connors อดีตสมาชิกวง Return to Forever ซึ่ง เดฟ ถือเป็น “การสอบไฟนอลของชีวิตจริง” 

“ผมเรียนรู้มากกว่าที่โรงเรียนเคยสอน ต้องฟังทุกอย่างและตอบสนองให้ได้ในวินาทีที่เกิดขึ้นจริง บนเวทีจริง กับนักดนตรีที่ไม่ให้อภัยความผิดพลาด นั่นคือโรงเรียนอีกแบบหนึ่ง” 

ชื่อเสียงของ เดฟ เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เมื่อเขาได้รับเชิญจาก ‘ชิค คอเรีย’ (Chick Corea) มือเปียโนระดับพระกาฬ อดีตผู้นำวง RTF ให้เข้าร่วมวง ‘Elektric Band’ ในปี 1985 ความท้าทายในตอนนั้น ไม่ใช่แค่การเล่นกับศิลปินระดับโลก แต่คือการแบกภาระเสียงกลองในวงที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ทั้งด้านจังหวะ รูปแบบ และพลังงานของการแสดงสด

ที่สำคัญคือ เดฟ  ไม่ได้เล่นในฐานะ ‘มือกลอง’ เท่านั้น เขาคือหนึ่งใน ‘สถาปนิกเสียง’ ที่ร่วมออกแบบบทบาทของกลองให้ร่วมขับเคลื่อนโครงสร้างของวง ตั้งแต่การจัดวาง dynamic ในแต่ละท่อน การสร้าง space ให้โซโล่ของเพื่อนร่วมวง ไปจนถึงการคิดเรื่อง timbre และ texture ที่เปลี่ยนไปตาม narrative ของแต่ละเพลง

อัลบั้ม อย่าง ‘Light Years’ และ ‘Eye of the Beholder’ ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นความแม่นยำที่น่าทึ่งของเขา แต่ยังเปิดโลกให้เห็นว่า กลองสามารถ ‘เล่าเรื่อง’ ได้ไม่แพ้เปียโนหรือเบส และในจังหวะบางช่วง มันสามารถเป็นตัวละครนำได้อย่างสง่างาม

ศาสตร์แห่งการควบคุม 

“ผมหมกมุ่นอยู่กับเรื่องโทนเสียง การควบคุม และตำแหน่งของโน้ต”

เดฟ เว็คล์ ไม่ได้เป็นเพียงมือกลองที่เก่ง แต่เขาเชื่อจริง ๆ ว่า กลองไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องตี แต่เป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างพลังงานอย่างแม่นยำ และไม่มีโน้ตไหนในดนตรีที่ “เกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

“ผมพยายามควบคุมทุกอย่างที่ผมตีลงไป ไม่ว่าจะเป็นโทนเสียง จังหวะ หรือแม้กระทั่งว่าโน้ตตัวนั้น ควรจะอยู่ ‘บน’ หรือ ‘หลัง’ beat”

เดฟ เชื่อว่าศิลปะของการควบคุมนี้ ต้องเริ่มจาก ‘การฟังตัวเอง’ อย่างเข้มข้น เขามักอัดเสียงทุกครั้งที่ซ้อม และฟังซ้ำแบบนักวิเคราะห์ เขาจะค่อย ๆ ตัดสินใจว่า จะวาง ghost note ไว้ตรงไหน ให้มันไม่กลบโน้ตหลัก แต่ยังรู้สึกได้ถึงแรงขับภายใน

ความคิดแบบนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การตีโน้ต แต่รวมถึงการควบคุมเสียงกลองทั้งชุด ตั้งแต่การจูนกลอง snare ให้มีความกรอบ (Crack) พอจะ ‘ตัดผ่าน’ เสียงของวง ไปจนถึงการตั้งไมค์ overhead เพื่อให้ได้เสียง cymbal ที่กลมและคุมพื้นที่เสียงกลาง

“การเล่นกลองไม่ใช่แค่ใช้แรง แต่คือการใช้หู สติ และจินตนาการ”  

ความเป็นระบบในวิธีคิดนี้ส่งผลต่อวิธีการสอนของเขา ใน Dave Weckl Online School ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดยเขาไม่ได้สอนแค่เทคนิค แต่สอนวิธีคิด วิธีฟัง และวิธีตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองเล่นอยู่ทุกวินาที (ก่อนหน้านี้ เขาเคยมีบทเรียนวิดีโอคลาสสิก อย่าง Back to Basics และ The Next Step ซึ่งยังถูกใช้อย่างกว้างขวางในสถาบันดนตรีจนถึงปัจจุบัน)

ผลลัพธ์ของแนวทางนี้ คือความชัดเจนในเนื้อเสียง โดย ghost note ของ เดฟ พูดด้วยเสียงกระซิบ เบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เต็มไปด้วย ‘เจตนา’ และ ‘น้ำเสียง’ ในแบบที่คนฟังสามารถระบุได้ว่า “นั่นแหละเดฟ” ซึ่งไม่ต่างจากการจำแนกเสียงเปียโนของ Bill Evans หรือเบสของ Jaco Pastorius

เส้นทางของผู้นำ 

เดฟ ก่อตั้ง The Dave Weckl Band ในปี 1998 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในชีวิตศิลปิน วงนี้เป็นเสมือน ‘ห้องทดลอง’ ของการประสานเสียง การเรียบเรียง และการสื่อสารผ่านภาษาใหม่ของฟิวชันแจ๊ส

สมาชิกวงประกอบด้วยนักดนตรีระดับแถวหน้า เช่น Jay Oliver (คีย์บอร์ด), Tom Kennedy (เบส) และ Buzz Feiten (กีตาร์) ซึ่งต่างก็มีบทบาทในการร่วมคิดและขยายขอบเขตของซาวด์แต่ละอัลบั้ม โดยเฉพาะใน Rhythm of the Soul (1998) และ Synergy (1999) ที่ เดฟ ใช้โอกาสนี้ ‘เล่าเรื่อง’ ผ่านโครงสร้างเพลง ที่ไม่ได้มีแค่ภาค rhythm แต่รวมถึงการออกแบบ melodic contour และ texture แบบมีทิศทาง

การทำงานกับวงของตัวเอง ช่วย เดฟ เปลี่ยนวิธีคิด จาก micro ไปสู่ macro ไม่ใช่แค่ควบคุม ghost note หรือ dynamic เท่านั้น แต่คือการคิดถึง ‘narrative’ ของทั้งเพลง รวมถึง flow ของอัลบั้มตั้งแต่ต้นจนจบ

ต่อมา เดฟ กลับไปเล่นกับ Chick Corea Akoustic Band อีกครั้งในปี 2018 กับ ชิค คอเรีย และมือเบสแถวหน้า ‘จอห์น ปาติตุคชิ’ (John Patitucci)  ซึ่งเป็นเหมือนการปิดวงจรของการเดินทางดนตรี จากอดีตกลับสู่ปัจจุบัน ด้วยทัศนคติของผู้ที่ผ่านโลกมาแล้วทั้ง 2 ด้าน ทั้งในฐานะ ‘นักดนตรีสนับสนุน’ (sideman) และ ‘ผู้นำวง’ (bandleader)

ในโลกที่เทคโนโลยีสามารถจำลองทุกเสียงได้ด้วยปลายนิ้ว และมือกลองหลายคนกำลังไล่ล่าความเร็วหรือความซับซ้อนเป็นเป้าหมาย เดฟ เว็คล์ กลับยืนอยู่ตรงจุดที่ต่างออกไป ด้วย ‘ความลึก’ สำคัญกว่า ‘ความเร็ว’ และ ‘น้ำหนัก’ มีค่ามากกว่า ‘ความแม่นยำเชิงจักรกล’

สิ่งที่ เดฟ ทำมาตลอด 4 ทศวรรษ ไม่ใช่เพียงการสร้างสรรค์บทบาทใหม่ให้กับกลองชุด แต่คือการขยายความเข้าใจของผู้คนที่มีต่อกลองให้ลึกซึ้งขึ้น

แม้โลกจะหมุนเร็วขึ้น มีดนตรีหลากหลายแนวเพิ่มขึ้น แต่ เดฟ เว็คล์ ยังยืนยันในสิ่งที่เขาเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว ดนตรีคือการฟัง การตอบสนอง และการแบ่งปันความเป็นมนุษย์ผ่านเสียงนั่นเอง

 

หมายเหตุส่งท้าย: คนรักดนตรีในประเทศไทยจะได้พบกับ เดฟ เว็คล์ ได้ ใน Oz Noy, Dave Weckl & Brian Charette Live in Bangkok 2025 คอนเสิร์ตสุดเข้มข้นจากสามสุดยอดนักดนตรีระดับโลก ที่จะพาผู้ชมเดินทางข้ามแนวดนตรีไปสู่โลกในจินตนาการ ในวันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2025 ณ M Theatre ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บัตรมีจำหน่ายที่ Thai Ticket Major 

 

เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์

ภาพ: Getty Images

ที่มา:

Fish, Scott K. “Dave Weckl Interview – Modern Drummer 1984.” Scott K Fish: Life Beyond the Cymbals, 15 Apr. 2016, https://scottkfish.com/2016/04/15/dave-weckl-interview-modern-drummer-1984/.
Modern Drummer. “Dave Weckl: Artist Profile.” Modern Drummer, https://www.moderndrummer.com/article/march-2020-dave-weckl/
Weckl, Dave. The Dave Weckl Method. Alfred Publishing, 1990.
Gadd, Steve. “Dave Weckl: Drumming with Precision and Emotion.” Drummerworld, https://www.drummerworld.com/drummers/Dave_Weckl.html